ล็อกฮีด มาร์ติน เอฟ-35 ไลท์นิง 2
เอฟ-35 ไลท์นิ่ง 2 (อังกฤษ: F-35 Lightning II) "เครื่องบินขับไล่ยุคที่5 จากโครงการ Joint strike fighter ของสหรัฐ หรือ JSF ที่ไม่ได้มีดีแค่ Steath ที่หลายๆประเทศต่างต้องการมีไว้ประจำการในกองทัพของตัวเอง [6][7] การพัฒนาF-35 เป็นผลผลิตของโครงการเครื่องบินขับไล่โจมตีร่วม JSF หรือ Joint strike fighter ที่เป็นการร่วมโครงการเครื่องบินขับไล่หลายๆโครงการตั้งแต่ยุค 1980 จนถึงยุค 1990 ต้นกำเนิดโครงการ JSF เริ่มมาจากโครงการ Advanced Short takeoff/Vertical landing หรือ ASTOVL ที่ดำเนินการโดย Data ตั่งแต่ปี 1983 ถึง 1994 เพื่อหาเครื่องบินทดแทน Harrier Jump Jet ของนาวิกโยธินสหรัฐและกองทัพเรืออังกฤษ อย่าง McDonnell Douglas AV-8B HARRIER II โดยหนึ่งในโครงการลูกของ ASTOVL มีชื่อว่า Supersonic Fighter หรือ SSF ที่วิจัยและพัฒนาโดยที่งานของ SkunkWorks ของ Lockheed โดยมีเป้าหมายเป็นการสร้างเครื่องบินที่มาสามารถขึ้นลงในทางวิ่งที่สั่นและสามารถลงจอดในแนวดิ่งได้ เพื่อนำมาใช้งานทั่งกองทัพอากาศและนาวิกโยธินสหรัฐ แต่ในปี 1993 โครงการASTOVL ได้มีการเปลี่ยนชื่อไป เป็น Common Affordable lightweight Fighter หรือ CAIF อีกโครงการหนึ่งก็มีชื่อว่า Joint Advanced Strike Technology หรือ JAST ถูกก่อตั่งในปี 1993 จากการที่ยกเลิกโครงการ MRF ของกองทัพอากาศ และ โครงการ AXF ของกองทัพเรือ โดยโครงการ JAST นัน ไม่ได้เน้นการพัฒนาเครื่องบินแบบใหม่ แต่เป็นความต้องการของเทคโนโลยีและคอนเซปการโจมตีทางอากาศขั่นเก้าหน้า ทั่งโครงการ JAST และ CALF ต่างมีคอนเซป โครงการที่คล้ายกัน จึงมีการร่วมทั่งสองโครงการในปี 1994 ในชื่อ JAST โดยทั่งโครงการนี้จะออกแบบเครื่องบินให้ทั่งกองทัพอากาศ,กองทัพเรือ และนาวิกโยธินสหรัฐ และหลังจากนันในปีถัดมา ในปี 1995 โครงการ นี้ได้มีการเปลี่ยนชื่ออีกครังเป็น JSF หรือ Joint strike fighter โดยมีบริษัทที่เข้าร่วมโครงการได้แก่ Lockheed Martin Boeing McDonnell Douglas และ Northrop Grumman โครงการ JSF เป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่มาก โดยที่เป้าหมายที่จะมาพัฒนาเครื่องบินขับไล่ เพื่อมาทดแทนเครื่องบินแบบเดิมทั่ง F-16 F/A-18 AV-8B HARRIER II A-10 และ F-117 ถึงแม้ในช่วงเวลานันเองจะมีการพัฒนาเคริ่องบินขับไล่ล่องหนอย่าง Lockheed Martin F-22A Raptor แต่ก็ถูกออกแบบมาเพื่อประจำการอย่าง F-15 ของกองทัพอากาศสหรัฐเท่านัน ส่วนเครื่องบินในโครงการ JSF นี้ จะถูกนำไปใช้ในวงกว้าง