Share to:

 

จ้าว จื่อหยาง

จ้าว จื่อหยาง
赵紫阳
จ้าวใน ค.ศ. 1985
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ดำรงตำแหน่ง
15 มกราคม ค.ศ. 1987[a] – 24 มิถุนายน ค.ศ. 1989
ก่อนหน้าหู เย่าปัง
ถัดไปเจียง เจ๋อหมิน
นายกรัฐมนตรีจีน
ดำรงตำแหน่ง
10 กันยายน ค.ศ. 1980 – 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1987
ประธานาธิบดีหลี่ เซียนเนี่ยน (ตั้งแต่ปี 1983)
รองหัวหน้ารัฐบาล
ก่อนหน้าฮฺว่า กั๋วเฟิง
ถัดไปหลี่ เผิง
รองประธานสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน
ดำรงตำแหน่ง
8 มีนาคม ค.ศ. 1978 – 17 มิถุนายน ค.ศ. 1983
ประธานเติ้ง เสี่ยวผิง
รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ดำรงตำแหน่ง
29 มิถุนายน ค.ศ. 1981 – 12 กันยายน ค.ศ. 1982
ดำรงตำแหน่งร่วมกับ
ประธานหู เย่าปัง
รองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง คนที่ 1
ดำรงตำแหน่ง
1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1987 – 23 มิถุนายน ค.ศ. 1989
ดำรงตำแหน่งร่วมกับ หยาง ช่างคุน
ประธานเติ้ง เสี่ยวผิง
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
จ้าว ซิวเย่

17 ตุลาคม ค.ศ. 1919(1919-10-17)
อำเภอหฺวา เหอหนาน สาธารณรัฐจีน
เสียชีวิต17 มกราคม ค.ศ. 2005(2005-01-17) (85 ปี)
ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
ที่ไว้ศพแขวงชางผิง ปักกิ่ง
เชื้อชาติจีน
พรรคการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน (1938–2005)
คู่สมรสเหลียว ปั๋วฉี (สมรส 1944)
บุตร6
ลายมือชื่อ
การเป็นสมาชิกสถาบันกลาง
  • 1987–1989: คณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ชุดที่ 13
  • 1980–1989: คณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง ชุดที่ 11, 12, 13
  • 1979–1989: กรมการเมือง ชุดที่ 11, 12, 13
  • 1972–1989: คณะกรรมาธิการกลาง ชุดที่ 9, 10, 11, 12, 13
  •  ?–1989: สภาประชาชนแห่งชาติ ชุดที่ 7
    ตำแหน่งอื่น ๆ ที่
a. ^ รักษาการ: 15 มกราคม – 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1987

จ้าว จื่อหยาง (จีน: 赵紫阳; พินอิน: Zhào Zǐyáng; 17 ตุลาคม ค.ศ. 1919 – 17 มกราคม ค.ศ. 2005) เป็นนักการเมืองชาวจีน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1980 ถึง 1987 รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ ค.ศ. 1981 ถึง 1982 และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ ค.ศ. 1987 ถึง 1989 เขาเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิรูปการเมืองในประเทศจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1986 แต่สูญเสียอำนาจเนื่องจากการสนับสนุนการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989

จ้าวเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1938 ในช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง เขาทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอหฺวา ผู้อำนวยการฝ่ายองค์การคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำจังหวัดยฺหวีเป่ย์ เลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเขตชายแดนเหอเป่ย์-ชานตง-เหอหนาน และกรรมาธิการการเมืองกองพลทหารที่ 4 ภูมิภาคทหารเหอเป่ย์-ชานตง-เหอหนาน ในช่วงสงครามกลางเมืองจีน ค.ศ. 1945–1949 จ้าวทำหน้าที่เป็นรองกรรมาธิการการเมืองของภูมิภาคทหารถงไป่ เลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำจังหวัดหนานหยาง และกรรมาธิการการเมืองกองพลกองทหารหนานหยาง

ภายหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน จ้าวได้รับการแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขาภาคใต้ เขายังเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลกวางตุ้ง เลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลกวางตุ้งคนที่ 1 และ 2 อีกด้วย เขาถูกข่มเหงในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมและต้องใช้เวลาอยู่ในสถานะลี้ภัยทางการเมือง หลังจากได้รับการฟื้นฟูชื่อเสียง จ้าวได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน เลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลกวางตุ้งคนที่ 1 เลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลเสฉวนคนที่ 1 และกรรมาธิการการเมืองภูมิภาคทหารเฉิงตูคนที่ 1 และรองประธานคณะกรรมาธิการแห่งชาติประจำสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน[1]

ในฐานะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล จ้าวได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายเหมาอิสต์และมีส่วนสำคัญในการดำเนินการปฏิรูปตลาดเสรีครั้งแรกในเสฉวนและต่อมาทั่วประเทศ เขาก้าวขึ้นสู่เวทีระดับชาติเนื่องมาจากการสนับสนุนจากเติ้ง เสี่ยวผิงภายหลังการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ในฐานะผู้สนับสนุนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การแยกพรรคและรัฐ และการปฏิรูปเศรษฐกิจตลาดครั้งใหญ่ เขามุ่งหามาตรการเพื่อปรับปรุงระบบราชการของจีน ต่อสู้กับการทุจริตและปัญหาที่ท้าทายความชอบธรรมของพรรคในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 มุมมองเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการแบ่งปันโดยหู เย่าปัง เลขาธิการพรรคในขณะนั้น[2]

นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของเขาและความเห็นใจนักศึกษาที่ออกมาประท้วงระหว่างการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 ทำให้เขามีความขัดแย้งกับสมาชิกผู้นำพรรคบางคน รวมถึงเฉิน ยฺหวิน ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลาง หลี่ เซียนเนี่ยน ประธานสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน และนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง จ้าวยังเริ่มเสียความโปรดปรานจากเติ้ง เสี่ยวผิง ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางในขณะนั้นอีกด้วย หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จ้าวถูกกวาดล้างทางการเมืองและถูกกักบริเวณในบ้านตลอดชีวิต หลังถูกกักบริเวณ เขากลายเป็นคนหัวรุนแรงมากขึ้นในความเชื่อทางการเมืองของเขา โดยสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงจีนไปสู่ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมอย่างเต็มรูปแบบ เขาเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมองในปักกิ่งในเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 เนื่องจากเขาเสื่อมเสียชื่อเสียงทางการเมือง จึงไม่ได้รับพิธีศพแบบที่จัดกันทั่วไปในหมู่เจ้าหน้าที่ระดับสูงชาวจีน บันทึกความทรงจำอันเป็นความลับของเขาถูกลักลอบนำออกมาเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษและภาษาจีนใน ค.ศ. 2009 แต่รายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตของเขายังคงถูกตรวจพิจารณาในประเทศจีน

ชีวิตช่วงต้น

จ้าว (ซ้ายบน) ถ่ายภาพร่วมกับเหมา เจ๋อตงในอู่ฮั่น มกราคม ค.ศ. 1966

จ้าวเกิดเมื่อ ค.ศ. 1919[3]: 8  ในชื่อจ้าว ซิวเย่ (จีน: 趙修業) แต่ต่อมาเปลี่ยนชื่อตัวเป็น "จื่อหยาง" ขณะเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นในอู่ฮั่น[4][5] เขาเป็นลูกชายเจ้าของที่ดินฐานะร่ำรวยในอำเภอหฺวา[6] เหอหนาน ซึ่งต่อมาถูกเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนลอบสังหารระหว่างขบวนการปฏิรูปที่ดินในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1940[7][3]: 8  จ้าวเข้าร่วมสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1932[8][9] และกลายเป็นสมาชิกเต็มตัวของพรรคใน ค.ศ. 1938[10]

