ฮฺว่า กั๋วเฟิง
ฮฺว่า กั๋วเฟิง (จีน: 华国锋; พินอิน: Huà Guófēng; ชื่อเกิด ซู จู้; 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 – 20 สิงหาม ค.ศ. 2008)[1] เป็นนักการเมืองชาวจีนผู้ดำรงตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนและนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของจีน ในฐานะผู้สืบทอดที่ได้รับเลือกจากเหมา เจ๋อตง เขาดำรงตำแหน่งสูงสุดของรัฐบาล พรรค และกองทัพหลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมาและนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล แต่ค่อย ๆ ถูกบังคับให้ออกจากอำนาจสูงสุดโดยกลุ่มผู้นำพรรคระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1978 จนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1981 และถอนตัวจากวงการเมืองในเวลาต่อมา แม้จะยังคงเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนจนถึง ค.ศ. 2002 ฮฺว่าเกิดและเติบโตในเจียวเฉิง เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1938 และเข้าร่วมทั้งสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สองและสงครามกลางเมืองจีนในฐานะนักรบกองโจร[2] ใน ค.ศ. 1948 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคประจำเซียงถานในหูหนาน ซึ่งรวมถึงเฉางชานซึ่งเป็นบ้านเกิดของเหมาด้วย ฮฺว่าซึ่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมได้ก้าวขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคของหูหนานในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และได้รับการยกระดับสู่เวทีระดับชาติในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับตำแหน่งที่กระทรวงความมั่นคงมหาชนใน ค.ศ. 1973 และรองนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1975 ภายหลังการถึงแก่อสัญกรรมของโจว เอินไหลในเดือนมกราคม ค.ศ. 1976 เหมาเลื่อนตำแหน่ฮฺว่าให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนที่ 1 ซึ่งทำให้เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเหมา ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1976 หนึ่งเดือนหลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา ฮฺว่าได้จับกุมและปลดกลุ่มแก๊งออฟโฟร์ออกจากอำนาจด้วยความช่วยเหลือของวัง ตงซิง หัวหน้าฝ่ายความั่นคงของเหมา ผู้กลายมาเป็นผู้สนับสนุนหลักคนหนึ่งของฮฺว่าร่วมกับหลี่ เซียนเนี่ยน รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าฝ่ายวางแผนเศรษฐกิจ และหลัว ชิงฉาง หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ฮฺว่ายังสืบทอดตำแหน่งจากเหมาในฐานะประธานพรรคและประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง กลายเป็นบุคคลแรกที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค นายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารสูงสุดพร้อมกัน[2] ฮฺว่าย้อนกลับบางนโยบายในสมัยปฏิวัติทางวัฒนธรรม เช่น การรณรงค์ทางอุดมการณ์อย่างต่อเนื่อง แต่โดยทั่วไปแล้วเขาอุทิศตนให้กับระบบเศรษฐกิจแบบสั่งการและการสานต่อแนวทางลัทธิเหมา ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1978 ถึงมิถุนายน ค.