รัฐไวโอมิง
ไวโอมิง (อังกฤษ: Wyoming, ออกเสียง: /waɪˈoʊmɪŋ/ ( ฟังเสียง)) เป็นรัฐหนึ่งในอนุภูมิภาคตะวันตกภูเขาของภาคตะวันตกของสหรัฐ มีอาณาเขตติดต่อกับรัฐมอนแทนาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือและทิศเหนือ รัฐเซาท์ดาโคตาและรัฐเนแบรสกาทางทิศตะวันออก รัฐโคโลราโดทางทิศใต้ รัฐยูทาห์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และรัฐไอดาโฮทางทิศตะวันตก ด้วยจำนวนประชากร 576,851 คนในสำมะโนประชากรสหรัฐ ค.ศ. 2020[6] ไวโอมิงเป็นรัฐที่มีประชากรน้อยที่สุดของประเทศถึงแม้จะเป็นรัฐที่มีพื้นที่มากเป็นอันดับที่ 10 ก็ตาม โดยมีความหนาแน่นของประชากรต่ำที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากรัฐอะแลสกา เมืองหลวงและเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของรัฐคือไชแอนน์ซึ่งมีประชากรประมาณ 63,957 คนใน ค.ศ. 2018[7] พื้นที่ครึ่งหนึ่งทางตะวันตกของรัฐไวโอมิงถูกปกคลุมด้วยเทือกเขาร็อกกีเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่พื้นที่อีกครึ่งทางตะวันออกของรัฐเป็นทุ่งหญ้าแพรรีบนพื้นที่สูงที่เรียกว่าไฮเพลนส์ รัฐนี้มีอากาศแห้งและลมแรงกว่าส่วนอื่น ๆ ของประเทศ ด้วยความแตกต่างระหว่างภูมิอากาศกึ่งแห้งแล้งกับภูมิอากาศภาคพื้นทวีปซึ่งนำไปสู่ความแปรปรวนของอุณหภูมิอย่างมีนัยสำคัญ เกือบครึ่งหนึ่งของที่ดินในรัฐไวโอมิงเป็นของรัฐบาลกลางและโดยทั่วไปได้รับการคุ้มครองเพื่อใช้เป็นที่สาธารณประโยชน์ ไวโอมิงอยู่ในอันดับที่ 6 ในแง่ขนาดพื้นที่และอันดับที่ 5 ในแง่สัดส่วนของที่ดินของรัฐที่รัฐบาลกลางเป็นเจ้าของ[8] ที่ดินของรัฐบาลกลางประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติ 2 แห่ง (แกรนด์ทีตันและเยลโลว์สโตน) พื้นที่นันทนาการแห่งชาติ 2 แห่ง อนุสรณ์สถานแห่งชาติ 2 แห่ง รวมถึงป่าสงวนแห่งชาติ แหล่งประวัติศาสตร์ โรงเพาะฟักปลา และเขตพักพิงสัตว์ป่าอีกหลายแห่ง ชนพื้นเมืองหลายกลุ่มอาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้มาเป็นเวลาหลายพันปี เผ่าชนที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลกลางทั้งในอดีตและในปัจจุบันรวมถึงชาวอะแรพาโฮ ชาวโครว์ ชาวลาโคตา และชาวโชโชนี ระหว่างที่ชาวยุโรปเข้ามาสำรวจพื้นที่ จักรวรรดิสเปนเป็นจักรวรรดิแรกที่ "อ้างกรรมสิทธิ์" เหนือพื้นที่ตอนใต้ของไวโอมิง เมื่อเม็กซิโกเป็นเอกราช พื้นที่ตอนใต้จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของเม็กซิโก หลังจากพ่ายแพ้ในสงครามเม็กซิโก–สหรัฐ เม็กซิโกก็ยกพื้นที่ดังกล่าวให้แก่สหรัฐใน ค.ศ. 1848 ภูมิภาคนี้มีชื่อว่า "ไวโอมิง" ในร่างกฎหมายที่เสนอต่อรัฐสภาสหรัฐใน ค.ศ. 1865 เพื่อจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวสำหรับดินแดนไวโอมิง ก่อนหน้านี้ชาวอาณานิคมใช้ชื่อนี้เรียกหุบเขาแห่งหนึ่งในรัฐเพนซิลเวเนีย โดยเป็นชื่อที่แผลงมาจากคำในภาษามันซีว่า xwé:wamənk ซึ่งแปลว่า "ตรงที่ราบริมแม่น้ำใหญ่แห่งนั้น"[9][10] ร่างกฎหมายสำหรับการรับดินแดนไวโอมิงเข้าเป็นรัฐของสหรัฐได้รับการเสนอทั้งในวุฒิสภาสหรัฐและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1889 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1890 สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวและประธานาธิบดีเบนจามิน แฮร์ริสัน ได้ลงนามในร่างกฎหมายว่าด้วยความเป็นรัฐไวโอมิง ส่งผลให้ไวโอมิงกลายเป็นรัฐที่ 44 ของสหรัฐ[1] ในอดีต ชาวอเมริกันเชื้อสายยุโรปทำฟาร์มและเลี้ยงสัตว์ที่นี่ โดยเกิดความขัดแย้งเรื่องที่ดินระหว่างคนเลี้ยงแกะกับคนเลี้ยงวัวอยู่เนือง ๆ ในปัจจุบันเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของไวโอมิงขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวและการสกัดแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ถ่านหิน แก๊สธรรมชาติ น้ำมัน โทรนา เป็นต้น สินค้าเกษตร ได้แก่ ข้าวบาร์เลย์ หญ้าแห้ง ปศุสัตว์ บีตน้ำตาล ข้าวสาลี และเส้นใยขนสัตว์ ไวโอมิงเป็นรัฐแรก (หากไม่นับรัฐนิวเจอร์ซีย์ก่อน ค.ศ. 1807) ที่ออกกฎหมายให้ผู้หญิงมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งและสิทธิในการเข้ารับตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้ง รวมทั้งเป็นรัฐแรกที่มีผู้ว่าการรัฐเป็นผู้หญิง เนื่องจากประวัติศาสตร์ส่วนนี้ ไวโอมิงจึงมีชื่อเล่นว่า "รัฐเสมอภาค" และมีคำขวัญทางการว่า "สิทธิที่เท่าเทียมกัน"[1] ไวโอมิงเป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองอนุรักษนิยมมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1950 ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคริพับลิกันชนะการเลือกตั้งในรัฐนี้ทุกครั้งนับตั้งแต่ ค.ศ. 1968 เป็นต้นมา[11] อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|