ต่างจากสมาชิกพรรคจำนวนมากที่เคลื่อนไหวในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930 และ 1940 ซึ่งต่อมากลายผู้นำระดับสูงของจีน จ้าวเข้าร่วมพรรคสายเกินไปจนไม่ได้มีส่วนร่วมในการเดินทัพทางไกลในช่วงปี ค.ศ. 1934–1935 เขาทำหน้าที่ในกองทัพปลดปล่อยประชาชน ซึ่งรวมเข้ากับกองทัพปฏิวัติแห่งชาติของสาธารณรัฐจีนในช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง และสงครามกลางเมืองที่ตามมา แต่ตำแหน่งส่วนใหญ่ของเขาเป็นเพียงงานบริหาร[10] ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1940 จ้าวดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประจำอำเภอหฺวา ที่นั่นเขาได้พบกับภรรยาของเขาเหลียง ปั๋วฉี ผู้ใต้บังคับบัญชาของจ้าว ทั้งคู่แต่งงานกันใน ค.ศ. 1944[11] อาชีพการงานของจ้าวไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นผู้นำพรรคในกวางตุ้งในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1950[7]

จ้าวโด่งดังในกวางตุ้งตั้งแต่ ค.ศ. 1951[8] โดยเริ่มต้นจากการติดตามเถา จู้ ผู้นำฝ่ายซ้ายสุดโต่งไร้ความปราณี ซึ่งโดดเด่นจากความพยายามอย่างหนักในการบังคับให้ชาวนาในท้องถิ่นอาศัยและทำงานใน "คอมมูนประชาชน" เมื่อแนวคิดก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าของเหมา เจ๋อตง (ค.ศ. 1958–1961) ก่อให้เกิดความอดอยากเทียมขึ้น เหมากล่าวโทษอย่างเปิดเผยถึงปัญหาการขาดแคลนอาหารของประเทศต่อความโลภของชาวนาผู้ร่ำรวย ซึ่งกล่าวหาว่าพวกเขากำลังปกปิดผลผลิตส่วนเกินจำนวนมหาศาลของจีนจากรัฐบาล ต่อมาจ้าวได้นำการรณรงค์ระดับท้องถิ่นที่มุ่งเป้าไปที่การทรมานชาวนาเพื่อให้เปิดเผยเสบียงอาหารของพวกเขา ซึ่งไม่มีอยู่จริง[7] กลับกัน จ้าวทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่พรรคระดับภูมิภาคเพื่อดำเนินการจัดเตรียมที่ให้ชาวนาได้รับผลกำไรจากการขายพืชผลของพวกเขา โครงการเหล่านี้ถูกปกปิดไว้ด้วยชื่อที่คลุมเครือ เช่น "ระบบควบคุมสำหรับการจัดการภาคสนาม" เพื่อซ่อนไว้จากเหมาที่อาจสั่งห้ามโครงการดังกล่าว ตามที่จ้าวกล่าวไว้ พื้นที่ที่แผนดังกล่าวได้รับการดำเนินการมีอัตราการเสียชีวิตจากเหตุขาดแคลนอาหารต่ำกว่ามาก[12] อย่างไรก็ตาม แจสเปอร์ เบ็กเกอร์ เขียนว่าการรณรงค์ทรมานของจ้าวในช่วงก้าวกระโดดไกลหมายความว่าเขาต้องรับผิดชอบบางส่วนต่อผู้คนนับล้านที่เสียชีวิตจากความอดอยากและภาวะทุพโภชนาการในกวางตุ้งระหว่างปี ค.ศ. 1958 ถึง 1961[7]

ประสบการณ์ของจ้าวในช่วงก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าทำให้เขาสนับสนุนนโยบายการเมืองและเศรษฐกิจแบบสายกลาง ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 จ้าวได้รับอนุญาตจากคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ให้เพิ่มการค้าต่างประเทศในกวางตุ้ง ซึ่งช่วยให้กวางตุ้งฟื้นตัวจากการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า[3]: 8  เขาสนับสนุนนโยบายของเติ้ง เสี่ยวผิงกับประธานหลิว เช่าฉี เขาเป็นผู้นำความพยายามที่จะนำการเกษตรและการพาณิชย์ส่วนบุคคลในปริมาณจำกัดกลับมาใช้อีกครั้ง และรื้อถอนคอมมูนประชาชน[7] วิธีการของจ้าวในการคืนแปลงที่ดินส่วนบุคคลให้แก่เกษตรกรและมอบสัญญาการผลิตให้แก่แต่ละครัวเรือนได้รับการนำไปใช้ซ้ำในพื้นที่อื่น ๆ ของจีน ช่วยให้ภาคการเกษตรของประเทศฟื้นตัว[10] หลังได้รับตำแหน่งระดับสูงในกวางตุ้ง จ้าวได้สั่งกวาดล้างกลุ่มแกนนำที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตหรือมีความเชื่อมโยงกับก๊กมินตั๋งอย่างรุนแรง[8]

ใน ค.ศ. 1965 จ้าวได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคประจำมณฑลกวางตุ้ง[13]: 149  เขามีอายุเพียง 46 ปีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคครั้งแรก ซึ่งนับว่ายังน้อยมากสำหรับตำแหน่งอันทรงเกียรติเช่นนี้[14]: xii  เนื่องจากมีแนวโน้มทางการเมืองแบบสายกลางของเขา จ้าวจึงถูกโจมตีโดยยุวชนแดงในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (ค.ศ. 1966–1976)[7]

เขาถูกปลดจากตำแหน่งทางการทั้งหมดใน ค.ศ. 1967 หลังจากนั้น เขาก็ถูกพาไปทั่วกว่างโจวด้วยหมวกคนโง่[7] และถูกประณามต่อหน้าสาธารณชนว่าเป็น "เศษซากที่เน่าเฟะของชนชั้นเจ้าของที่ดิน"[3]: 8 

กลับสู่รัฐบาล

จ้าวใช้เวลาสี่ปีในการทำงานเป็นช่างประกอบที่โรงงานรถยนต์เซียนจงในหูหนาน จ้าว อู่จฺวิน ลูกชายคนเล็กจากบรรดาลูกชายทั้งห้าคนทำงานร่วมกับเขา (จ้าวยังมีลูกสาวคนเล็กด้วย) ในช่วงลี้ภัยทางการเมือง ครอบครัวของจ้าวอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ใกล้กับโรงงานของเขา โดยมีกระเป๋าเดินทางใบเล็กอยู่ในห้องนั่งเล่นที่ใช้เป็นโต๊ะอาหารได้[14]: xii 

การฟื้นฟูของจ้าวเริ่มต้นใน ค.ศ. 1971[13]: 141  เมื่อเขาและครอบครัวถูกปลุกขึ้นกลางดึกเพราะมีคนมาเคาะประตู โดยไม่ต้องอธิบายอะไรมาก หัวหน้าพรรคประจำโรงงานที่จ้าวทำงานอยู่ได้แจ้งต่อจ้าวว่าเขาจะต้องไปที่ฉางชา เมืองหลวงของมณฑลทันที พาหนะขนส่งของโรงงานมีเพียงจักรยานยนต์สามล้อเท่านั้นที่พร้อมจะรับเขาไป[14]: xiii  จ้าวถูกขับรถพาไปที่ท่าอากาศยานฉางชา ที่ซึ่งได้เตรียมเครื่องบินไว้เพื่อบินเขาไปยังปักกิ่ง แม้จะยังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จ้าวก็ขึ้นเครื่องไป เขาเช็กอินเข้าโรงแรมปักกิ่งที่สะดวกสบายแต่ไม่สามารถนอนหลับได้ ภายหลังเขาอ้างว่าเกิดจากการใช้ชีวิตในความยากจนมาหลายปี และที่นอนที่นุ่มเกินไป[14]: xiii  ในตอนเช้า จ้าวถูกพาตัวไปประชุมกับนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหลที่มหาศาลาประชาชน ไม่นานหลังจากที่พวกเขาพบกัน จ้าวก็เริ่มกล่าวสุนทรพจน์ที่เขาเตรียมไว้คืนก่อนว่า "หลายปีมานี้ ข้าพเจ้าได้คิดทบทวนเกี่ยวกับการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในฐานะกรรมกร..." โจวขัดจังหวะเขาโดยกล่าวว่า "คุณถูกเรียกตัวมาปักกิ่งเพราะคณะกรรมาธิการกลางได้ตัดสินใจแต่งตั้งให้คุณเป็นรองหัวหน้าพรรคของมองโกเลียใน"[14]: xiii 

