สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน
สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน (อังกฤษ: War of the Spanish Succession) (ค.ศ. 1702–ค.ศ. 1714) ซึ่งรวมทั้งสงครามพระนางแอนน์ (Queen Anne's War) ใน ทวีปอเมริกาเหนือเป็นสงครามครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของทวีปยุโรปเกี่ยวกับปัญหาการสืบสันติวงศ์ของบัลลังก์สเปน ซึ่งเป็นผลให้มีการเปลี่ยนความสมดุลทางอำนาจในยุโรป ผู้เป็นผู้นำทางทหารที่สำคัญ ๆ ในสงครามครั้งนี้ก็ได้แก่โคลด ลุยส์ เฮคเตอร์ แห่งวิลลาร์ส, เจมส์ ฟิทซเจมส์ ดยุกแห่งเบอร์วิก, จอห์น เชอร์ชิล ดยุกแห่งมาร์ลบะระ และเจ้าชายเออแฌนแห่งซาวอย ในปี ค.ศ. 1700 พระเจ้าการ์โลสที่ 2 แห่งสเปนสวรรคตและทรงทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างให้ดยุกแห่งอองชู พระนัดดาในพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส และผู้กลายมาเป็นพระเจ้าเฟลีเปที่ 5 แห่งสเปน สงครามจึงค่อย ๆ ประทุขึ้นโดยจักรพรรดิเลโอโปลด์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ทรงต่อสู้เพื่อรักษาบัลลังก์สเปนไว้กับฮับส์บูร์ก เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เริ่มขยายดินแดนอย่างรวดเร็ว ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปโดยเฉพาะราชอาณาจักรอังกฤษ โปรตุเกส และเนเธอร์แลนด์จึงเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อต่อต้านฝรั่งเศส[3] รัฐอื่น ๆ เข้าร่วมในสงครามต่อต้านฝรั่งเศสและสเปนเพื่อจะหวังที่ได้ดินแดนเพิ่ม หรือเพื่อป้องกันการเสียดินแดนที่ครองอยู่ สงครามไม่จำกัดอยู่แต่ในยุโรปเท่านั้นแต่ในทวีปอเมริกาเหนือซึ่งรู้จักระหว่างชาวอาณานิคมอังกฤษในนามว่า “สงครามพระราชินีนาถแอนน์” และจากทหารคอร์แซรส์และโจรสลัดหลวง (privateers) ตามแนวสเปน (Spanish Main) — แนวฝั่งทะเลของสเปนในทวีปอเมริกาเหนือตั้งแต่บริเวณริมฝั่งรัฐฟลอริดาปัจจุบันเรื่อยลงไปทางเม็กซิโกลงไปจนถึงทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ มีการประมาณการว่ายอดผู้เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้อาจสูงถึง 400,000 คน[4] สนธิสัญญาสงครามสงบลงด้วยการลงนามในสนธิสัญญาอูเทร็คท์เมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 1713 และ การประชุมราสชตัทครั้งที่ 1 ค.ศ. 1714 (First Congress of Rastatt 1714) ผลจากสงครามคือพระเจ้าเฟลีเปที่ 5 ยังคงเป็นพระเจ้าแผ่นดินสเปนแต่ถูกยกเลิกสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ฝรั่งเศสซึ่งเป็นการป้องการการรวมตัวระหว่างราชอาณาจักรสเปนและฝรั่งเศส ออสเตรียไดัรับดินแดนที่เคยเป็นของสเปนในอิตาลีและเนเธอร์แลนด์ทั้งหมด ความมีอิทธิพลเหนือกว่า (Hegemony) ประเทศใด ๆ ในยุโรปของฝรั่งเศสต่อยุโรปก็สิ้นสุดลงและปรัชญาการสร้างความสมดุลทางอำนาจ (balance of power) กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งกล่าวถึงในสนธิสัญญาอูเทรชท์[5] อ้างอิง
ดูเพิ่ม |