ศ. 1981 กลุ่มผู้อาวุโสของพรรคที่นำโดยเติ้ง เสี่ยวผิงบังคับให้ฮฺว่าออกจากตำแหน่งผู้นำสูงสุด แต่ยังคงอนุญาตให้เขารักษาบางตำแหน่งไว้ได้ ฮฺว่า ค่อย ๆ หายไปจากวงการเมือง แต่ยังคงยืนรานในความถูกต้องของหลักการลัทธิเหมา[2] ชีวิตช่วงต้นฮฺว่าเกิดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2464 ในอำเภอเจียวเฉิง มณฑลชานซี ชื่อเดิมของเขาคือ ซู จู้ (จีนตัวย่อ: 苏铸; จีนตัวเต็ม: 蘇鑄; พินอิน: Sū Zhù) เป็นบุตรชายคนที่ 4 ของครอบครัวที่มีพื้นเพมาจากมณฑลเหอหนาน พ่อของฮฺว่าเสียชีวิตเมื่อเขาอายุได้ 7 ปี[2] เข้าศึกษาที่โรงเรียนพาณิชย์อำเภอเจียวเฉิง และเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี พ.ศ. 2481 ในช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง[3] เขาได้เปลี่ยนชื่อเป็น ฮฺว่า กั๋วเฟิง เช่นเดียวกับคอมมิวนิสต์หลายคนในยุคนั้นที่ใช้ชื่อใหม่ในการปฏิวัติ ชื่อใหม่ของเขาเป็นคำย่อของ "แนวหน้ากอบกู้ชาติต่อต้านญี่ปุ่นของจีน" (จีนตัวย่อ: 中华抗日救国先锋队; จีนตัวเต็ม: 中華抗日救國先鋒隊; พินอิน: Zhōnghuá kàngrì jiùguó xiānfēng duì) หลังจากเข้าเป็นทหารในกองทัพลู่ที่ 8 ภายใต้การบังคับบัญชาของจอมพลจู เต๋อ มาเป็นเวลา 12 ปี[3] เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อของคณะกรรมาธิการพรรคประจำอำเภอเจียวเฉิงในปี พ.ศ. 2490 ในช่วงสงครามกลางเมืองจีน ฮฺว่าย้ายไปยังมณฑลหูหนานร่วมกับกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (中国人民解放军) ที่ได้รับชัยชนะในปี พ.ศ. 2491 ต่อมาเขาแต่งงานกับหัน จือจฺวิ้น (韩芝俊) และอยู่ที่นั่นจนถึงปี พ.ศ. 2514 ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2492 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการพรรคประจำอำเภอเซียงยิน ก่อนการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2495 เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการพรรคประจำนครเซียงถาน อันเป็นภูมิลำเนาของเหมา[4] เหมา เจ๋อตงได้พบกับฮฺว่าครั้งแรกในปี พ.ศ. 2498 และเหมารู้สึกประทับใจกับความเรียบง่ายของฮฺว่าอย่างเห็นได้ชัด[5] เนื่องจากผู้ว่าการมณฑลหูหนาน นายพลเฉิง เฉียน (程潜) ไม่ใช่คอมมิวนิสต์แท้ เนื่องจากเคยอยู่พรรคก๊กมินตั๋งมาก่อน ฮฺว่าจึงค่อย ๆ มีอำนาจในมณฑลมากขึ้นเรื่อย ๆ จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองผู้ว่าการมณฑลในปี พ.ศ. 2501[2] ในปี พ.ศ. 2502 ฮฺว่าได้เข้าร่วมการประชุมหลูชาน (庐山会议) ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในฐานะสมาชิกคณะผู้แทนพรรคจากมณฑลหูหนาน เขาได้เขียนรายงานสองฉบับเพื่อปกป้องนโยบายของเหมาอย่างเต็มที่ อิทธิพลของฮฺว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ในฐานะผู้สนับสนุนและเป็นผู้นำขบวนการปฏิวัติในมณฑลหูหนาน เขาจัดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิวัติในท้องถิ่นในปี พ.ศ. 2510 โดยเขาดำรงตำแหน่งรองประธาน ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2513 เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมการปฏิวัติและเลขาธิการพรรคประจำมณฑลหูหนาน ฮฺว่าได้รับเลือกเป็นสมาชิกเต็มตัวของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 9 ในปี พ.ศ. 2512[2] เข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจในปี พ.ศ. 2514 ฮฺว่าถูกเรียกตัวเข้ากรุงปักกิ่งเพื่อมาควบคุมสำนักงานเจ้าหน้าที่คณะมนตรีรัฐกิจของโจว เอินไหล แต่อยู่ได้ไม่กี่เดือนก่อนจะกลับไปดำรงตำแหน่งเดิมที่มณฑลหูหนาน[4] ต่อมาในปีเดียวกัน เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมาธิการสืบสวนคดีของจอมพลหลิน เปียว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความไว้วางใจอันแรงกล้าที่เหมามีต่อตัวเขา ต่อมาในปี พ.