หลังถูกเรียกตัวกลับจากการลี้ภัยทางการเมือง จ้าวพยายามแสดงตนเป็นพวกเหมาอิสต์ และสละความสนใจในการส่งเสริมวิสาหกิจเอกชนหรือแรงจูงใจทางวัตถุอย่างเปิดเผย การเปลี่ยนมานับถือลัทธิเหมาของจ้าวไม่นานก็จบลง และต่อมาเขาก็กลายเป็น "สถาปนิกหลัก" ของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สนับสนุนตลาดที่เกิดขึ้นหลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา แม้เขาจะมีส่วนสำคัญในการชี้นำเศรษฐกิจของจีนตลอดอาชีพการงานของเขา แต่จ้าวกลับไม่ได้รับการฝึกฝนทางเศรษฐศาสตร์อย่างเป็นทางการ[10]

ตลอดปี ค.ศ. 1972 โจวกำกับดูแลการฟื้นฟูทางการเมืองของจ้าว เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมาธิการกลาง และในมองโกเลียในได้เป็นเลขาธิการและรองประธานคณะกรรมาธิการปฏิวัติในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1972 จ้าวได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 10 ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1973 และกลับมายังกวางตุ้งในตำแหน่งเลขาธิการพรรคคนที่ 1 และประธานคณะกรรมาธิการปฏิวัติในเดือนเมษายน ค.ศ. 1974 เขากลายเป็นกรรมาธิการการเมืองภูมิภาคทหารเฉิงตูในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1975[15]

การปฏิรูปเศรษฐกิจในเสฉวน

จ้าวได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคประจำมณฑลเสฉวนใน ค.ศ. 1975[13]: 149  ถือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของมณฑล ก่อนหน้านี้ ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เสฉวนโดดเด่นในเรื่องการต่อสู้อย่างรุนแรงระหว่างองค์กรคู่แข่งของยุวชนแดงในพื้นที่ ในเวลานั้น เสฉวนเป็นมณฑลที่มีประชากรมากที่สุดของจีน[7] แต่ถูกทำลายทางเศรษฐกิจโดยการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าและการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งนโยบายร่วมกันของทั้งสองทำให้การผลิตทางการเกษตรของมณฑลพังทลายลงสู่ระดับที่ไม่เคยปรากฎนับตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1930 แม้จำนวนประชากรของมณฑลจะเพิ่มขึ้นอย่างมากก็ตาม[16] สถานการณ์เศรษฐกิจย่ำแย่ถึงขนาดมีรายงานว่าประชาชนในเสฉวนต้องขายลูกสาวเอาอาหารมากิน[17]

ในช่วงดำรงตำแหน่งอยู่ในเสฉวน จ้าวได้แนะนำการปฏิรูปที่มุ่งเน้นตลาดที่ประสบความสำเร็จหลายอย่าง ซึ่งแจกจ่ายที่ดินทำกินแก่ครอบครัวต่าง ๆ เพื่อใช้ส่วนตัว และอนุญาตให้ชาวนาขายพืชผลของตนในตลาดได้อย่างอิสระ[18] นโยบายของเขายังอนุญาตให้ผู้จัดการโรงงานมีอำนาจตัดสินใจเองและมีแรงจูงใจด้านผลผลิตมากขึ้น[3]: 8  การปฏิรูปส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 81 และผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ภายในสามปี[17] การปฏิรูปของจ้าวทำให้เขาเป็นที่นิยมในเสฉวนจนคนในท้องถิ่นบัญญัติคำกล่าวที่ว่า: "要吃粮,找紫阳"; "yào chī liǎng, zhǎo Zǐyáng" (คำกล่าวนี้เป็นการเล่นคำพ้องเสียงชื่อของจ้าว แปลได้อย่างหลวม ๆ ว่า: "ถ้าคุณต้องการอาหาร จงมองหาจื่อหยาง")[7][14]: xiii 

ผู้นำสายปฏิรูป

หลังขับไล่ฮฺว่า กั๋วเฟิงออกจากตำแหน่ง "ผู้นำสูงสุด" ของจีนใน ค.ศ. 1978 เติ้ง เสี่ยวผิงก็ยอมรับว่า "ประสบการณ์เสฉวน" เป็นต้นแบบสำหรับการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน[8] เติ้งเลื่อนตำแหน่งจ้าวให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสำรองของกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน ใน ค.ศ. 1977 และเป็นสมาชิกเต็มตัวใน ค.ศ. 1979 เขาเข้าร่วมคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นองค์กรปกครองสูงสุดของจีนใน ค.ศ. 1980 ใน ค.ศ. 1980 และ 1981 จ้าวดำรงตำแหน่งผู้นำกลุ่มผู้นำด้านกิจการการเงินและเศรษฐกิจและรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนตามลำดับ[8]

หลังปี ค.ศ. 1978 นโยบายของจ้าวถูกนำไปใช้ซ้ำในมณฑลอานฮุยด้วยความสำเร็จที่คล้ายกัน[7] หลังดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีภายใต้การนำของฮฺว่า กั๋วเฟิงเป็นเวลา 6 เดือน จ้าวก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากเติ้ง เสี่ยวผิงให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนฮฺว่าในเดือนกันยายน ค.ศ. 1980[19] โดยมีอำนาจแนะนำการปฏิรูปชนบททั่วประเทศจีน ระหว่างปี ค.ศ. 1980 ถึง 1984 ผลผลิตทางการเกษตรของจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 50[7]

จ้าวได้รับการต้อนรับจากประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนแห่งสหรัฐที่ทำเนียบขาวในวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1984 ในฐานะส่วนหนึ่งของความพยายามปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับตะวันตก

จ้าวได้พัฒนา "ทฤษฎีขั้นต้น" แบบจำลองสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบอบสังคมนิยมผ่านการปฏิรูปเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป ในฐานะนายกรัฐมนตรี จ้าวได้นำนโยบายต่าง ๆ มากมายที่ประสบความสำเร็จในเสฉวนไปปฏิบัติในระดับประเทศ โดยกระจายการผลิตภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมออกไปมากขึ้น จ้าวพยายามสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษในมณฑลชายฝั่งทะเลอย่างประสบความสำเร็จเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและสร้างศูนย์กลางการส่งออก เขาได้รับแรงบันดาลใจจากนักอนาคตศาสตร์ โดยเฉพาะอัลวิน ทอฟเฟลอร์ ผู้นำโครงการ 863 เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีระดับโลกที่รวดเร็ว[20] การปฏิรูปของจ้าวส่งผลให้การผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเบาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดคริสต์ทศวรรษ 1980 แต่การปฏิรูปเศรษฐกิจของเขาถูกวิจารณ์ว่าทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ จ้าวส่งเสริมนโยบายต่างประเทศที่เปิดกว้าง ปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับชาติตะวันตกเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน[8]

การปฏิรูปวัฒนธรรมที่สำคัญอย่สงหนึ่งของจ้าวคือการอนุญาตให้วงแวม!มาเยือนจีนเป็นเวลา 10 วัน ซึ่งเป็นครั้งแรกของวงดนตรีป็อปตะวันตก[21] การมาเยือนของแวม!ใน ค.ศ. 1985 ซึ่งจัดโดยไซมอน เนเปียร์-เบลล์ ผู้จัดการของวง ถือเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ได้รับการประชาสัมพันธ์อย่างมากและถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความสัมพันธ์ทวิภาคีที่เป็นมิตรระหว่างจีนกับตะวันตก[22]

ในคริสต์ทศวรรษ 1980 จ้าวถูกกลุ่มอนุรักษ์นิยมตราหน้าว่าเป็นนักแก้ไขลัทธิมากซ์ แต่การสนับสนุนความโปร่งใสของรัฐบาลและการเจรจาระดับชาติที่รวมประชาชนทั่วไปเข้าร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบายทำให้เขาได้รับความนิยมจากหลายคน[17] จ้าวเป็นผู้ศรัทธาอย่างเหนียวแน่นในพรรค แต่เขาให้คำนิยามของสังคมนิยมต่างจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมของพรรคอย่างมาก จ้าวเรียกการปฏิรูปการเมืองว่า "การทดสอบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่สังคมนิยมต้องเผชิญ" เขาเชื่อว่าความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมีความเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับประชาธิปไตย[23] จ้าวเป็นแฟนตัวยงของกีฬากอล์ฟ และได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ทำให้กีฬากอล์ฟได้รับการนำกลับมาเผยแพร่อีกครั้งบนแผ่นดินใหญ่ในคริสต์ทศวรรษ 1980[24][25]

