หลี่ เซียนเนี่ยน
หลี่ เซียนเนี่ยน (จีน: 李先念; พินอิน: Lǐ Xiānniàn; 23 มิถุนายน ค.ศ. 1909 – 21 มิถุนายน ค.ศ. 1992) เป็นผู้นำทางการเมืองและทหารคอมมิวนิสต์ชาวจีน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1983 ถึง 1988 ภายใต้การนำของผู้นำสูงสุดเติ้ง เสี่ยวผิง[3] และหลังจากนั้นเป็นประธานสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1988 กระทั่งเสียชีวิต เขาเป็นสมาชิกเต็มตัวของกรมการเมืองตั้งแต่ ค.ศ. 1956 ถึง 1987 และเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญตั้งแต่ ค.ศ. 1956 ถึง 1987[4][5] หลี่ทำงานเป็นช่างไม้ฝึกหัดในช่วงวัยรุ่นเพื่อจุนเจือครอบครัว เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1927 และกลายเป็นทหารในกองทัพแดงจีน หลังจากศึกษาที่มหาวิทยาลัยการทหารและการเมืองและโรงเรียนพรรคส่วนกลาง เขาได้กลายเป็นผู้บัญชาการทหารที่มีอิทธิพลและประสบความสำเร็จในช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สองและสงครามกลางเมืองจีน โดยสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเองในการทัพหวยไห่[4] หลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เขาทำหน้าที่เป็นผู้ว่าการและเลขาธิการพรรคประจำมณฑลหูเป่ย์บ้านเกิดของเขาตั้งแต่ ค.ศ. 1949 ถึง 1954 จากนั้นจึงเข้าร่วมคณะผู้นำส่วนกลางในปักกิ่ง โดยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ค.ศ. 1954–1970) และรองนายกรัฐมนตรี (ค.ศ. 1954–1982) เขาสนับสนุนฮฺว่า กั๋วเฟิง ผู้สืบทอดตำแหน่งของเหมา เจ๋อตง และได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานพรรค (ค.ศ. 1977–1982) เขาเป็นหนึ่งในแปดผู้อาวุโสของพรรค และถือเป็นผู้มีแนวคิดซ้ายจัดที่สุดในกลุ่ม ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ หลี่มีส่วนสำคัญในการขัดขวางการแปรรูปและรักษาการควบคุมของรัฐในหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจ เขาส่งเสริมค่านิยมทางการเมืองและวัฒนธรรมคอมมิวนิสต์แบบดั้งเดิมผ่านการอุปถัมภ์นักทฤษฎี เช่น หู เฉียวมู่และเติ้ง ลี่ฉฺวิน และมีส่วนสำคัญในการกวาดล้างนักเสรีนิยม เช่น หู เย่าปังและจ้าว จื่อหยาง เขาสนับสนุนการปราบปรามทางทหารในการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 อย่างกระตือรือร้น ประวัติชีวิตช่วงต้นหลี่เกิดในอำเภอหงอาน หูเป่ย์ ในครอบครัวยากจน และใช้เวลาช่วงวัยรุ่นในการทำงานในร้านช่างไม้ เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1927 และทำหน้าที่เป็นผู้กองและกรรมาธิการการเมืองของกองทัพแดงจีนในช่วงการเดินทัพทางไกล เขาเป็นทหารในกองทัพลู่ตะวันตกของจาง กั๋วเทา[6]: 476 หลังมาถึงเหยียนอาน เขาศึกษาที่มหาวิทยาลัยการทหารและการเมืองต่อต้านญี่ปุ่นและโรงเรียนพรรคส่วนกลาง ที่นี่เขาอยู่ภายใต้แรงกดดันเช่นเดียวกับทหารคนอื่น ๆ ที่เคยประจำการในกองทัพลู่ตะวันตก เขาต่อสู้ในสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ซึ่งเขาถูกส่งไปยังภูมิภาคหูเป่ย์–เหอหนานเพื่อเป็นผู้นำกองโจรและก่อตั้งฐานทัพต่อต้านญี่ปุ่น[6]: 477 และสงครามกลางเมืองจีน โดยเฉพาะในที่ราบภาคกลาง และมีส่วนสำคัญในชัยชนะของคอมมิวนิสต์หลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทัพหวยไห่[4] จีนสมัยเหมาหลังพรรคคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะในจีน หลี่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการและเลขาธิการพรรคประจำมณฑลหูเป่ย์บ้านเกิดของเขาระหว่าง ค.