ศ. 2516 ฮฺว่าก็ได้รับเลือกอีกครั้งให้เป็นสมาชิกเต็มตัวของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 10 และเลื่อนขั้นเป็นสมาชิกกรมการเมือง ในปีเดียวกันนั้น โจว เอินไหลได้มอบหมายเขาให้ดูแลด้านการพัฒนาการเกษตร ในปี พ.ศ. 2516 เหมาได้แต่งตั้งฮฺว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ และรองนายกรัฐมนตรี สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถควบคุมตำรวจและกองกำลังรักษาความปลอดภัยได้ อิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของฮฺว่าได้รับการยืนยันจากการที่เขาได้รับเลือกให้กล่าวสุนทรพจน์เรื่องการปรับปรุงการเกษตรให้ทันสมัยในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน[6] โจว เอินไหล ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2519 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พันธมิตรนักปฏิรูปของเติ้ง เสี่ยวผิง ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดต่อสู้กับทั้งเหมา เจ๋อตงที่กำลังป่วย และแก๊งสี่คน (เจียง ชิง, จาง ชุนเฉียว, หวัง หงเหวิน, และเหยา เหวินหยวน) หนึ่งสัปดาห์หลังจากอ่านคำกล่าวสรรเสริญของนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับ เติ้งก็ออกจากปักกิ่งพร้อมกับพันธมิตรใกล้ชิดหลายคนเพื่อความปลอดภัยไปยังกว่างโจว[7] มีรายงานว่า เหมา เจ๋อตงต้องการจะแต่งตั้งจาง ชุนเฉียวเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของโจว เอินไหล แต่สุดท้ายเขาก็แต่งตั้งฮฺว่าเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีแทน โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาประชาชนแห่งชาติ[8] ในเวลาเดียวกัน สื่อที่ถูกแก๊งสี่คนควบคุมก็ได้เริ่มประณามเติ้งอีกครั้ง (ซึ่งเคยถูกกำจัดในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และกลับสู่อำนาจอีกครั้งในปี พ.ศ. 2516) อย่างไรก็ตาม ความรักที่ประชาชนมีต่อโจว เอินไหลถูกประเมินต่ำเกินไป อันนำไปสู่การเกิดเหตุการณ์กรณีเทียนอันเหมิน ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างทหารกับพลเมืองปักกิ่งที่ต้องการไว้อาลัยให้กับโจวในเทศกาลเช็งเม้งตามประเพณี ในเวลาเดียวกัน ฮฺว่าได้กล่าวสุนทรพจน์ "แถลงการณ์อย่างเป็นทางการสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์เติ้ง เสี่ยวผิง" ซึ่งได้รับการอนุมัติจากเหมาและคณะกรรมาธิการกลางพรรค ในช่วงเหตุการณ์กรณีเทียนอันเหมินในปี พ.ศ. 2519 ผู้คนหลายพันคนประท้วงการถอนพวงหรีดของทหารเพื่อเป็นเกียรติแก่โจวที่หน้าอนุสาวรีย์วีรชน ยานพาหนะถูกเผา สำนักงานถูกรื้อค้น และมีรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก[9] ผลที่ตามมาคือ เติ้ง เสี่ยวผิงถูกกล่าวหาว่ายุยงให้เกิดการประท้วง และถูกถอดตำแหน่งในพรรคและรัฐบาลทั้งหมด แต่ยังคงเป็นสมาชิกพรรคอยู่ตามคำสั่งของเหมา หลังจากนั้นไม่นาน ฮฺว่าก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานลำดับที่หนึ่งของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและนายกรัฐมนตรี หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวในถังชาน ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2519 ฮฺว่าได้ไปเยือนพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายและได้ช่วยชี้แนะแนวทางการบรรเทาทุกข์ กำจัดแก๊งสี่คนเหมา