ขณะที่จ้าวมุ่งเน้นการปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วงต้นทศวรรษ 1980 หู เย่าปัง ผู้บังคับบัญชาของเขากลับส่งเสริมการปฏิรูปทางการเมืองจำนวนหนึ่ง ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 หูและจ้าวได้ร่วมมือกันส่งเสริมการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่หลายครั้งโดยมีเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน การปฏิรูปการเมืองของหูและจ้าว ได้แก่ ข้อเสนอให้มีการเลือกตั้งผู้สมัครเข้าสู่กรมการเมืองโดยตรง ให้มีการเลือกตั้งที่มีผู้สมัครมากกว่าหนึ่งคนมากขึ้น รัฐบาลมีความโปร่งใสมากขึ้น หารือกับประชาชนเกี่ยวกับนโยบายมากขึ้น และเพิ่มความรับผิดชอบส่วนบุคคลต่อเจ้าหน้าที่สำหรับความผิดพลาดของพวกเขา[7] จ้าวและหูยังริเริ่มโครงการต่อต้านการทุจริตขนาดใหญ่ และอนุญาตให้มีการสอบสวนบุตรหลานของผู้อาวุโสระดับสูงของพรรคที่เติบโตมาโดยได้รับการปกป้องจากอิทธิพลของพ่อแม่ การที่หูทำการสอบสวนเจ้าหน้าที่พรรคที่สังกัด "พรรคมกุฎราชกุมาร" ทำให้หูไม่เป็นที่นิยมในหมู่เจ้าหน้าที่พรรคที่ทรงอำนาจหลายคน ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1987 กลุ่มผู้อาวุโสพรรคบีบให้หูลาออก โดยให้เหตุผลว่าหูมีท่าทีผ่อนปรนเกินไปในการตอบสนองต่อการประท้วงของนักศึกษาที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา[26]: 409  หลังปลดหู เติ้งได้เลื่อนตำแหน่งจ้าวให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนแทนหู เพื่อวางจ้าวให้สืบทอดตำแหน่ง "ผู้นำสูงสุด" ต่อจากเติ้ง[7] หนึ่งเดือนก่อนจ้าวจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ จ้าวได้กล่าวกับนักข่าวชาวอเมริกันว่า "ฉันไม่เหมาะจะเป็นเลขาธิการ... ฉันเหมาะจะดูแลกิจการเศรษฐกิจมากกว่า"[27] ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ว่างลงของจ้าวถูกแทนที่โดยหลี่ เผิง ผู้มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมต่อต้านการปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองหลายอย่างของจ้าว

ในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคครั้งที่ 13 ใน ค.ศ. 1987 จ้าวได้ประกาศว่าจีนอยู่ใน "ขั้นแรกของสังคมนิยม" ที่อาจกินเวลานานถึง 100 ปี ภายใต้สมมติฐานนี้ จ้าวเชื่อว่าจีนจำเป็นต้องทดลองปฏิรูปเศรษฐกิจหลายรูปแบบเพื่อกระตุ้นการผลิต[8] นอกจากนี้ จ้าวยังเสนอให้แยกบทบาทของพรรคและรัฐออกจากกัน ซึ่งเป็นข้อเสนอที่กลายเป็นเรื่องต้องห้ามตั้งแต่นั้นมา[28] ในความเห็นของจ้าว การพัฒนาข้าราชการพลเรือนของรัฐที่แยกจากพรรคจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบราชการ ความเป็นมืออาชีพ และแก้ไขสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็น "การแทรกแซง" มากเกินไปของพรรคในการบริหารรัฐ[29]: 65 

การประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 13 มีความโดดเด่นเนื่องจากไม่มีการเลือกผู้หญิงเข้าไปดำรงตำแหน่งในกรมการเมืองและสำนักเลขาธิการคณะกรรมาธิการกลางฯ ตามที่จ้าวกล่าว ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น "[ไม่ได้] หมายความว่า [ผู้นำพรรคได้] ปรับนโยบาย [ของตน] เกี่ยวกับผู้หญิง"[30] ตามที่เอลเลน จัดด์ กล่าว สมาชิกขององค์การสตรี รวมถึงสหพันธ์สตรีแห่งประเทศจีน ระบุว่าการที่จำนวนสตรีที่อยู่ในตำแหน่งของพรรคระดับล่างลดลงเป็นผลจาก "การแสดงความเห็นอย่างเปิดเผย" ของจ้าวต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรี[31] จำนวนสตรีที่ดำรงตำแหน่งผู้นำในระดับพรรคการเมืองต่าง ๆ ลดลงตั้งแต่ครึ่งหลังของคริสต์ทศวรรษ 1970[30]

โดยทั่วไปผู้สังเกตการณ์ชาวตะวันตกถือว่าปีที่จ้าวดำรงตำแหน่งเลขาธิการเป็นปีที่เปิดเผยมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ข้อจำกัดหลายอย่างเกี่ยวกับเสรีภาพในการพูดและการสื่อสารได้รับการผ่อนปรน ช่วยให้ปัญญาชนได้แสดงออกอย่างเสรี และสามารถเสนอ "แนวทางปรับปรุง" ให้กับประเทศได้[7]

การแนะนำตลาดหลักทรัพย์และการปฏิรูปการเงิน

จ้าวแนะนำตลาดหลักทรัพย์ในประเทศจีนและส่งเสริมการซื้อขายล่วงหน้าที่นั่น[32] ใน ค.ศ. 1984 ด้วยการสนับสนุนของเขา ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกว่างโจวจึงกลายเป็นเมืองทดลองที่ใช้ระบบหุ้นร่วมกัน อย่างไรก็ตาม บริษัทบางแห่งก็ออกหุ้นให้แก่พนักงานของตนเท่านั้น ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1985 บริษัทได้จัดตั้งบริษัทออกหุ้นแห่งแรกในเซี่ยงไฮ้และออกหุ้นต่อสาธารณะจำนวน 10,000 หุ้น โดยหุ้นแต่ละตัวมีมูลค่าที่ตราไว้ 50 หยวน ซึ่งดึงดูดนักลงทุน จ้าวเป็นเจ้าภาพการประชุมทางการเงินในวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1986 โดยเรียกร้องให้มีการนำระบบหุ้นร่วมไปปฏิบัติทั่วประเทศในปีถัดไป[33]

จ้าวมีส่วนสำคัญในการดำเนินการเปิดเสรีราคาและตั้งคำถามว่าจีนควรใช้แนวทางการเปิดเสรีราคาแบบกะทันหันคล้ายกับการบำบัดแบบช็อกหรือแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่ากัน[34] "เมื่อเผชิญกับคำเตือนที่หลากหลายและเชื่อถือได้เกี่ยวกับความเสี่ยงที่ไม่อาจคาดการณ์ได้จากการปฏิรูปราคาแบบช็อกและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ได้" ในที่สุดเขาก็ปฏิเสธการปฏิรูปราคาแบบช็อก[34] จ้าวยอมรับข้อโต้แย้งที่ว่าข้อกังวลพื้นฐานในการปฏิรูปเศรษฐกิจคือการสร้างพลังให้กับองค์กรต่าง ๆ[34] ภายในปลายฤดูร้อน ค.ศ. 1986 สิ่งที่เริ่มต้นภายใต้แนวคิด "การประสานงานปฏิรูปอย่างครอบคลุม" ได้รับการเจือจางลงเหลือเพียงการปรับราคาเหล็ก (แม้ราคาจะสำคัญและมีน้ำหนักเชิงสัญลักษณ์) เช่นเดียวกับการปฏิรูปภาษีและการเงินบางส่วน[34] โครงการปฏิรูปของจ่าวใน ค.ศ. 1987 และต้นปี ค.ศ. 1988 มุ่งเน้นไปที่การผสมผสานการทำสัญญาวิสาหกิจและยุทธศาสตร์การพัฒนาชายฝั่ง[35]