เพื่อเป็นเครื่องบินขับไล่โจมตีที่ทำภารกิจได้หลากหลาย โครงการ JSF นี้ไม่ได้มีแค่สหรัฐเป็นผู้พัฒนาหลัก แต่มีผู้เข้าร่วมจากต่างชาติด้วยเช่น อังกฤษที่เคยร่วมพัฒนาตั่งแต่ โครงการ ASTOVL โดยครั้งนี้อังกฤษได้เซ็นสัญญาร่วมพัฒนาในปี 1995 โดนสนับสนุนเงินทุน 200 ล้านเหรียญสหรัฐหรือราวๆ10 เปอร์เซ็นต์ของ การสาธิตคอนเซป หลังจากนันในปี 1997 แคนาดาก็ลงนามด้วยเช่นเดียวกันด้วยเงินทุน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ การศึกษาโครงการที่เริ่มต้นมาตั่งแต่ 1993 มีบริษัทออกแบบอากาศยาน 4 บริษัทได้เสนอแบบมาดังนี้
ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 1996 การแข่งขันได้ถูกประการให้เหลือเพียง 2 บริษัท นันก็คือ Lockheed Martin และ Boeing โดนทั่งสองบริษัทจะต้องสร้างอากาศยานทดสอบที่จะสาธิตการใช้งานทั่ง 3 รูปแบบ
ต้นแบบของ Lockheed Martin มีชื่อว่า X-35 โดยต้นแบบลำแรกทำการบิน ในวันที่ 24 ตุลาคม ปี 2000 หลังจากมำการบินทดสอบไป 28 เที่ยวบิน มันได้ถูกดัดแปลงมาเป็น X-35B ที่มีกาติดตั่งชุดกังหัน เชื่อมต่อเพลากับเครื่องยนต์หลัก และทดการลงจอดทางดิ่งในปีถัดมา ส่วน X-35C ต้นแบบสำหรับขึ้นและลงบนเรือบรรทุกเครื่องบิน ได้ทำการบินครั่งแรกในเดือนธันวาคม ปี 2000 ในส่วนของ Boeing เครื่องบินต้นแบบมีชื่อว่า X-32 มันมีปีกแบบ Deltawing และท่อดูดอากาศขนาดใหญ่ โดย X-32A เป็นรุ่นที่ขึ้นลงแบบปกติ และใช้งานบนเรือบรรทุกเครื่องบิน โดยทำกาาบินครั่งแรกในวันที่ 18 กันยายน ปี 2000 และ X-32B เป็นรุ่น Short takeoff and Vertical landing หรือ STOVL ทำหาาบินคร้งแรกในว้นที้ 29 มีนาคม ปี 2001 ผลของการแข่งขัน ในวันที่ 26 ตุลาคม ปี 2001 ผู้ที่ชนะการแข่งขันคือเครืองบินต้นแบบของ Lockheed Martin X-35 ที่จะกล้ายมาเป็นเครื่องบินขับไล่แบบใหม่ ของกองทัพสหรัฐจาก F-22A RAPTOR ที่แรกจะมีการตั่งชื่อรหัสเป็น F-24 แต่ภายหลักได้ตั่งชื่อเป็น F-35 โครงการ JSF ได้เข้าสู่ขั่นตอนของ System Development and Demonstration หรือ SDD หรือการพัฒนาและสาธิตระบบ ลำตัวได้มีการปรับเปลี่ยนให้รองรับกับการติดตั่งอุปกรณ์ ต่างๆ ของ แพนด้าได้ปรับแต่ง นอกจากนี้ยังมีการออกแบบที่ติดตั่งอาวุธภายในลำตัวทั่ง 3 รุ่น ทั่ง F-35A F-35B และ F-35C ให้มีรูปแบบการติดต้งเดียวกัน จากการที่เครื่องบินต้นแบบ X-35 นันไม่ได้ออกแบบจุดติดตั่งอาวุธภายใน ส่งผลต่อน้ำหนักโดนรวมของเครื่องบินที่เพิ่มมากขึ้น และส่งผลต่อการออกแบบ F-35B ที่ต้องลงจอดในทางดิ่ง