ศาสนาในประเทศอิรักศาสนาในประเทศอิรักส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ซึ่งแบ่งออกเป็นสองลักธิหลักคือ ชีอะฮ์และซุนนี รายงานจากเดอะเวิลด์แฟกต์บุ๊กของซีไอเอ ร้อยละ 95 ถึง 98 ของประชากรเป็นมุสลิม[2] รองจากนี้คือศาสนาคริสต์, การผสานความเชื่อทางศาสนาแบบลัทธิยาซีดี, ศาสนามันดาอี, ลัทธิชะบัก และลัทธิยาร์ซาน อิสลามมุสลิมในประเทศอิรักนับถือศาสนาอิสลามสองแบบคือ ชีอะฮ์และซุนนี รายงานจากเดอะเวิลด์แฟกต์บุ๊กของซีไอเอ ร้อยละ 99 ของชาวอิรักเป็นมุสลิม: อิรักเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางศาสนาหลายแห่งทั้งซุนนีและชีอะฮ์ แบกแดดเคยเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ศาสนาอิสลามเป็นเวลาหลายศตวรรษและทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงของรัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ เมืองกัรบะลาอ์โดดเด่นในกลุ่มชีอะฮ์จากผลของยุทธการที่กัรบะลาอ์ ซึ่งเริ่มในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 680 เช่นเดียวกันกับนาจาฟที่โดดเด่นจากการเป็นที่ฝังศพของอะลี อิบน์ อะบีฏอลิบ (หรือ"อิหม่ามอะลี") ที่ชาวกูฟะฮ์ทรยศและฆ่าท่าน ชีอะฮ์ถือว่าอะลีเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่เที่ยงธรรมและเป็นอิหม่ามคนแรก ปัจจุบันตัวเมืองเป็นศูนย์กลางขนาดใหญ่สำหรับผู้แสวงบุญจากทั่วโลกชีอะฮ์ แม้ว่าจะมีการโต้แย้งเรื่องสุสานของท่าน และมีการประมาณการว่ามีแค่มักกะฮ์และมะดีนะฮ์เท่านั้นที่สามารถรับผู้แสวงบุญได้ เมืองกูฟะฮ์เป็นบ้านเกิดของอะบูฮะนีฟะฮ์ นักวิชาการซุนนี เช่นเดียวกันกับซามัรรออ์ที่เป็นที่ตั้งของมัสยิดอัลอัสกะรี ซึ่งมีสุสานของอะลี อัลฮาดีกับฮะซัน อัลอัสกะรี อิหม่ามคนที่ 10 กับ 11 ตามลำดับ กับศาลเจ้ามุฮัมมัด อัลมะฮ์ดี ซึ่งเป็น"อิหม่ามซ่องเร้น" ผู้เป็นอิหม่ามคนที่ 12 และคนสุดท้ายของชีอะฮ์มัซฮับญะอ์ฟารี นอกจากนี้ ญาติฝ่ายหญิงของศาสดามุฮัมมัดถูกฝังที่ซามัรรออ์ด้วย ทำให้ตัวเมืองมีสถานที่สำคัญทั้งฝ่ายชีอะฮ์กับซุนนี นอกจากนี้ยังมีลัทธิขนาดเล็กนประเทศนี้ด้วย เช่นชัยคียะฮ์ของชีอะฮ์ในบัสรากับกัรบะลาอ์ เคิร์ดร้อยละ 98 ของชาวอิรักเชื้อสายเคิร์ดเป็นมุสลิม โดยเป็นชีอะฮ์เฟย์ลีร้อยละ 2[3] ส่วนใหญ่อาศัยอยูทางเหนือของประเทศ ชาวอิรักเชื้อสายเคิร์ดส่วนใหญ่นับถือมัซฮับชะฟิอี ในขณะที่บางส่วนนัับถือมัซฮับกอดิรียะฮ์หรือนักชะบันดี[4] เติร์กเมน/เตอร์โกแมนชาวอิรักเชื้อสายเติร์กเมนประมาณร้อยละ 75 เป็นมุสลิมนิกายซุนนี ส่วนประมาณร้อยละ 25 เป็นชีอะฮ์[5][6] โดยรวมแล้ว ชาวอิรักเชื้อสายเติร์กเมนส่วนใหญ่เป็นฆราวาส[5] ปัจจัยทางศาสนาและชนเผ่าในวัฒนธรรมการเมืองอิรักไม่ส่งผลทั่งฝ่ายซุนนีและชีอะฮ์[7] คริสต์ศาสนาคริสต์เริ่มเข้ามาในประเทศอิรักใน ค.ศ. 40 โดยโธมัสอัครทูต, ธัดแดอุสแห่งเอเดซซา กับอักกากีและมารี ศิษย์ของท่าน โธมัสกับธัดแดอุสเป็นสองในสิบสองอัครทูตของพระเยซู[8] ชาวอัสซีเรียมีเกือบร้อยละ 3 ของประชากรทั้งหมด (แฟกต์บุ๊กของซีไอฉบับแรก ๆ) ส่วนใหญ่อยู่ในอิรักตอนเหนือ ปัจจุบันไม่มีการบันทึกสถิติทางการ โดยใน ค.ศ. 1950 มีชาวคริสต์ร้อยละ 10–12 ของประชากร 5.0 ล้านคน จนกระทั่งมีชาวคริสต์ 1.5 ล้านคนจากประชากร 26 ล้านคนใน ค.ศ. 2003 นับตั้งแต่สงครามอิรักใน ค.ศ. 2003 ก็ไมมีการทำสำมะโนอีกเลย โดยมีชาวคริสต์ในอิรักประมาณ 1.2–2.1 ล้านคน ปัจจุบันชาวคริสต์ในประเทศอิรักมีอยู่ 4 นิกาย:
ลัทธิยาซีดียาซีดีเป็นกลุ่ม[9]ที่มีผู้นับถือมากกว่า 650,000 คน โดยมีเมืองโมซูลเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของยาซีดีคือชัยค์อะดีที่เนโครโปลิส ลาลิช โซโรอัสเตอร์ศาสนาโซโรอัสเตอร์เคยเป็นหนึ่งในศาสนาที่มีผู้นับถือมากในเคอร์ดิสถานก่อนที่ศาสนาอิสลามจะมาที่นี่ ปัจจุบัน[10] ศาสนาโซโรอัสเตอร์เป็นศาสนาที่ได้รับการยอมรับในเคอร์ดิสถานในประเทศอิรักและประเทศอิหร่าน โซโรอัสเตอร์เป็นศาสนาเติบโตเร็วสุดในชาวเคิร์ด โดยเฉพาะในภาคเหนือของประเทศอิรัก[11] เพราะพันธะทางศาสนากับวัฒนธรรมเคิร์ด และในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2015 รัฐบาลภูมิภาคเคอร์ดิสถานยอมรับศาสนาโซโรอัสเตอร์เป็นศาสนาในเคอร์ดิสถานส่วนประเทศอิรัก[12] รายงานจากยัสนา สมาคมที่สนับสนุนศาสนาโซโรอัสเตอร์ในเคอร์ดิสถาน ตั้งแต่ ค.ศ. 2014 มีผู้เข้าร่วมมูลนิธิประมาณ 15,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวเคิร์ดที่เคยนับถือศาสนาอิสลาม[13][14][15] ชาวอิรักในเคอร์ดิสถานเริ่มเข้ารีตจากอิสลามไปนับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ตั้งแต่ ค.ศ. 2015 ้เป็นต้นมา โดยมีการสร้างวิหารไฟแรกที่เปิดตัวใน ค.ศ. 2016[16] ชาวเคิร์ดหลายคนหันไปนับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ โดยเฉพาะหลังจากการโจมตีเคอร์ดิสถานของไอซิล[17][18] การที่มุสลิมชาวเคิร์ดเปลี่ยนมานับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์มากขึ้น ความเชื่อจากบรรพบุรุษของพวกเขา ส่วนใหญ่มาจากความหมดหวังต่อศาสนาอิสลามหลังจากการก่อความรุนแรงและความป่าเถื่อนที่เตรียมการโดยกลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลามอิรักและลิแวนต์เป็นเวลาหลายปี[19][20] ในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2016 มีการเปิดตัววิหารไฟของเคอร์ดิสถานในประเทศอิรักแห่งแรกที่อัซซุลัยมานียะฮ์ ผู้เข้าร่วมฉลองด้วยการจุดไฟพิธีและตีกลอง[21] ไม่มีการนับจำนวนผู้นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์อย่างถูกต้อง เพราะเอกสารรัฐบาลมักใส่ชื่อพวกเขาเป็น"มุสลิม"แทน[22] ศาสนามันเดอีศาสนามันดาอีเป็นศาสนาที่นับถือโดยชาวมันดาอีทางใต้ของอิรัก รายงานจากฮาวัน กาไวตา มีข้อความกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของชาวมันดาอี โดยพวกเขามาที่จักรวรรดิพาร์เธียในรัชสมัยอาร์ธาบานุสที่ 2 และต่อมาค่อยอพยพไปที่บาบิโลเนียใต้[23][24] อย่างไรก็ตาม ชาวมันดาอีเชื่อว่าศาสนาของตนมีมาก่อนศาสนายูดาห์และคริสต์ โดยสามารถสืบไปได้ถึงศาสดาอาดัม[25] มีชาวมันดาอีอาศัยอยู่ในประเทศอิรักประมาณ 60,000 คนก่อนสงครามอิรักใน ค.ศ. 2003 [26][27] ยูดาห์ศาสนายูดาห์เริ่มมาที่อิรักในรัชสมัยของกษัตริย์บาบิโลน พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 หลังสงครามหกวันในประเทศอิสราเอล การก่อกบฏทำให้ชาวยิวเริ่มอพยพออกไป ปัจจุบันมีชาวยิวในแบกแดดประมาณ 8 คน (2007),[28] 7 คน (2008)[29] และ 5 คน (2013) [ต้องการอ้างอิง] ในสถานีกองทัพสหรัฐที่ประเทศอิรัก มีอนุศาสนาจารย์ยิวเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น[30] อ้างอิง
|