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของจ้าวในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1988 ที่จะเร่งปฏิรูปราคาได้นำไปสู่การร้องเรียนอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเปิดโอกาสให้กับฝ่ายต่อต้านการปฏิรูปอย่างรวดเร็วในการเรียกร้องให้มีการรวบอำนาจควบคุมเศรษฐกิจเข้าสู่ศูนย์กลางมากขึ้น และการห้ามที่เข้มงวดขึ้นต่ออิทธิพลของชาติตะวันตก ทำให้เกิดการอภิปรายทางการเมืองอย่างเข้มข้นในช่วงฤดูหนาว ค.ศ. 1988 ถึง 1989[8]

ความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสพรรค

เนื่องจากจ้าวก้าวขึ้นสู่อำนาจผ่านการทำงานในมณฑลต่าง ๆ เขาจึงไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้นำพรรคในปักกิ่งเลย เนื่องจากเขาเป็นผู้นำสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ในคริสต์ทศวรรษ 1950 จ้าวจึงมักอาศัยการสนับสนุนจากอดีตสมาชิก และศัตรูของจ้าวก็กล่าวหาเขาว่าส่งเสริม "กลุ่มสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์" ภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในบรรดาผู้อาวุโสพรรคของปักกิ่ง เฉิน ยฺหวินและหลี่ เซียนเนี่ยนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์จ้าวและนโยบายของเขาอย่างชัดเจน[14]: xix 

แม้เฉินจะวิจารณ์จ้าว แต่เขาก็เป็นผู้อาวุโสพรรคที่จ้าวเคารพมากที่สุด และจ้าวมักจะพยายามปรึกษาหารือกับเฉินก่อนจะนำนโยบายใหม่มาใช้ หลี่รู้สึกไม่พอใจจ้าวเป็นการส่วนตัวเนื่องจากจ้าวสนใจวัฒนธรรมต่างประเทศ และความเต็มใจของเขาที่จะเรียนรู้จากโมเดลเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จนอกประเทศจีน ตามที่จ้าวกล่าวไว้ หลี่ เซียนเนี่ยน "เกลียดฉันเพราะฉันดำเนินการปฏิรูปของเติ้ง เสี่ยวผิง แต่เพราะเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะคัดค้านเติ้งอย่างเปิดเผย เขาจึงใช้ฉันเป็นเป้าของฝ่ายค้านแทน"[14]: xviii–xix 

จ้าวเขียนถึงหู เย่าปังด้วยความรู้สึกอบอุ่นในบันทึกความทรงจำของเขา และเห็นด้วยกับหูโดยรวมในเรื่องทิศทางการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีน แม้เติ้ง เสี่ยวผิงจะเป็นผู้สนับสนุนจ้าวเพียงคนเดียวในบรรดาผู้อาวุโสพรรค แต่การสนับสนุนของเติ้งก็เพียงพอที่จะปกป้องจ่าวตลอดอาชีพการงานของจ้าว กระทั่งในเดือนเมษายน ค.ศ. 1989 หนึ่งเดือนก่อนอาชีพการงานของจ้าวจะจบลงอย่างน่าเศร้า เติ้งได้ให้คำยืนยันแก่จ้าวว่าเขาได้รับการสนับสนุนจากเฉิน ยฺหวินและหลี่ เซียนเนี่ยนให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคอีกสองวาระเต็ม[14]: xix 

ในช่วงครึ่งหลังของปี ค.ศ. 1988 พบว่าการสนับสนุนทางการเมืองของจ้าวลดลงมากขึ้น จ้าวพบว่าตนเองอยู่ในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกับผู้อาวุโสของพรรคหลายฝ่ายที่เริ่มไม่พอใจกับแนวทางปล่อยปละของจ่าวในการจัดการเรื่องอุดมการณ์ จ้าวพบว่าตนเองอยู่ในการต่อสู้ชิงอำนาจกับผู้อาวุโสพรรคหลายฝ่ายที่เริ่มไม่พอใจกับแนวทางละเลยของจ้าวในการจัดการเรื่องอุดมการณ์ กลุ่มอนุรักษ์นิยมในกรมการเมือง นำโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง และรองนายกรัฐมนตรีเหยา อี้หลิน มักมีความขัดแย้งกับจ้าวอยู่เสมอในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจและการคลัง จ้าวอยู่ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการปราบปรามการทุจริตที่ลุกลามโดยเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยและสมาชิกครอบครัวของพวกเขา ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1989 เป็นที่ชัดเจนว่าจ้าวต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ และเขาอาจรู้ว่ากำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอดทางการเมืองของตนเอง หากจ้าวไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว การเผชิญหน้ากับกลุ่มอนุรักษ์นิยมของพรรคก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การประท้วงของนักศึกษาที่เกิดจากการเสียชีวิตกะทันหันของหูเย่าปัง อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้นำที่มีแนวคิดปฏิรูป ก่อให้เกิดวิกฤตที่ทำให้จ้าวถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับศัตรูทางการเมืองของเขา[ต้องการอ้างอิง]

การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน

จ้าวดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคได้เพียงปีเศษก่อนที่หู เย่าปังจะเสียชีวิตในวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1989 ซึ่งเมื่อรวมกับความรู้สึกไม่พอใจของประชาชนที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากภาวะเงินเฟ้อสูงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจแล้ว[36] ก็ทำให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในปีนั้นโดยนักศึกษา ปัญญาชน และกลุ่มอื่น ๆ ของประชากรในเมืองที่ไม่พอใจ การประท้วงที่เทียนอันเหมินเริ่มต้นจากการไว้อาลัยต่อหูอย่างเปิดเผย แต่ได้พัฒนาเป็นการประท้วงทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปการเมืองและเรียกร้องให้ยุติการทุจริตของพรรค[7]

ผู้ประท้วงซึ่งเป็นนักศึกษาใช้ประโยชน์จากบรรยากาศทางการเมืองที่ผ่อนคลายลงและตอบสนองต่อสาเหตุของความไม่พอใจต่าง ๆ ข้อเรียกร้องที่หลากหลายของผู้ประท้วง ได้แก่ การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจมากขึ้น ประชาธิปไตยทางการเมือง เสรีภาพสื่อ เสรีภาพในการพูดและการสมาคม หลักนิติธรรม และการให้การยอมรับความชอบธรรมของการเคลื่อนไหว ผู้นำการประท้วงบางคนพูดต่อต้านการทุจริตและการเก็งกำไรของทางการ เสถียรภาพราคา หลักประกันสังคม และวิธีการทางประชาธิปไตยในการกำกับดูแลกระบวนการปฏิรูป[37] ที่น่าขันคือ คำพูดเหยียดหยามบางส่วนยังมุ่งเป้าไปที่จ้าวด้วย สมาชิกพรรคสายแข็งได้ข้อสรุปเพิ่มมากขึ้นว่าการประท้วงดังกล่าวเป็นผลมาจากการปฏิรูปอย่างรวดเร็วของจ้าว ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าทำให้เหล่านักศึกษาเกิดความสับสนและหงุดหงิด ผู้ประท้วงอาจได้รับกำลังใจจากการล่มสลายของรัฐบาลคอมมิวนิสต์อื่น ๆ ในยุโรปตะวันออกในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย[8]

จ้าวปฏิบัติต่อผู้ประท้วงอย่างเห็นอกเห็นใจ ขณะที่การประท้วงเริ่มสงบลงในวันที่ 26 เมษายน จ้าวจำเป็นต้องเดินทางไปเกาหลีเหนือเพื่อเยือนอย่างเป็นทางการ (ในฐานะเลขาธิการพรรค) ขณะที่เขาไม่อยู่ นายกรัฐมนตรีหลี่ เผิงได้จัดการประชุมระหว่างเติ้ง เสี่ยวผิงและคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง ซึ่งหลี่และพันธมิตรของเขาได้โน้มน้าวเติ้งว่าการประท้วงดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อพรรค หลี่ได้ให้หนังสือพิมพ์ เหรินหมินรื่อเป้า ตีพิมพ์บทความ (ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นฝีมือของเติ้ง) ที่วิจารณ์การประท้วงว่าเป็น "ความวุ่นวายที่วางแผนไว้ล่วงหน้าและเป็นระเบียบโดยมีแรงจูงใจต่อต้านพรรคและสังคมนิยม" หลังบทความของหลี่ได้รับการตีพิมพ์ การประท้วงได้ขยายตัวเป็นมากกว่า 10,000 ครั้งและลามไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศจีน[38] โดยเฉพาะเซี่ยงไฮ้และกว่างโจว[8]