ที่ต้องออกแบบใหม่และส่งผลทำให้โครงการล่าช้าไปอีก 18 เดือน และงบประมาณที่สูงถึง 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ Lockheed Martin เป็นผู้รับเหมาหลักในการผลิตเครื่องบิน F-35 จะรับผิดชอบในการประกอบขั่นสุดท้ายรวมถึงการบรูณาการระบบต่างๆระบบ MS ไปจนถึงการผลิตอากาศยานในส่วนหน้า ปีก และระบบควบคุมการบิน ส่วนบริษัทรับเหมาช่วงจะประกอบไปด้วย Northrop Grumman ที่ดูแล้วทั่งระบบตรวจจับ ทั่ง เรดาห์ ระบบ OC ระบบการสื่อสาร,นำทางและการพิสูจน์ฝ่าย อีกทั่งยังผลิตลำตัวในส่วนกลาง ชุดตะขอเกี่ยวและช่องเก็บอาวุธภายใน ทางด้าน บริษัท BAE System จะพัฒนาทั้ง ซอฟท์แวร์ ระบบสงครามอิสทอนิก ระบบในการดีดตัวและช่วยเหลือชีวิตนักบินและการผลิตลำตัวในส่วนท้าย รวมถึงชุดแพนดางด้วย ในส่วนของบริษัท Alenia จะรับผิดชอบประกอบอากาศที่ใช้งานในอิตาลีและในกลุ่มประเทศยุโรป ยกเว้นอังกฤษ และตุรกี ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี 2006 F-35A ลำแรกของ Lockheed Martin ได้เปิดตัวออกมาให้สาธารณะได้รับชมโดยมีรหัสว่า AA-1 และทำการบินครั่งแรกในวันที่ 15 ธันวาคม ปี 2006 ในปีเดียวกันนันมันได้รับชื่อต่อท้ายว่า Lighting II ในเฟสของกาาพัฒนาและสาธิตระบบ หรือ SDD มีการพัฒนา ซอฟแวร์ของเครื่องบิน ที่ได้มีการพัฒนามาถึง 6 ครั่ง หรือที่เรียกว่า Block โดย 2 บล็อกแรก 1A และ 1D ถูกใช้งานสำหรับการฝึกนักบิน และการรักษาความปลอดภัยหลายระดับชั่น บล็อก 2A เป็นการปรับปรุง ขีความสามารถในการฝึก ในขณะที่ Block 2B เป็นแบบแรกที่สามารถทำการรบได้ โดยมันถูกนำมาใช้โดนขั่นตอนของ ขีความสามารถในการปฎิบัติการขั่นต้น หรือ IOC สำหรับ นาวิกโยธินสหรัฐ Block 3i ย้งคงขีความสามารถของ Block 2B แต่ประการใช้ ฮาว์แวฟใหม่บ้างตัว และวางแผนนำมาใช้กับกองทัพอากาศ และขั่นตอนสุดของการ SDD คือ บล็อก 3F จะมีขีดความสามารถพื่นฐานของการบินและการรบทั่งหมดและเครื่องบินในสายการผลิตเริ่มต้น อัตราการผลิตตาม LRIP หรือ Low-Rate Initial Production บ้างชุด จะมีการส่งมอบเครืองบิน ที่ได้ซอฟแวร์บล็อกเก่าๆที่จะได้รับการปรับปรุงเป็นบล็อก3F ในภายหลังเช่นกันการทดสอบ SDD มีการทำการบินมากกว่า 17000 ชั่วโมงบิน และสำเร็จขั่นตอนนี้เมือปี 2018 แต่ทว่าระหว่างที่ดำเนินการนัน ปัญหาที่ตรวจพบต่างๆทั่งจุดรอยราวบนเครื่องบิน F-35B และปัญหาตะขอเกี่ยวของ F-35C รวมถึงอีกหลายๆปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลทำให้โครงการมีความล่าช้า และค่าใช้การใช้จ่ายในการพัฒนาบานปลายเป็นจำนวนมาก