เจ๋อตง ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2519 และฮฺว่าในฐานะสมาชิกอันดับสองของพรรค และนายกรัฐมนตรีก็ได้เป็นผู้นำการจัดพิธีรำลึกระดับชาติในกรุงปักกิ่ง เพื่อเป็นเกียรติแก่เหมาในวันที่ 18 กันยายน และเป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์ในการเฉลิมฉลองอนุสรณ์สถานของเหมาในจัตุรัสเทียนอันเหมิน ในขณะนั้น องค์กรที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศคือคณะกรรมาธิการประจำกรมการเมือง ซึ่งประกอบด้วยฮฺว่า, เย่ เจี้ยนอิง, จาง ชุนเฉียว และหวัง หงเหวิน เย่อยู่ในช่วงใกล้จะเกษียณอายุ ส่วนจางและหวังเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งสี่คน[10] ฮฺว่ารู้ดีว่ามีสุญญากาศในอำนาจหลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา และคิดว่าหากแก๊งสี่คนไม่ถูกกำจัดออกไปโดยใช้กำลัง แก๊งก็อาจจะพยายามกำจัดเขาออกไปเสียก่อน[10] ฮฺว่าจึงติดต่อกับเย่เป็นเวลาหลายวันหลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการกำจัดแก๊งสี่คน เย่เริ่มไม่แยแสแก๊งก่อนที่เหมาจะถึงแก่อสัญกรรม ดังนั้น เขาและฮฺว่าจึงตกลงกันอย่างรวดเร็วเพื่อจัดการกับแก๊งนี้ [10] ฮฺว่ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากวัง ตงซิง หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ภักดีต่อเหมา ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารพิเศษ 8341 รวมถึงบุคคลสำคัญในคณะกรรมาธิการกรมการเมืองคนอื่น ๆ อาทิ รองนายกรัฐมนตรีหลี่ เซียนเนี่ยน และนายพลเฉิน ซีเหลียน ผู้บัญชาการเขตการทหารปักกิ่ง และหลัว ชิงฉาง หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง[10][2] กลุ่มของฮฺว่าได้หารือถึงแนวทางในการกำจัดแก๊งสี่คน รวมทั้งจัดประชุมคณะกรรมาธิการกรมการเมืองหรือคณะกรรมการกลางเพื่อกำจัดพวกเขาผ่านขั้นตอนของพรรคที่จัดตั้งขึ้น แต่แนวคิดดังกล่าวถูกล้มเลิกไปเพราะในขณะนั้นคณะกรรมการกลางประกอบด้วยผู้สนับสนุนแก๊งสี่คนเป็นจำนวนมาก ในที่สุดกลุ่มของฮฺว่าจึงตัดสินใจใช้กำลัง ต่อมาหลังเที่ยงคืนของวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519[11] ฮฺว่าได้เชิญจาง ชุนเฉียว, หวัง หงเหวิน และเหยา เหวินหยวน มาประชุมที่จวนจงหนานไห่เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายของเหมา และพวกเขาถูกจับกุมขณะกำลังเดินไปเข้าร่วมการประชุมที่ห้องประชุมหฺวายเหริน ตามความทรงจำของฮฺว่า เขากล่าวว่า มีเพียงเขาและจอมพลเย่ เจี้ยนอิง เท่านั้นที่เข้าร่วมการประชุมเพื่อรอการมาถึงของสมาชิกของแก๊ง เมื่อจับกุมทั้งสามคนได้แล้ว เขาได้อ่านแถลงการณ์จับกุมเป็นการส่วนตัวและกล่าวว่าพวกเขามีส่วนร่วมในการกระทำการ "ต่อต้านพรรคและสังคมนิยม" และ "สมรู้ร่วมคิดแย่งชิงอำนาจ" ส่วนเจียง ชิง และเหมา หย่วนซิน ถูกจับในบ้านพักของตน[12] กองกำลังเฉพาะกิจที่นำโดยเกิ่ง เปียว ได้เข้ายึดสำนักงานใหญ่โฆษณาชวนเชื่อหลักของพรรค เชื่อกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนของแก๊งสี่คนในขณะนั้น อีกกลุ่มหนึ่งถูกส่งไปเพื่อรักษาเสถียรภาพในเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นฐานอำนาจหลักของแก๊ง ในการประชุมฉุกเฉินของคณะกรรมาธิการกรมการเมืองในวันรุ่งขึ้น ฮฺว่า กั๋วเฟิง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน[13] การขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำระดับสูงของฮฺว่านั้นถูกต้องตามกฎหมายโดยคำพูดของเหมาที่กล่าวว่า "เมื่อมีคุณรับผิดชอบ ฉันก็สบายใจ" ซึ่งตีพิมพ์หลังจากการกวาดล้างแก๊งสี่คน และใช้เป็นหลักฐานยืนยันความไว้วางใจของเหมาที่มีต่อฮฺว่า[14] เถลิงอำนาจฮฺว่า กั๋วเฟิงมีระยะเวลาครองอำนาจค่อนข้างสั้น ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2519 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2521 ฮฺว่าได้กำจัดแก๊งสี่คนออกจากอำนาจทางการเมืองอย่างรวดเร็ว และด้วยเหตุนี้การขึ้นเป็นผู้นำของฮฺว่าจึงกลายเป็นจุดสิ้นสุดของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม หลังจากการจำคุกแก๊งสี่คน และการสถาปนาผู้ปกครองสามฝ่ายใหม่ (ฮฺว่า กั๋วเฟิง, จอมพลเย่ เจี้ยนอิง และหัวหน้านักวางแผนเศรษฐกิจ หลี่ เซียนเนี่ยน) ก็ได้เริ่มการฟื้นฟูอำนาจของเติ้ง เสี่ยวผิง และเริ่มกำจัดอิทธิพลของแก๊งสี่คนทั่วทั้งระบบการเมือง อันนำไปสู่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันระหว่างฮฺว่าและเติ้ง[15] การเมืองภายในประเทศตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2519 ฮฺว่าได้เริ่มการรณรงค์วิพากษ์วิจารณ์แก๊งสี่คนทั่วประเทศ ร่วมกับกระบวนการ "กลับคำตัดสิน" สำหรับผู้ที่วิจารณ์แก๊ง ผู้คนที่ถูกลงโทษหลังจากเหตุการณ์เทียนอันเหมินในปี พ.ศ. 2519 ได้รับการปล่อยตัว[16] ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2519 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2521 ผู้ปฏิบัติงานมากกว่า 4,600 คนที่เสื่อมเสียชื่อเสียงในการปฏิวัติทางวัฒนธรรมก็ได้รับการฟื้นฟูเกียรติภูมิ[13] ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2520 ในการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 1 ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคชุดที่ 11 เติ้ง เสี่ยวผิง ได้รับการฟื้นฟูเกียรติภูมิโดยได้รับความเห็นชอบจากฮฺว่า การประชุมครั้งนี้ยังถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในองค์ประกอบของคณะกรรมธิการกลางพรรค มีสมาชิกที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ 68 คนซึ่งมากกว่า 20 คนเป็นเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฟื้นฟูเกียรติภูมิ[13] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 ฮฺว่าได้เสนอนโยบายใหม่ว่า "เราจะสนับสนุนการตัดสินใจของประธานเหมาอย่างเด็ดเดี่ยว และจะปฏิบัติตามคำแนะนำของประธานเหมาอย่างแน่วแน่" เรียกอย่างเสียดสีว่า "สองสิ่ง" ต่อมานโยบายนี้ถูกใช้เพื่อวิจารณ์ฮฺว่าว่าเขาเชื่อฟังคําสั่งของเหมาอย่างหลับหูหลับตาเกินไป[17] และฮฺว่ายังได้อนุญาตให้มีการสอบเข้าวิทยาลัยแห่งชาติครั้งแรกนับตั้งแต่การปฏิวัติทางวัฒนธรรม[17] ฮฺว่าพยายามแก้ไขระเบียบการของรัฐซึ่งเป็นวิธีการยกระดับอำนาจของเขา ในปี พ.ศ. 2521 มีการสั่งการให้สถานศึกษาทุกแห่งและการประชุมทุกครั้งจะต้องแขวนรูปเหมาและฮฺว่าไว้เคียงกัน เช่น ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติและการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน ฮฺว่ายังได้แก้ไขเนื้อเพลงชาติจีนให้มีชื่อของเหมาและพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเปลี่ยนความหมายของเพลงจากการชุมนุมสงครามเป็นอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ล้วน ในที่สุดเนื้อเพลงเหล่านี้ก็ถูกปฏิเสธ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 การประชุมสมัยแรกของสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 5 ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งฮฺว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากในการร่างรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับนี้พยายามที่จะฟื้นฟูหลักนิติธรรมและกลไกการวางแผนบางส่วนจากรัฐธรรมนูญฉบับดั้งเดิมปี พ.