จ้าวพยายามสงบสติอารมณ์ของผู้ประท้วงโดยการมีส่วนร่วมในการสนทนากับกลุ่มนักศึกษา เขาพยายามที่จะสถาปนาการปฏิรูปรัฐบาลมากมาย รวมทั้งการตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อสอบสวนการทุจริตของรัฐบาล แต่ตามที่จ้าวกล่าว คณะกรรมการดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจาก "หลี่ เผิงและคนอื่น ๆ ในกลุ่มของเขาพยายามขัดขวาง ถ่วงเวลา หรือแม้แต่ทำลายกระบวนการนี้อย่างจริงจัง" จ้าวพยายามนัดพบกับเติ้งเพื่อโน้มน้าวให้เขาเพิกถอน "บทบรรณาธิการ 26 เมษายน" ของหลี่ เขาได้รับอนุญาตให้พบกับเติ้งในวันที่ 17 พฤษภาคม แต่แทนที่จะเป็นการประชุมส่วนตัวตามที่เขาคาดหวัง เขากลับพบว่าคณะกรรมาธิการสามัญทั้งหมดมาเข้าร่วม ประธานาธิบดีหยาง ช่างคุนเสนอให้ประกาศกฎอัยการศึกตามมติของสภาประชาชนแห่งชาติ[39][38] แต่จ้าวปฏิเสธ[39] วันรุ่งขึ้น จ้าวได้เขียนจดหมายถึงเติ้ง แนะนำให้เขาถอนบทบรรณาธิการ 26 เมษายน เพื่อลดความตึงเครียดระหว่างผู้ประท้วงกับรัฐบาล ในจดหมาย จ้าวยังเตือนด้วยว่า "การใช้มาตรการรุนแรงในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่คัดค้านอย่างหนักอาจส่งผลร้ายแรงที่คุกคามชะตากรรมของพรรคและรัฐ" เขาไม่ได้รับคำตอบ[14]: 30–31 [40]

ในที่สุดเติ้งก็ตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึก ตามเทียนอันเหมินเพเพอส์ การลงมติของคณะกรรมาธิการสามัญมีมติ 2 ต่อ 2 โดยมีผู้งดออกเสียง 1 คน และมีการเรียกทหารผ่านศึกเกษียณอายุของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ามาตัดสินผลการลงมติ อย่างไรก็ตาม ตามที่จ้าวกล่าว ไม่มีการลงมติ และการตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึกถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายตามกฎของพรรค[38]

สุนทรพจน์ต่อนักศึกษา

ไม่นานก่อนเวลา 05:00 น. ของวันที่ 19 พฤษภาคม จ้าวปรากฏตัวที่จัตุรัสเทียนอันเหมินและเดินท่ามกลางกลุ่มผู้ประท้วง เขาใช้โทรโข่งกล่าวสุนทรพจน์อันโด่งดังต่อนักศึกษาที่มารวมตัวกันอยู่ที่จัตุรัส ออกอากาศครั้งแรกผ่านทางสถานีโทรทัศน์วิทยุกลางแห่งประเทศจีนทั่วประเทศ และรายงานโดยสำนักข่าวซินหัว[41] ด้านล่างนี้เป็นเวอร์ชันแปล:

นักศึกษาทั้งหลายเรามาช้าเกินไปแล้ว เราขออภัย คุณพูดถึงเรา วิพากษ์วิจารณ์เรา มันเป็นสิ่งจำเป็น เหตุผลที่ฉันมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อขออภัยคุณ ที่อยากจะบอกคือพวกคุณทุกคนอ่อนแอลงแล้ว ตั้งแต่คุณอดอาหารประท้วงมา 7 วันแล้ว คุณไม่สามารถทำแบบนี้ต่อไปได้  เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายของคุณอาจเสียหายเกินกว่าจะซ่อมแซม ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการยุติการประท้วง ฉันรู้ว่าการอดอาหารประท้วงของคุณนั้นก็เพื่อหวังว่าพรรคและรัฐบาลจะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่คุณ ฉันรู้สึกว่าการสื่อสารของเรามีความเปิดกว้าง ปัญหาบางอย่างสามารถแก้ไขได้ด้วยขั้นตอนบางอย่างเท่านั้น เช่น คุณกล่าวถึงลักษณะของเหตุการณ์ คำถามเรื่องความรับผิดชอบ ฉันรู้สึกว่าปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ในที่สุด และเราสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันในที่สุด อย่างไรดี คุณควรทราบด้วยว่าสถานการณ์นี้ซับซ้อนมาก และจะเป็นกระบวนการที่ยาวนาน คุณไม่สามารถอดอาหารประท้วงได้นานกว่า 7 วัน และยังคงยืนกรานจะรับคำตอบที่น่าพอใจก่อนจะยุติการอดอาหารประท้วง

คุณยังเด็ก เราแก่แล้ว คุณต้องมีสุขภาพแข็งแรง และมองเห็นวันที่จีนบรรลุสี่ทันสมัย ต่างจากคุณ เราแก่แล้ว และไม่สำคัญอีกต่อไป ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับประเทศนี้และพ่อแม่ของคุณที่จะสนับสนุนการเรียนมหาวิทยาลัยของคุณ ตอนนี้พวกคุณอายุราว ๆ 20 ปี และกำลังจะสละชีวิตของตัวเองอย่างง่ายดาย นักศึกษาคิดอย่างมีเหตุผลไม่ได้หรืออย่างไร ตอนนี้สถานการณ์ร้ายแรงมาก ทุกท่านคงทราบดีว่าพรรคและประเทศชาติวิตกกังวลมาก สังคมของเราก็วิตกกังวลมากเช่นกัน นอกจากนี้ ปักกิ่งเป็นเมืองหลวง สถานการณ์กำลังเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ทั่วทุกแห่ง ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ นักศึกษาทุกคนมีความปรารถนาดีและทำเพื่อประเทศชาติ แต่หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป สูญเสียการควบคุม จะเกิดผลกระทบร้ายแรงต่อที่อื่นด้วย

สรุปแล้ว ฉันมีความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียว หากคุณหยุดการอดอาหารประท้วง รัฐบาลจะไม่ปิดประตูการเจรจาเด็ดขาด! คำถามที่คุณยกขึ้นมา เราสามารถคุยกันต่อไปได้ ถึงแม้ว่าจะช้าไปนิดหน่อย แต่เราก็สามารถบรรลุข้อตกลงในบางประเด็นได้ วันนี้ฉันแค่อยากพบกับนักศึกษาและแสดงความรู้สึกของเรา ฉันหวังว่านักศึกษาจะคิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างใจเย็น สถานการณ์ดังกล่าวนี้ไม่อาจแก้ไขได้อย่างชัดเจนภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผล พวกคุณทุกคนมีความแข็งแกร่ง แม้ว่าคุณยังเด็กอยู่ก็ตาม เราก็เคยเป็นเด็กมาก่อน เราประท้วงและวางร่างกายของเราบนรางรถไฟ เราไม่เคยคิดว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ท้ายที่สุดนี้ ฉันขอวิงวอนนักศึกษาให้คิดถึงอนาคตอย่างใจเย็นอีกครั้งหนึ่ง มีหลายสิ่งที่สามารถแก้ไขได้ หวังว่าทุกท่านจะยุติการอดอาหารประท้วงในเร็ว ๆ นี้ ขอบคุณ

— จ้าว จื่อหยาง[42]