จากเดิมที่มาการค่าเดาโครงการอยู่ที่ 2 แสนล้านเหรียญ จนในปี 2017 มูลค่านี้ได้มีการเพิ่มไปถึง 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัญหาต่างๆและความล่าช้านี้ ทำให้สายการผลิตแบบเต็มอัตราถูกเลื่อนออกไปจนถึงปี 2021 เครื่องบินขับไล่ F-35 นี้ ถูกออกแบบมาให้สามารถปรับปรุง ซอฟแวร์ได้ตลอดอายุของการใช้งาน โดยโครงการอัปเกรดแรกนี้มีชื่อว่า Proposed Weapon Growth C2D2 เริ่มต้นในปี 2019 และมีแผนเริ่มต้นใช้งานในปี 2024 โดยจะมีชื่อว่า Block 4 ประกอบไปด้วยการตัดแต่งระบบ AO ตามที่กองทัพอากาศในต่างประเทศการปรับปรุงระบบ ESM และระบบอื่นๆ การออกแบบF-35 ดูเหมือนว่าจะมีขนาดเล็กกว่า F-22 RAPTOR ที่มีสองเครื่องยนต์ การออกแบบท่อไอเสียนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจาก MODEL-200 ซึ่งเป็นอากาศยานขึ้น-ลงในแนวดิ่งในปีพ.ศ. 2515[8] เพื่อทำให้การพัฒนา F-35B รุ่นพิเศษที่เป็นอากาศยานขึ้น-ลงในแนวดิ่งที่ใช้งานบนเรือยกพลขึ้นบก ทาง LOCKHEED MARTIN จึงตึกต่อไปทางกับสำนักงานออกแบบยาโกเลฟ โดยการซื้อการออกแบบมาจากการพัฒนาของยาโกเลฟ ยัค-141[9][10] การพัฒนาที่เหนือกว่าเครื่องบินขับไล่ยุคปัจจุบันได้แก่
เครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ๆ ไม่สามารถติดตั้งถังเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ไปได้ทุกครั้ง แต่สำหรับ F-35มันจำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงอย่างมาก ไม่เหมือนกับ F-22 และ F/A-18 ตรงที่ F-35 นั้นไม่มีปีกเสริมส่วนหน้า แต่มันใช้ส่วนปีกเสริมที่เหมือนกับ SR-71 BLACKBIRD [13] ห้องนักบินF-35 มีจุดเด่นที่จอแสดงผลที่กว้างมากโดยมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 28x8 นิ้ว[14] ระบบจดจำเสียงของห้องนักบินมีไว้เพื่อเพิ่มความสามารถในการใช้งานเครื่องบินของนักบินได้มากกว่าเครื่องบินแบบทั่วไป F-35 จะเป็นเครื่องบินปีกนิ่งลำแรกของสหรัฐที่ใช้ระบบนี้ แม้ว่าระบบที่ใกล้เคียงกันจะมีอยู่ในAV-8Bและเอฟ-16 วิสต้า[15] ในการพัฒนาระบบจะทำโดยบริษัทอดาเซล ซิสเทมส์[16] นักบินจะบินโดยใช้คันบังคับทางขวามือและซ้ายมีจะเป็นคันเร่ง หมวดติดจอแสดงผลจะถูกใช้กับ F-35 ทุกรุ่น หมวกที่มีกล้องมองตามนั้นได้ถูกนำไปใช้กับ F-15 / F-16 และF/A-18 เรียบร้อยแล้ว[17] ในขณะที่เครื่องบินขับไล่บางลำมีหมวกติดจอแสดงผลพร้อมกับหน้าจอฮัด สิ่งนี้จะเป็นครั้งแรกในหลายทศวรรษที่เครื่องบินขับไล่แนวหน้าจะไม่มีหน้าจอฮัด[18] เก้าอี้ดีดตัวของมาร์ติน-เบเกอร์รุ่น