ศ. 1949 ถึง 1954 และเขายังทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการและกรรมาธิการการเมืองของกองทหารรักษาการณ์ประจำมณฑลอีกด้วย นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการการทหารสาธารณรัฐประชาชนจีนสำหรับจีนตอนใต้–ตอนกลาง (กำกับดูแลกำลังทหารและความมั่นคงมหาชนในกวางตุ้ง, ไหหลำ, เหอหนาน, หูเป่ย์ และหูหนาน) ใน ค.ศ.1954 หลี่เข้าร่วมกับผู้นำส่วนกลางในปักกิ่งและกลายเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของจีน เขายังได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีตลอดช่วงปี ค.ศ. 1954–1982 ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม หลี่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสต่อต้านเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งวิจารณ์การปฏิวัติทางวัฒนธรรมว่าสร้างความวุ่นวายในสังคมและบ่อนทำลายผู้นำของจีน[7]: 154 แม้จะเสียตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังใน ค.ศ. 1970 แต่เขาก็ยังคงได้รับการปกป้องจากโจว เอินไหลและเป็นข้าราชการพลเรือนเพียงคนเดียวที่ทำหน้าที่เคียงข้างโจวอย่างไม่หยุดหย่อนตลอดทศวรรษปฏิวัติทางวัฒนธรรม (ค.ศ. 1966–1976)[8]: xviii ใน ค.ศ. 1976 หลี่มีส่วนสำคัญในการทำลายแก๊งออฟโฟร์ หลังการล่มสลายของแก๊ง หลี่ได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนและสมาชิกของคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง การเมืองหลังสมัยเหมาเมื่อประธานฮฺว่า กั๋วเฟิงขึ้นสู่อำนาจหลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา เจ๋อตง หลี่ก็กลายเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจหลักของฮฺว่าและหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของเขา ร่วมกับนายพลวัง ตงซิ่งและเฉิน ซีเหลียน หากฮฺว่าประสบความสำเร็จในการพยายามบรรลุอำนาจสูงสุด หลี่ก็คงกลายเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่ทรงอำนาจที่สุดในจีน แต่เส้นทางการเมืองของหลี่ก็ต้องชะงักเมื่อเติ้ง เสี่ยวผิงแซงหน้าฮฺว่าขึ้นเป็น "ผู้นำสูงสุด" ของจีน ตลอดช่วงที่เหลือของอาชีพการงานของเขา หลี่บ่นว่าความสำเร็จของตนในช่วงเวลาสั้น ๆ ของช่วงว่างระหว่างสมัยฮฺว่าไม่ได้รับการยอมรับอย่างเพียงพอว่าเป็นพื้นฐานของความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในประเทศจีนระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1980 หลี่ถูกอธิบายว่าเป็นคอมมิวนิสต์แบบ "ออร์โทด็อกซ์" หรือ "แบบโซเวียต" และเป็นผู้ศรัทธาอย่างมั่นคงในแผนงานจากส่วนกลางและความสอดคล้องทางสังคมและการเมือง ดังนั้นเขาจึงไม่ชอบแนวคิดปฏิรูปเศรษฐกิจที่รุนแรงกว่าของเติ้ง เสี่ยวผิง ในความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นผู้รับผิดชอบส่วนใหญ่ในการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะสั้น 10 ปี ค.ศ. 1978 ซึ่งพยายามสร้างเศรษฐกิจแบบโซเวียตโดยเน้นที่อุตสาหกรรมหนักและการผลิตพลังงาน แนวคิดของหลี่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากกลุ่มผู้นำระดับสูงของจีนบางส่วน เช่น นายพลยฺหวี ชิวหลี่และ "กลุ่มน้ำมัน" ของเขา ซึ่งต่างก็สนับสนุนหลี่อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เติ้งรีบยุติแนวคิดเหล่านี้และริเริ่มแนวทาง "ไปช้า ๆ" ของตนเอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอนุญาตให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมเบาและสินค้าอุปโภคบริโภคแบบค่อยเป็นค่อยไป[8]: xviii [9] เขายังมอบตำแหน่งในรัฐบาลให้แก่คนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนแนวคิดของเขาด้วย หนึ่งในนั้นคือนายกรัฐมนตรีจ้าว จื่อหยาง ซึ่งหลี่คัดค้านอย่างหนักเพราะว่าเขาเต็มใจรับแนวคิดตะวันตกมากเกินไปและละทิ้งเศรษฐกิจแบบวางแผน ตามที่จ้าวกล่าวไว้ว่าหลี่ "เกลียดฉันเพราะฉันดำเนินการปฏิรูปของเติ้ง เสี่ยวผิง แต่เนื่องจากเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะคัดค้านเติ้งอย่างเปิดเผย เขาจึงทำให้ฉันกลายเป็นเป้าหมายของการคัดค้านของเขา"[8]: xviii–xix ประธานาธิบดีใน ค.ศ. 1983 หลังมีการตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หลี่ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีจีนเมื่ออายุ 74 ปี แม้ตามรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. 1982 จะระบุว่าบทบาทของประธานาธิบดีนั้น "เป็นเพียงพิธีการเป็นหลัก" แต่รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวก็ยอมรับสถานะของหลี่ในฐานะผู้อาวุโสพรรคที่ได้รับการเคารพนับถือและสมาชิกของคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน และตัวหลี่เองก็ใช้อิทธิพลที่ยังคงมีมากของเขาอย่างแข็งกร้าวเพื่อสนับสนุนนโยบายฝ่ายซ้าย ใน ค.ศ. 1984 หลี่พบกับประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนแห่งสหรัฐในระหว่างการเยือนจีนของเรแกน โดยเฉพาะการหารือเกี่ยวกับสถานะของไต้หวันกับประธานาธิบดี[10] หลี่เดินทางเยือนสหรัฐในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1985 นับเป็นครั้งแรกที่ประมุขแห่งรัฐของสาธารณรัฐประชาชนจีนเดินทางเยือนในลักษณะดังกล่าว เมื่อทศวรรษผ่านไป เติ้ง เสี่ยวผิงซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับการดำรงตำแหน่งตลอดชีพมาตลอด ค่อย ๆ สามารถโน้มน้าวผู้อาวุโสพรรคส่วนใหญ่ให้เกษียณอายุได้ หลี่ลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีใน ค.ศ. 1988 และหยาง ช่างคุน ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน จากนั้นหลี่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการแห่งชาติประจำสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน เขาเป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันในการก้าวขึ้นสู่อำนาจของเจียง เจ๋อหมิน[ต้องการอ้างอิง] และระหว่างการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 หลี่เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสพรรคที่มีแนวคิดสายแข็งที่ผลักดันให้มีการตอบโต้การประท้วงอย่างแข็งกร้าวและสนับสนุนความประสงค์ของนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิงที่จะใช้กำลังทหารเพื่อปราบปรามการประท้วง[5][11][12] หลี่ยังคงทำงานในรัฐบาลจนกระทั่งเสียชีวิตใน ค.ศ. 1992 เป็นหนึ่งปีก่อนวาระของเขาจะหมดลง ครอบครัวหลี่มีลูกสี่คน หลี เสี่ยวหลิน ลูกสาวคนเล็กของเขา เป็นประธานสมาคมประชาชนจีนเพื่อมิตรภาพกับต่างประเทศ และสมาชิกคณะกรรมาธิการแห่งชาติประจำสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน[13][14] เสียชีวิตและการรำลึกหลี่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1992 ขณะมีอายุได้ 82 ปี ใกล้จะอายุครบ 83 ปีเพียง 2 วัน[15] พิธีศพของเขาจัดขึ้นในวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1992 โดยมีสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองเข้าร่วม หลังพิธีเสร็จสิ้น หลี่ก็ฌาปนกิจ[16] รางวัลและเกียรติยศ
อ้างอิง
หนังสืออ่านเพิ่ม
|