ศ. 2499 แม้ว่าจะยังคงกล่าวถึงการปฏิวัติอย่างต่อเนื่องและลัทธิสากลนิยมของชนชั้นกรรมาชีพ แต่ต่อมาเพียง 4 ปีก็ถูกแทนที่ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่[16] เศรษฐกิจในระหว่างดำรงตำแหน่ง ฮฺว่าได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานะเศรษฐกิจของจีนที่กําลังจะล่มสลาย ฮฺว่าจึงได้ทำงานร่วมกับหลี่ เซี่ยนเนี่ยน เพื่อทำการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนแผนการเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มงบประมาณวิสาหกิจ และการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก เขาได้เสนอแผนเศรษฐกิจ 10 ปีอันทะเยอทะยาน ซึ่งพยายามสร้างเศรษฐกิจตามแบบโซเวียตโดยเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมหนักและพลังงาน การใช้เครื่องจักรการเกษตร และใช้เทคโนโลยีนำเข้าเพื่อสร้างโรงงานผลิตใหม่[18] อย่างไรก็ตาม แผนเศรษฐกิจดังกล่าวถูกยกเลิกอย่างรวดเร็วโดยหันไปสนับสนุนแผนเศรษฐกิจ 5 ปีที่ถูกกว่าและทำได้ง่ายกว่า ซึ่งให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมเบาและสินค้าอุปโภคบริโภค[19] โครงการเศรษฐกิจและการเมืองของฮฺว่าเป็นการฟื้นฟูแผนอุตสาหกรรมตามแบบโซเวียต และการควบคุมพรรคที่คล้ายคลึงกับประเทศจีนก่อนการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม รูปแบบนี้ได้ถูกปฏิเสธโดยผู้สนับสนุนเติ้ง เสี่ยวผิง ที่สนับสนุนการจัดตั้งระบบเศรษฐกิจแบบเอกชนมากกว่า การต่างประเทศในปี พ.ศ. 2521 ฮฺว่าเยือนประเทศยูโกสลาเวียและโรมาเนีย เพื่อศึกษาประสบการณ์ทางเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม และเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง[20] ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2522 ฮฺว่าได้เดินทางไปยุโรป ซึ่งเป็นครั้งแรกของผู้นำจีนหลังจากปี พ.ศ. 2492 เขาเดินทางไปที่เยอรมนีตะวันตกและฝรั่งเศส ในวันที่ 28 ตุลาคม ฮฺว่าเดินทางไปเยือนสหราชอาณาจักรและเข้าพบนายกรัฐมนตรีมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ ของอังกฤษ ทั้งสองมีส่วนร่วมในการเจรจาฉันมิตรและหารือเกี่ยวกับอนาคตของฮ่องกง ซึ่งเป็นดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษในขณะนั้น ฮฺว่าได้เยี่ยมชมศูนย์เทคโนโลยีการรถไฟสหราชอาณาจักร เพื่อดูการพัฒนารถไฟโดยสารขั้นสูง[21] การเยือนของเขาเกิดขึ้นพร้อมกับการบริจาครถจักรไอน้ำ 4-8-4 KF Class No 7 ของรัฐบาลจีนให้กับพิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งชาติในยอร์ก[22] ฮฺว่ายังได้ไปเยี่ยมชมฟาร์มแห่งหนึ่งในออกซฟอร์ดเชอร์ และเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด[23] ฮฺว่าเป็นหนึ่งในชาวต่างชาติกลุ่มสุดท้ายที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี แห่งอิหร่าน ก่อนที่จะถูกโค่นราชวงศ์ในปี พ.