US-16E ถูกนำมาใช้กับ F-35 ทุกรุ่น[19] ที่นั่ง US-16 อีนั้นมีความสมดุลในด้านการทำงาน รวมทั้งความปลอดภัยที่คำนึงถึงขีดจำกัดของสภาพแวดล้อม น้ำหนักของนักบิน และขนาดตัวของนักบิน มันใช้ระบบคันดีดคู่ซึ่งจะอยู่ที่ส่วนท้าย[20] เซ็นเซอร์F-35 มีเซ็นเซอร์ที่[21]] เป็นเซ็นเซอร์หลักคือเรดาร์ AN/APG-81ซึ่งออกแบบโดย NORTHROP GRUMMAN [22] มันจะทำงานร่วมกับระบบจับเป้าElectro-Optical Targeting System, EOTS ที่ติดตั้งอยู่ใต้ส่วนจมูกของเครื่องบินซึ่งออกแบบโดยล็อกฮีด มาร์ติน[23] สิ่งนี้ทำให้มันมีความสามารถเหมือนกับล็อกฮีด มาร์ติน สไนเปอร์ เอ็กซ์อาร์โดยไม่เป็นการเผยตัวของเครื่องบิน[24] รุ่นอื่นๆ ของ EOTS ยังถูกใช้โดยเจเนรัล อะตอมมิกส์ อเวนเจอร์ เซ็นเซอร์เพิ่มเติมอีกหกอย่างถูกติดตั้งทั่วเครื่องบินเพื่อเป็นระบบช่วย AN/AAQ-37 ของ NORTHROP GRUMMAN ซึ่งทำหน้าที่คล้ายระบบเตือนขีปนาวุธ มันจะรายงานตำแหน่ง ตรวจจับ และติดตามขีปนาวุธหรืออากาศยานรอบๆ F-35 และเข้ามาแทนที่กล้องมองกลางคืนแบบเดิม ทิ่งเหล่านี้จะทำงานพร้อมๆ กัน ในทุกทิศทาง และทุกเวลา ระบบสงครามอิเลคทรอนิกAN/AAQ-239 ของ F-35 ถูกออกแบบโดยเบและนอร์ทธรอป กรัมแมน[25] การสื่อสาร การนำร่อง และการะระบุถูกออกแบบโดยนอร์ทธรอป กรัมแมน F-35 จะเป็นเครื่องบินขับไล่แบบแรกที่มีการผสมผสานของเซ็นเซอร์ซึ่งมีทั้งคลื่นความถี่วิทยุและอินฟราเรดติดตามสำหรับการตรวจจับเป้าหมายอย่างต่อเนื่องและการระบุในทุกทิศทาง ซึ่งจะแบ่งข้อมูลกันโดยไม่เผยตัวตนขณะล่องหน[26] เครื่องยนต์เครื่องยนต์หลักของเอฟ-35 คือแพรทท์ แอนด์ วิทนีย์ เอฟ135 ส่วนเครื่องยนต์เจเนรัล อิเลคทริก/โรลส์-รอยซ์ เอฟ136 นั้นกำลังอยู่ภายใต้การพัฒนาเพื่อใช้เป็นเครื่องยนต์ทางเลือก[27] สำหรับเครื่องบินที่เป็นแบบขึ้น-ลงในแนวดิ่งนั้นจะใช่ระบบยกของโรลส์-รอยซ์ ระบบดังกล่าวคล้ายคลีงกับยัค-141 ของรัสเซียและวีเจ 101ดี/อีของเยอรมนี[28] ดังนั้นการออกแบบเครื่องบินขึ้น-ลงในแนวดิ่งรุ่นต่อๆ มา อย่างแฮร์ริเออร์ จัมพ์ เจ็ท ใช้ใบพัดของเครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์ เพกาซัส เพราะพบว่ามันไม่ง่ายนักที่จะออกแบบใบพัดอันเดียวที่ใหญ่พอจะผลักผ่านลมความเร็วต่ำเพื่อยกตัวขึ้นและใขณะเดียวกันต้องใหญ่พอที่จะทำความเร็วเหนือเสียง[ต้องการอ้างอิง] ลิฟท์ซิสเทมประกอบด้วยใบพัดยก ชาฟท์ขับเคลื่อน แท่นหมุนสองแท่น และ 3บีเอสเอ็ม (3 Bearing Swivel Module, 3BSM).