หลังโค้งคำนับ ผู้คนก็เริ่มปรบมือ และนักศึกษาบางคนถึงกับร้องไห้ออกมา นั่นเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งสุดท้ายของจ้าว เนื่องจากจ้าวถูกผู้อาวุโสพรรคขับไล่ก่อนที่จะมาจัตุรัส[39] วลี "เราแก่แล้วและไม่สำคัญ" (我们已经老了,无所谓) และคำพูดของจ้าวได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการประท้วงที่รู้จักกันดี[43][44][45] แรงบันดาลใจในการมาเยือนของจ้าวยังคงเป็นหัวข้อถกเถียงจนถึงทุกวันนี้ ตามที่อู๋ กั๋วกวง อดีตผู้เขียนคำปราศรัยของจ้าวกล่าว บางคนกล่าวว่าเขาไปที่จัตุรัสโดยหวังว่าท่าทีปรองดองจะช่วยให้เขามีอำนาจต่อรองกับกลุ่มสายแข็ง เช่น นายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง ได้ คนอื่น ๆ เชื่อว่าเขาสนับสนุนผู้ประท้วงและประเมินความเสี่ยงในการแตกหักกับผู้นำผิดไป[46]

ผลที่ตามมา

ผู้ประท้วงไม่ได้สลายตัว หนึ่งวันหลังการเยือนจัตุรัสเทียนอันเหมินของจ้าวในวันที่ 19 พฤษภาคม นายกรัฐมนตรีหลี่ เผิงก็ประกาศกฎอัยการศึกอย่างเปิดเผย ส่งผลให้ผู้ประท้วงหลายร้อยถึงหลายพันคนเสียชีวิตในวันที่ 4 มิถุนายน ในวันเดียวกัน เติ้งได้ประชุมกับผู้นำระดับสูงอีกครั้ง โดยเขาตัดสินใจปลดจ้าวออกจากตำแหน่งเลขาธิการ และแต่งตั้งเจียง เจ๋อหมินให้ดำรงตำแหน่งแทน[47]

ประมาณสองสัปดาห์ต่อมา ระหว่างวันที่ 19 ถึง 21 มิถุนายน ได้มีการจัดการประชุมกรมการเมืองครั้งใหญ่เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 ของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 13 ที่กำลังจะมีขึ้น[48] การประชุมครั้งนี้ประกอบด้วยผู้อาวุโสที่มีอิทธิพลมากที่สุดของพรรค และมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดแนวทางตอบสนองของรัฐบาลต่อเหตุการณ์ในวันที่ 4 มิถุนายน โดยการรวมการสนับสนุนการปราบปรามด้วยอาวุธและปลดจ้าวออกจากตำแหน่ง[49][50] ผู้เข้าร่วมได้รับเชิญให้แสดงความภักดีต่อเติ้งโดยการรับรองเอกสาร 2 ฉบับ ได้แก่ คำปราศรัยของเติ้งในวันที่ 9 มิถุนายนซึ่งให้เหตุผลในการใช้กำลังทหาร และรายงานที่ออกโดยหลี่ เผิงที่วิจารณ์การจัดการวิกฤตของจ้าว[51] นอกจากนี้ ในวันที่ 20 มิถุนายน จ้าวยังได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านเพื่อพูดปกป้องตัวเองอีกด้วย จ้าวยอมรับ "ข้อบกพร่อง ข้อผิดพลาด และความผิดพลาด" ในการทำงานของเขา แต่ปกป้องงานด้านเศรษฐกิจของเขา และปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเขา "สนับสนุนความไม่สงบ" และ "ทำให้พรรคแตกแยก" เขายังเรียกร้องให้การปฏิรูปการเมืองยังคงเป็นประเด็นสำคัญอีกด้วย เฉิน ซีถง นายกเทศมนตรีปักกิ่ง โจมตีจ้าวด้วยการกล่าวว่า "ฉันรู้สึกว่าสหายจื่อหยางกำลังหาข้อแก้ตัว"[52]

สมาชิกพรรคสายแข็งที่ต่อต้านการปฏิรูปของจ้าวใช้โอกาสนี้ในการวิพากษ์วิจารณ์เขา โดยผู้อาวุโสหวัง เจิ้นกล่าวว่าจ้าวขาดความแข็งแกร่งทางอุดมการณ์และกำลังนำจีนเข้าใกล้ตะวันตกมากขึ้น ในทำนองเดียวกัน จ้าวก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรทางการเมืองของเขา ซึ่งต้องการการให้อภัยจากผู้นำ หู ฉีลี่ ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง ยอมรับว่าเขาเข้าข้างจ้าวในการต่อต้านกฎอัยการศึก แต่กล่าวว่าคำปราศรัยของเติ้งในวันที่ 9 มิถุนายนทำให้เขาตระหนักว่า "ความคิดของเขาไม่ชัดเจนเมื่อเผชิญกับปัญหาใหญ่ ๆ เกี่ยวกับความถูกต้องและความผิดที่ส่งผลกระทบต่ออนาคตและชะตากรรมของพรรคและประเทศ"[50] ต่อมา หูถูกปลดออกจากตำแหน่ง แต่ยังคงดำรงตำแหน่งทางการเมืองและพิธีการหลายตำแหน่งในคริสต์ทศวรรษ 1990 พร้อมกับได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่มอบให้แก่ผู้นำที่เกษียณ[50] ภายหลังจ้าวเองก็ได้อธิบายถึงคำปราศรัยบางส่วนในการประชุมว่า "อยู่ในแบบของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมโดยสมบูรณ์" โดยกล่าวว่าฝ่ายตรงข้ามของเขามีส่วนร่วมในการ "พลิกขาวและดำ พูดเกินจริงเกี่ยวกับความผิดส่วนบุคคล ยกคำพูดมาอ้างโดยไม่คำนึงถึงบริบท [และ] กล่าวใส่ร้ายและโกหก"[14]: 43  รายละเอียดเต็มของการประชุมครั้งนี้ไม่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะจนกระทั่งใน ค.ศ. 2019 เมื่อบันทึกการประชุมได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ New Century Press ในฮ่องกง ซึ่งได้รับสำเนามาจากเจ้าหน้าที่พรรค[51]

หลังการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 ของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 13 ในวันที่ 23–24 มิถุนายน จ้าวก็ถูกปลดจากตำแหน่งทั้งหมด[53] ที่ประชุมชื่นชมจ้าวสำหรับการปฏิรูปเศรษฐกิจของเขา แต่กล่าวหาเขาว่า "[ทำ] ผิดพลาดด้วยการสนับสนุนความวุ่นวายและแบ่งแยกพรรค" และว่าเขามี "ความรับผิดชอบที่ไม่อาจเลี่ยงได้สำหรับการพัฒนาของความวุ่นวาย"[54] จากนั้นจ้าวก็ถูกกักบริเวณในบ้าน แต่ยังคงได้รับอนุญาตให้เป็นสมาชิกพรรคต่อไป[17] ภายหลังจากจ้าวถูกปลดจากตำแหน่ง เจียง เจ๋อหมินก็เข้ามาแทนที่จ้าวในตำแหน่งเลขาธิการพรรคและเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเติ้ง เสี่ยวผิง[7] รัฐมนตรีกว่า 30 คนถูกปลดจากตำแหน่งเนื่องจากเป็นผู้ภักดีต่อจ้าว และจ้าวยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสื่อของจีน[55] ท้ายที่สุด การกล่าวถึงชื่อของเขาในสื่อถูกจำกัดอย่างเข้มงวด รวมทั้งยังลบเขาออกจากภาพถ่ายและหนังสือเรียน[56][39]

หลี่ เผิง คู่แข่งของจ้าว กล่าวหาจ้าวในเวลาต่อมาว่าปลุกปั่นการประท้วงที่เทียนอันเหมินเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น ตามที่หลี่กล่าวว่า "จ้าวติดต่อกับเป้า ถงทันทีหลังเขามาถึงปักกิ่ง (จากเปียงยาง) เป้ารวบรวมผู้สนับสนุนคนอื่น ๆ ของจ้าวเพื่อหารือถึงสถานการณ์ พวกเขาหวั่นเกรงว่าอนาคตทางการเมืองของจ้าวอาจตกอยู่ในความเสี่ยง จ้าวไม่ประสบความสำเร็จใน [การบริหาร] เศรษฐกิจ ไม่โดดเด่นทางการเมือง ไม่มีฐานอำนาจเป็นของตัวเอง และลูกชายของเขาต้องสงสัยว่าทำธุรกิจผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปได้ว่าจ้าวจะกลายเป็น 'แพะรับบาป' ของขบวนการนักศึกษา ที่ปรึกษาเหล่านี้แนะนำให้จ้าวรักษาระยะห่างกับเติ้ง เสี่ยวผิงและพยายามเอาชนะใจผู้คนเพื่อช่วยตัวเอง ไม่มีทางเลือกอื่น"[57] เนื่องจากจ้าวไม่เคยถูกตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการว่ากระทำผิด[17] จึงไม่สามารถทราบได้ว่าหลี่มีหลักฐานใดมาสนับสนุนคำกล่าวอ้างของเขา

