รัฐฮาวาย
ฮาวาย (อังกฤษ: Hawaii, ออกเสียง: /həˈwaɪ.i/; ฮาวาย: Hawaiʻi, ออกเสียง: [həˈvɐjʔi] หรือ [həˈwɐjʔi]) เป็นรัฐหนึ่งในภาคตะวันตกของสหรัฐ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากแผ่นดินใหญ่สหรัฐออกไปประมาณ 3,200 กิโลเมตร (2,000 ไมล์) เป็นรัฐเดียวของสหรัฐที่เป็นกลุ่มเกาะ เป็นรัฐเดียวที่ตั้งอยู่นอกทวีปอเมริกาเหนือ และเป็นรัฐเดียวที่ตั้งอยู่ในเขตร้อน รัฐฮาวายประกอบด้วยเกาะภูเขาไฟ 137 เกาะที่ประกอบเป็นส่วนใหญ่ของกลุ่มเกาะฮาวายและวางตัวเรียงรายเป็นระยะทาง 2,400 กิโลเมตร (1,500 ไมล์) โดยเป็นส่วนหนึ่งของอนุภูมิภาคพอลินีเชียของเขตโอเชียเนียในทางภูมิศาสตร์กายภาพและชาติพันธุ์วิทยา[8] แนวชายฝั่งมหาสมุทรของฮาวายจึงมีความยาวเป็นอันดับที่ 4 ของสหรัฐ กล่าวคือ ประมาณ 1,210 กิโลเมตร (750 ไมล์) เกาะหลัก 8 เกาะจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปทิศตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ นีเฮา, คาไว, โอวาฮู, โมโลไก, ลานาอี, กาโฮโอลาเว, เมาวี และฮาวายซึ่งเป็นที่มาของชื่อรัฐ และมักเรียกว่า "เกาะใหญ่" หรือ "เกาะฮาวาย" เพื่อไม่ให้สับสนกับรัฐฮาวายหรือกลุ่มเกาะฮาวาย หมู่เกาะฮาวายตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งไม่มีผู้คนอาศัยอยู่นั้นประกอบเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของอนุสรณ์สถานแห่งชาติทางทะเลปาปาฮาเนาโมกูวาเกยา ซึ่งเป็นพื้นที่คุ้มครองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐและใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก ในบรรดา 50 รัฐของสหรัฐ ฮาวายเป็นรัฐที่มีพื้นที่น้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 8 และมีประชากรน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 11 แต่ด้วยจำนวนผู้อยู่อาศัย 1.4 ล้านคน จึงอยู่ในอันดับที่ 13 ในแง่ความหนาแน่นของประชากร ชาวฮาวายประมาณสองในสามอาศัยอยู่บนเกาะโอวาฮูซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐอย่างโฮโนลูลู ฮาวายเป็นหนึ่งในรัฐที่มีความหลากหลายมากที่สุดของประเทศ เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิกและมีการอพยพย้ายถิ่นมานานกว่าสองศตวรรษ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหกรัฐที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อยของสหรัฐ ฮาวายเป็นรัฐเดียวที่มีชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเป็นชนกลุ่มใหญ่ มีชุมชนชาวพุทธที่ใหญ่ที่สุด[9] และมีประชากรหลายเชื้อชาติในสัดส่วนที่มากที่สุดในสหรัฐ[10] ด้วยเหตุนี้ ฮาวายจึงเป็นแหล่งหลอมรวมวัฒนธรรมอเมริกาเหนือกับเอเชียตะวันออกเข้าด้วยกันอย่างมีลักษณะเฉพาะ นอกเหนือจากมรดกของชนพื้นเมืองฮาวายเอง หลังจากที่ชาวพอลินีเชียเข้ามาตั้งรกรากในช่วงใดช่วงหนึ่งระหว่าง ค.ศ. 1000 ถึง ค.ศ. 1200 ฮาวายก็กลายเป็นที่ตั้งของเขตหัวหน้าเผ่าจำนวนมาก[11] ใน ค.ศ. 1778 เจมส์ คุก นักสำรวจชาวอังกฤษ เป็นบุคคลแรก (เท่าที่ทราบ) ที่ไม่ใช่ชาวพอลินีเชียที่มาถึงกลุ่มเกาะนี้ อิทธิพลของอังกฤษในยุคแรกเริ่มสะท้อนให้เห็นในธงประจำรัฐซึ่งมียูเนียนแจ็กอยู่ด้วย ในไม่ช้าบรรดานักสำรวจ พ่อค้า และนักล่าวาฬชาวยุโรปและอเมริกันก็หลั่งไหลเข้ามาและนำโรคต่าง ๆ ติดตัวมาด้วย เช่น ซิฟิลิส วัณโรค ฝีดาษ โรคหัด ส่งผลให้ชนพื้นเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่โดดเดี่ยวเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ประชากรฮาวายพื้นเมืองลดลงจากระหว่าง 300,000 ถึง 1,000,000 คน เหลือไม่ถึง 40,000 คนเมื่อถึง ค.