[29] 3บีเอสเอ็มเป็นท่อไอเสียแบบขยับได้ซึ่งทำให้ท่อไอเสียของเครื่องยนต์หลักสามารถสะท้อนลงไปที่หางของเครื่องบิน ใบพัดยกที่อยู่ใกล้กับส่วนหน้าของเครื่องบินทำให้เกิดแรงขับที่สมดุล ใบพัดยกจะทำงานโดยเครื่องยนต์แรงดันต่ำผ่านทางชาฟท์ขับเคลื่อนและกระปุกเกียร์ การควบคุมการหมุนในตอนที่บินช้าๆ นั้นจะต้องสลับอากาศแรงดันสูงจากเครื่องยนต์แรงดันต่ำผ่านทางปีกที่มีท่อไอเสียแบบขยับติดตั้ง ซึ่งเรียกว่าแท่นหมุน (Roll Posts)[30] ใบพัดยกของเอฟ-35บีต้องพบกับผลกระทบจาก flow multiplier เช่นเดียวกับแฮร์ริเออร์ เหมือนกับเครื่องยนต์ยกคือโครงสร้างที่เพิ่มเข้าไปนี้เป็นการเพิ่มน้ำหนักขณะทำการบินตามแนวนอน แต่สร้างความสามารถในการยกตัวมากขึ้น ท่อไอเสียเย็นของใบพัดยังลดความร้อน ลมความเร็วสูงที่พุ่งลงด้านล่างขณะขึ้นในแนวดิ่ง (ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายให้กับลานวิ่งและดาดฟ้าเรือ) แม้ว่าจะซับซ้อนและเสี่ยง ระบบยกก็ทำงานได้ในระดับที่ผ่านการทดสอบ ปัจจุบันเครื่องยนต์เอฟ136 นั้นใช้ทุนมากในส่วนอื่นของโครงการ การลดจำนวนของอากาศยานที่จะผลิต และเพิ่มมูลค่าของพวกมัน[31] อย่างไรก็ตามทีมสร้างเอฟ136 อ้างว่าเครื่องยนต์ของพวกเขามีค่าแตกต่างของอุณหภูมิมากกว่า ซึ่งพิสูจน์ว่าเป็นปัญหากับการใช้ในแนวดิ่งในสภาพที่ร้อนและสูง[32] อาวุธเอฟ-35 มีปืนกลอากาศจีเอยู-22/เอสี่ลำกล้องขนาด 25 ม.ม.[33] ในเอฟ-35เอปืนใหญ่อากาศจะติดตั้งอยู่ภายในพร้อมกระสุน 180 นัด ในเอฟ-35บีและซีจะมีกระสุนในกระเปาะภายในเพิ่มอีก 220 นัด[34][35] แท่นปืนสำหรับบีและซีนั้นจะเป็นแบบเก็บเพื่ออำพราง แท่นนี้จะสามารถถูกใช้สำหรับอุปกรณ์ที่แตกต่างออกไปในอนาคต[36] ภายในจะมีขีปนาวุธอากาศสู่อากาศสองลูกและอาวุธอากาศสู่อากาศหรืออากาศสู่พื้นสองชิ้น (ระเบิดขนาด 2,000 ปอนด์ สองลูกในแบบเอและซี ระเบิดขนาด 1,000 ปอนด์สองลูกในแบบบี)[37]สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน[38] นั่นอาจเป็นเอไอเอ็ม-120 แอมแรม เอไอเอ็ม-132 แอสแรม เจแดม ระเบิดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดเล็กโดยใช้มากสุดได้อย่างละ 4 ในแต่ละช่องเก็บอาวุธ ขีปนาวุธบริมสโตนและชุดระเบิดพวง[38] ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศเอ็มบีดีเอ เมเทโอร์กำลังถูกนำมาใช้เพื่อเติมเต็มช่องเก็บอาวุธ สหราชอาณาจักรได้วางแผนเอาไว้ว่าจะใส่เอไอเอ็ม-132 แอมแรมเข้าไปสี่ลูก แต่ก็เปลี่ยนเป็นติดตั้งทั้งด้านในและด้านนอกอย่างละสองแทน[39] ยังมีการกล่าวอีกด้วยว่าช่องเก็บอาวุธจะถูกดัดแปลงเพื่อให้รับแอมแรมได้ 6 