ศ. 2522[25] การชิงอำนาจและการลงจากตำแหน่งแม้ว่าเติ้งจะสนับสนุนนโยบายของฮฺว่ามาโดยตลอด แต่ต่อมาเขาก็เริ่มวิจารณ์ฮฺว่า โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอํานาจของตนเอง ได้รับการสนับสนุนจาก หู เย่าปัง ผู้ซึ่งวิจารณ์ฮฺว่าว่าดื้อรั้นมากเกินไป[26] ในที่สุดสิ่งนี้ก็นำไปสู่บทบรรณาธิการสำคัญของนักปรัชญา หู ฝูหมิง ซึ่งร่างและตีพิมพ์ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2521 ในหัวข้อ "การปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวในการทดสอบความจริง" ซึ่งเชื่อว่าความผิดพลาดครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนิสต์จีนเกิดจากการไม่ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบความจริงผ่านการปฏิบัติอย่างจริงจัง บทความนี้แม้จะถูกวิจารณ์จากสมาชิกพรรคบางคน แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากเติ้งอย่างรวดเร็ว[26] ในวันที่ 10 พฤศจิกายน การประชุมการทำงานส่วนกลางได้ถูกจัดขึ้น โดยที่ฮฺว่าพยายามที่จะถอยห่างจากการเน้นการต่อสู้ทางชนชั้นของพรรค ไปเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีแทน[26] แม้จะประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ถูกสมาชิกอาวุโสในพรรคตำหนิเพราะไม่ให้ความสำคัญกับการปฏิวัติทางวัฒนธรรมและเหตุการณ์เทียนอันเหมินในปี พ.ศ. 2519 มากพอ[27] ภายใต้การสนับสนุนของ เย่ เจี้ยนอิง และเฉิน ยฺหวิน ผู้อาวุโสของพรรค ฮฺว่าได้ยอมรับข้อตำหนิดังกล่าว เขากล่าวในการประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนว่า "เหตุการณ์เทียนอันเหมินเป็นขบวนการมวลชนปฏิวัติโดยสิ้นเชิง จำเป็นต้องได้รับการประเมินอีกครั้งอย่างเปิดเผยและทั่วถึง" สิ่งนี้มีบทบาทสําคัญในการผลักดันเติ้งไปสู่การฟื้นอำนาจหลังจากการฟื้นฟูเกียรติภูมิ เช่นเดียวกับการคืนสถานะผู้นำให้กับปั๋ว อี้ปัว และหยาง ช่างคุน สมาชิกอาวุโสในพรรคหลายคนพูดถึงความทุกข์ทรมานของพวกเขาในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และวิจารณ์ฮฺว่าที่ไม่ได้แตกหักกับลัทธิเหมาอย่างชัดเจน ฮฺว่าได้วิจารณ์ตนเองในวันที่ 13 กันยายน โดยกล่าวว่าเขาสนับสนุนจุดยืนของเหมามากเกินไป[27] ฮฺว่าสูญเสียอํานาจจริง ๆ ในการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคชุดที่ 11 หลังจากนั้น เติ้ง เสี่ยวผิง ก็กลายเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของจีน และนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจของเขาได้รับการยอมรับจากพรรค[28] เขายังคงมีอำนาจอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการขัดขวางการเพิ่มเนื้อหาที่วิจารณ์เขาใน "ปณิธานทางประวัติศาสตร์" ที่ร่างโดยผู้นําของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อประเมินการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[29] ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2523 คณะกรมการเมืองได้ออกมาวิจารณ์ฮฺว่าอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม โดยมองว่าเขาเป็นบุคคลที่ต่อต้านปฏิรูปและพยายามเลียนแบบเหมาเท่านั้น สิ่งนี้ได้รับการเสริมเพิ่มเติมด้วยมติทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านรับรองในการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 6 ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคชุดที่ 11 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2524 ซึ่งกล่าวว่าฮฺว่าทำน้อยเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ หลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา[29] นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่าเขาทําได้ดีในการกําจัดแก๊งสี่คน แต่หลังจากนั้นเขาได้กระทำ "ข้อผิดพลาดร้ายแรง" ในขณะที่เติ้งค่อย ๆ เข้ามาควบคุมพรรค ฮฺว่าก็ถูกประณามจากการส่งเสริมนโยบายสองสิ่ง ในช่วงต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2522 สื่อของรัฐได้หยุดเรียกเขาว่าผู้นำ และเขาถูกแทนที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดย จ้าว จื่อหยาง ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2523[29] ถูกแทนที่ในตำแหน่งประธานพรรคโดย หู เย่าปัง และถูกแทนที่ในตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางโดยเติ้งเองในปี พ.ศ. 2524 ฮฺว่า กั๋วเฟิง ถูกลดตำแหน่งตำแหน่งเป็นรองประธานพรรค และเมื่อตำแหน่งนี้ถูกยกเลิกในปี พ.ศ. 2525 เขายังคงดำรงตำแหน่งสมาชิกสามัญของคณะกรรมาธิการกลางพรรค ซึ่งดำรงตำแหน่งจนถึงการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 16 ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2545 แม้ว่าเขาจะเกินอายุเกษียณในวัย 70 ปี ในปี พ.ศ. 2534 ก็ตาม เกษียณอายุและถึงแก่อสัญกรรมฮฺว่าสูญเสียที่นั่งในคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเป็นทางการ หลังจากการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 16 ของพรรคในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2545 มีรายงานว่าเขาสมัครใจที่จะถอนตัวเนื่องจากเหตุผลด้านสุขภาพ แต่ทางพรรคก็ไม่ได้ยืนยันในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ[30] อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2550 เขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 17 ของพรรค ในฐานะผู้แทนพิเศษ และเขาก็ปรากฏตัวในพิธีรำลึกวันเกิดครบรอบ 115 ปีของเหมา เจ๋อตง ที่จัดขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550[31] แม้จะมีตำแหน่งในพรรค แต่ฮฺว่าก็เริ่มตีตัวออกห่างจากการมีส่วนร่วมทางการเมือง งานอดิเรกหลักของเขาคือการเพาะปลูกองุ่น และติดตามสถานการณ์บ้านเมืองโดยการอ่านหนังสือพิมพ์[32] สุขภาพของฮฺว่าเริ่มแย่ลงในปี พ.ศ. 2551 เขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคแทรกซ้อนที่ไตและหัวใจ[32] และถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551 โดยไม่ได้ระบุสาเหตุการถึงแก่อสัญกรรม[33] เนื่องจากการถึงแก่อสัญกรรมของเขาเกิดขึ้นในช่วงกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน สื่อของรัฐจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก มีเพียงการออกอากาศในรายการข่าวระดับชาติ "ซินเหวินเหลียนปัว"(新闻联播) เพียง 30 วินาที[ต้องการอ้างอิง] และย่อหน้าสั้น ๆ ที่มุมหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์พีเพิลส์เดลี (People's Daily) เพียงเท่านั้น[34] พิธีศพของฮฺว่าถูกจัดขึ้นในวันที่ 30 สิงหาคม ที่สุสานปฏิวัติปาเป่าชาน (八宝山革命公墓) มีสมาชิกคณะกรรมาธิการประจำกรมการเมืองทุกคนเข้าร่วม อาทิเช่น อดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน และอดีตนายกรัฐมนตรีจู หรงจี้[35] มรดก
ชีวิตส่วนตัวฮฺว่า กั๋วเฟิงแต่งงานกับหัน จือจฺวิ้น (韩芝俊) ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2492 มีบุตรด้วยกันทั้งหมด 4 คน และทั้งหมดมีนามสกุลว่า "ซู" (苏) ตามนามสกุลเมื่อแรกเกิดของฮฺว่า:
ดูเพิ่มอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|