ศ. 1890[12][13][14] ฮาวายกลายเป็นราชอาณาจักรที่เป็นปึกแผ่นและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติใน ค.ศ. 1810 และยังคงเป็นอิสระจนกระทั่งนักธุรกิจและทหารชาวอเมริกันและชาวยุโรปล้มล้างระบอบราชาธิปไตยใน ค.ศ. 1893 นำไปสู่การผนวกฮาวายเข้ากับสหรัฐใน ค.ศ. 1898 ในฐานะดินแดนสหรัฐที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ฮาวายถูกญี่ปุ่นโจมตีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ส่งผลให้กลุ่มเกาะนี้เป็นที่จับตามองในระดับโลกและในประวัติศาสตร์ และมีส่วนทำให้สหรัฐเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัว ฮาวายเป็นรัฐล่าสุดที่เข้าร่วมกับสหรัฐเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1959[15] ใน ค.ศ. 1993 รัฐบาลสหรัฐกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการกับบทบาทของตนในการโค่นล้มรัฐบาลฮาวาย ซึ่งกระตุ้นความเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชฮาวายและนำไปสู่ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการชดเชยแก่ประชากรพื้นเมือง เศรษฐกิจฮาวายในอดีตขึ้นอยู่กับการทำไร่ขนาดใหญ่ และในปัจจุบันรัฐนี้ยังคงเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่เนื่องจากดินที่อุดมสมบูรณ์และภูมิอากาศเขตร้อนที่ไม่เหมือนใครในสหรัฐ เศรษฐกิจฮาวายเริ่มมีความหลากหลายตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยการท่องเที่ยวและกลาโหมกลายเป็นภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดสองภาค รัฐนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยว นักโต้คลื่น และนักวิทยาศาสตร์ด้วยทัศนียภาพทางธรรมชาติที่หลากหลาย ภูมิอากาศเขตร้อนอันอบอุ่น ชายหาดสาธารณะที่มีอยู่มากมาย สภาพแวดล้อมแบบมหาสมุทร ภูเขาไฟที่ยังมีพลัง และท้องฟ้าแจ่มใสบนเกาะใหญ่ ฮาวายเป็นที่ตั้งของทัพเรือแปซิฟิกของสหรัฐซึ่งเป็นหน่วยบัญชาการกองทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นที่พำนักของลูกจ้างกระทรวงกลาโหมประมาณ 75,000 คน[16] ทำเลที่ตั้งอันห่างไกลของฮาวายส่งผลให้รัฐนี้เป็นหนึ่งในรัฐที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ฮาวายเป็นรัฐที่มีความมั่งคั่งมากเป็นอันดับที่ 3[16] และผู้อยู่อาศัยของรัฐมีอายุคาดเฉลี่ยยืนยาวที่สุดในบรรดารัฐใด ๆ ของสหรัฐ อยู่ที่ 80.7 ปี[17] ศัพทมูลวิทยาชื่อรัฐฮาวายตั้งตามชื่อเกาะฮาวายหรือฮาไวอี (Hawaiʻi) เกาะขนาดใหญ่สุดของรัฐ โดยทั่วไปอธิบายว่าชื่อเกาะแผลงมาจากชื่อของฮาไวอีโลอา (Hawaiʻiloa) บุคคลจากประเพณีมุขปาฐะฮาวาย กล่าวกันว่าเขาเป็นผู้ค้นพบหมู่เกาะนี้ระหว่างการเข้ามาตั้งถิ่นฐานในยุคเริ่มแรก[18][19] คำว่า Hawaiʻi ในภาษาฮาวายมีความคล้ายคลึงกับคำว่า *Sawaiki ในภาษาพอลินีเชียดั้งเดิมซึ่งมีความหมายที่สืบสร้างขึ้นว่า "บ้านเกิด"[a] คำร่วมเชื้อสายของคำว่า Hawaiʻi สามารถพบได้ในภาษากลุ่มพอลินีเชียอื่น ๆ เช่น ภาษามาวรี (Hawaiki), ภาษาราโรโตงา (ʻAvaiki) และภาษาซามัว (Savaiʻi) ปูกูอีและเอลเบิร์ต นักภาษาศาสตร์ กล่าวว่า[21] "ในที่อื่น ๆ ของพอลินีเชีย คำว่า Hawaiʻi หรือคำร่วมเชื้อสายของมันเป็นชื่อของโลกใต้พิภพหรือชื่อของบ้านเกิดบรรพชน แต่ในฮาวาย ชื่อนี้กลับไม่มีความหมายใด ๆ"[22] อรรถาธิบายอ้างอิง
ดูเพิ่มแหล่งข้อมูลอื่น
|