ลูก[40] เมื่อเรดาร์สามารถตรวจจับสิ่งใดก็ตามที่ยื่นออกจากเครื่องบิน ขีปนาวุธ ระเบิด และถังเชื้อเพลิงมากมายซึ่งติดบนปีกหรือปลายปีกจึงลดความสามารถในการอำพรางลง สองตำแหน่งที่ปลายปีกสามารถติดตั้งเอไอเอ็ม-9เอ็กซ์ได้เท่านั้น จุดอื่นๆ สามารถติดตั้งเอไอเอ็ม-120 แอมแรม สตอร์ม ชาโดว์ เอจีเอ็ม-158 แจสม์ ระเบิดนำวิถี ถังเชื้อเพลิงขนาด 480 และ 600 แกลลอน[41] ช่องเก็บอาวุธภายในสามารถเก็บเอไอเอ็ม-120 แปดลูกและเอไอเอ็ม-9 สองลูก[38][42] ด้วยความสามารถในการบรรทุกเอฟ-35 สามารถขนอาวุธได้มากกว่าเครื่องบินขับไล่แบบอื่นๆ รวมทั้งเอฟ-22 แร็พเตอร์[43] เลเซอร์ของแข็งกำลังถูกพัฒนาเพื่อเป็นอาวุธทางเลือกสำหรับเอฟ-35 ในปีพ.ศ. 2545[44][45][46] ระบบศูนย์เล็งติดหมวกเอฟ-35 ใช้การต่อสู้แบบใหม่ทั้งหมด แทนที่จะใช้การขับเคลื่อน ปีกเสริม หรือซูเปอร์ครูซเพื่อไล่ตามเป้าหมาย เอฟ-35 กลับใช้การผสมของคลื่นความถี่วิทยุกับอินฟราเรดเพื่อติดตามอากาศยานทุกลำที่อยู่ใกล้ๆ อย่างต่อเนื่อง หมวกติดจอแสดงผลของนักบินจะแสดง เลือกเป้าหมาย และยิงอาวุธเพื่อทำลายเป้าหมาย เพราะสิ่งนี้เองเอฟ-35 จึงไม่ต้องมีจอฮัดที่เครื่องบินขับไล่รุ่นก่อนหน้ามี เพราะมันไม่จำเป็นที่จะต้องหันเครื่องบินไปทางเป้าหมายอีกต่อไป[47][48] ความกังวลเกี่ยวกับการทำงานการทำงานของเอฟ-35 ถูกแสดงให้เห็นจากรายงานของการจำลองซึ่งเครื่องบินซุคฮอยของรัสเซียจำนวนมากเอาชนะเอฟ-35 จำนวนหนึ่งได้ด้วยการไม่เติมเชื้อเพลิงทางอากาศ[49] จากผลที่ได้รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของออสเตรเลียโจเอล ฟิทซ์กิบบอนได้ร้องขอผลรายงานอย่างเป็นทางการจากคอมพิวเตอร์จำลองการบิน มันกล่าวว่ารายงานจากการจำลองการบินนั้นไม่แม่นยำ และไม่สามารถเทียบได้กับการทำงานของเอฟ-35 ต่อเครื่องบินลำอื่น[50] คำวิจารณ์ต่อเอฟ-35 ได้ถูกทำลายโดยเพนตากอนและบริษัทผู้ผลิต[49][51] กองทัพอากาศสหรัฐได้จัดให้มีการประเมินการทำงานในอากาศของเอฟ-35 เมื่อต้องต่อสู้กับเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 4 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และได้พบว่าเอฟ-35 มีประสิทธิภาพมากกว่าอย่างน้อย 4 เท่า นายพลชาร์ลส อาร์ เดวิส นายทหารที่ดูแลโครงการเอฟ-35 ได้กล่าวว่าเอฟมีอัตราการสังหารที่เหนือกว่าข้าศึกทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งซุคฮอย[51] รัสเซีย อินเดีย จีน และประเทศอื่นๆ มากมายล้วนใช้ซุคฮอย ซู-27/30 ความรับผิดชอบด้านการผลิตล็อกฮีด มาร์ติน แอโรนอติกส์เป็นผู้ทำสัญญารายใหญ่และสร้างการทำงานของเครื่องบินจนเสร็จ ทั้งระบบทำงานทั้งหมด ระบบภารกิจ ลำตัวส่วนหน้า ปีก และระบบควบคุมการบิน นอร์ทธรอป กรัมแมนสร้างเรดาร์เออีเอสเอ (Active Electronically Scanned Array, AESA) ระบบดีเอเอส (Infrared Distributed Aperture System, DAS) การสื่อสาร การนำร่อง การระบุ ลำตัวส่วนกลาง ช่องเก็บอาวุธ และอุปกรณ์ยึดจับ เบ ซิสเทมส์สร้างลำตัวส่วนหลัง หาง ระบบช่วยเหลือลูกเรือ ระบบสงครามอิเลคทรอนิก ระบบเชื้อเพลิง และซอฟต์แวร์ควบคุมการบิน ทางเอลีเนียจะสร้างขั้นตอนสุดท้ายให้กับอิตาลี และเครื่องบินของยุโรปทั้งหมดยกเว้นตุรกีกับสหราชอาณาจักร[52] ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 ได้มีการฟ้องโดยอดีตลูกจ้างซอฟต์แวร์เอฟ-35 ต่อล็อกฮีด มาร์ตินในเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพของซอฟต์แวร์ที่ถูกปิดบัง โดยกล่าวว่าซอฟต์แวร์นั้นไม่ปลอดภัยเพราะมันไม่ได้มาตรฐาน[53] เครื่องบินรบกวนสัญญาณรุ่นใหม่นาวิกโยธินสหรัฐกำลังพิจารณาที่จะแทนที่อีเอ-6บี โพรว์เลอร์ด้วยเอฟ-35 ซึ่งมีกระเปาะรบกวนสัญญาณอำพรางติดอยู่ด้วย[54] ในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 กองทัพเรือสหรัฐได้บอกความต้องการต่อนอร์ทธรอป กรัมแมนและกล่าวว่าการออกแบบจะต้องเป็นแบบเปิเ[55] กองทัพเรือได้เลือกบริษัทไว้ 4 บริษัทเพื่อทำการออกแบบเครื่องบินรบกวนสัญญาณรุ่นใหม่[56] ประวัติการใช้งานการทดสอบในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 เอฟ-35เอลำแรกได้ปรากฏตัวที่ฟอร์ธเวิร์ธรัฐเท็กซัส เครื่องบินได้รับการทดสอบบนพื้นดินที่ฐานทดสอบทางอากาศของกองทัพเรือในปีพ.ศ. 2549 ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ได้มีการทดสอบเครื่องยนต์เอฟ135 พร้อมการสันดาป โดยการทดสอบเสร็จสิ้นในวันที่ 18 ธันวาคมเมื่อมีการใช้สันดาปท้ายเต็มที่ เอฟ-35 ทำงานสมบูรณ์เป็นครั้งแรกเมื่อมันใช้เครื่องยนต์ของตนเองอย่างเต็มกำลัง[57] ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2549 เอฟ-35เอก็ทำการบินครั้งแรกสมบูรณ์ สื่อบันเทิงF-35 ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องแรก และเรื่องเดียวในขณะนี้ คือภาพยนตร์เรื่อง Live Free or Die Hard หรือ Die Hard 4.0 ในช่วงท้ายของเรื่อง ที่พระเอกต้องขับรถขนสารพิษ และถูกไล่ล่าโดยเครื่องบินรุ่นนี้ ยังมีอีกเรื่อง กรีน แลนเทิร์น Green Lantern ประเทศผู้ใช้งาน
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ล็อกฮีด มาร์ติน เอฟ-35 ไลท์นิง 2
|