ถูกกักบริเวณในบ้าน

บ้านเลขที่ 6 ซอยฟู่เฉียง ที่จ้าวอาศัยอยู่

จ้าวใช้ชีวิตภายใต้การกักบริเวณในบ้านเลขที่ 6 ซอยฟู่เฉียง [zh] เขตตงเฉิง ใจกลางกรุงปักกิ่ง ใกล้กับจงหนานไห่เป็นเวลา 15 ปีโดยมีภรรยาคอยดูแล[58][59] บ้านพักซึ่งจัดหาโดยรัฐบาลปักกิ่ง เคยเป็นของช่างทำผมของพระพันปีซูสีไทเฮาแห่งราชวงศ์ชิง[7] และของหู เย่าปังก่อนที่เขาจะเสียชีวิตใน ค.ศ. 1989[60] บ้านหลังนี้เป็นแบบซื่อเหอยฺเวี่ยนแบบดั้งเดิม มีลานบ้าน 3 แห่ง ลานด้านหน้าประกอบด้วยห้องทำงานกับห้องนอนและมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยดูแล ห้องทำงานของจ้าวตั้งอยู่ในลานที่สอง ขณะที่ลานชั้นในสุดเป็นที่ตั้งของที่พักอาศัย ซึ่งจ้าวอาศัยอยู่กับภรรยาและครอบครัวของลูกสาวของเขา[61]

จ้าวอยู่ภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวด และมีรายงานว่าเขาถูกล็อกอยู่ในบ้านด้วยกุญแจล็อกจักรยาน[62] เขาออกจากบริเวณลานบ้านหรือต้อนรับผู้มาเยี่ยมได้เฉพาะเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้บริหารสูงสุดของพรรคเท่านั้น ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990 จ้าวได้รับอนุญาตให้ไปพักผ่อนภายในประเทศจีนภายใต้การเฝ้าระวัง ซึ่งรวมถึงการเดินทางไปเล่นกอล์ฟทางตอนใต้ของจีน โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรค[27] ในช่วงเวลาดังกล่าว มีภาพถ่ายของจ้าวที่มีผมสีเทาเพียงไม่กี่ภาพที่รั่วไหลออกสู่สื่อ

แม้จ้าวจะถูกกักบริเวณในบ้าน แต่ก็ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการต่อเขาเลย และเขาไม่ได้ถูกขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน[17] เขายังคงได้รับอนุญาตให้อ่านเอกสารลับ[63] ตามที่นิตยสาร Open Magazine [zh] ซึ่งตั้งอยู่ในฮ่องกงรายงาน เติ้งมองว่าจ้าวไม่ใช่ "ผู้แบ่งแยกพรรค" หรือ "ผู้สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่" โดยบอกกับจ้าวว่าประวัติของเขานั้นดี 70% และชั่ว 30% คล้ายกับสถานการณ์ของเติ้งภายใต้การนำของเหมาใน ค.ศ. 1976[63] อย่างไรก็ตาม เบ็กเกอร์ได้โต้แย้งในคำไว้อาลัยของจ้าวว่าเติ้งและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา "เชื่ออย่างสุดใจว่าจ้าวอยู่เบื้องหลังการประท้วง"[7] หลังจากปี ค.ศ. 1989 จ้าวยังคงมีทัศนคติทางอุดมการณ์แปลกแยกจากรัฐบาลจีน เขาได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่เชื่อว่ารัฐบาลผิดที่สั่งการสังหารหมู่ที่เทียนอันเหมิน และพรรคควรประเมินจุดยืนของตนเกี่ยวกับการประท้วงของนักศึกษาอีกครั้ง เขายังคงเรียกร้องให้ผู้นำระดับสูงของจีนรับผิดชอบต่อการโจมตีครั้งนี้ และปฏิเสธที่จะยอมรับแนวทางอย่างเป็นทางการของพรรคที่ว่าการชุมนุมประท้วงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ "การกบฏต่อต้านการปฏิวัติ"[10] จ้าวเขียนจดหมายถึงรัฐบาลจีนอย่างน้อยสองครั้ง โดยเสนอให้มีการประเมินเหตุการณ์สังหารหมู่ที่เทียนอันเหมินใหม่ จดหมายฉบับหนึ่งปรากฏในวันก่อนการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 15 อีกฉบับหนึ่งปรากฏในระหว่างการเยือนจีนของประธานาธิบดีบิล คลินตันแห่งสหรัฐใน ค.ศ. 1998[27] ทั้งสองฉบับนี้ไม่เคยถูกตีพิมพ์ในจีนแผ่นดินใหญ่ ท้ายที่สุด จ้าวก็ได้ยึดถือความเชื่อหลายอย่างที่รุนแรงกว่าตำแหน่งใด ๆ ที่เคยแสดงออกขณะอยู่ในอำนาจ จ้าวเริ่มมีความเชื่อว่าจีนควรนำเอาเสรีภาพสื่อ เสรีภาพในการชุมนุม ระบบตุลาการอิสระ และประชาธิปไตยแบบหลายพรรคการเมืองมาใช้[40][64]

เสียชีวิต

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 จ้าวมีอาการปอดบวมจนปอดล้มเหลว ทำให้เขาต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลาสามสัปดาห์ จ้าวถูกนำส่งโรงพยาบาลอีกครั้งด้วยอาการปอดบวมในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2004 รายงานการเสียชีวิตของเขาถูกปฏิเสธอย่างเป็นทางการในต้นเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 ต่อมาในวันที่ 15 มกราคม มีรายงานว่าเขาอยู่ในอาการโคม่าหลังเกิดโรคหลอดเลือดสมองหลายครั้ง ตามรายงานของซินหัว รองประธานเจิ้ง ชิ่งหง ตัวแทนคณะผู้นำส่วนกลางพรรค ได้เข้าเยี่ยมจ้าวที่โรงพยาบาล[65] จ้าวเสียชีวิตในวันที่ 17 มกราคมที่โรงพยาบาลปักกิ่ง เวลา 07:01 น. ขณะมีอายุได้ 85 ปี เขามีภรรยาคนที่สองชื่อเหลียง ปั๋วฉี และลูกอีกห้าคน (ลูกสาวและลูกชายสี่คน) ที่ยังมีชีวิตอยู่[8]

การตอบสนองของรัฐบาลและในประเทศ

หลังการเสียชีวิตของจ่าว ผู้นำจีนเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบทางสังคมคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังการเสียชีวิตของหู เย่าปัง[66] เพื่อจัดการกับข่าวการเสียชีวิตของจ้าว รัฐบาลจีนได้จัดตั้ง "คณะผู้นำตอบสนองเหตุฉุกเฉินขนาดเล็ก" ขึ้น โดยประกาศ "ช่วงเวลาแห่งความอ่อนไหวอย่างยิ่ง" และสั่งการให้ตำรวจติดอาวุธประชาชนเตรียมพร้อมเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ในเมืองหลวง คณะฉุกเฉินจึงสั่งให้กระทรวงรถไฟตรวจคัดกรองผู้เดินทางที่มุ่งหน้าไปปักกิ่ง[64] เพื่อป้องกันไม่ให้มีการรำลึกถึงจ้าวในที่สาธารณะ ทางการจีนจึงเพิ่มการรักษาความปลอดภัยในจัตุรัสเทียนอันเหมินและบ้านของจ้าว[62][67] มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในปักกิ่งยังเพิ่มการรักษาความปลอดภัย โดยแจ้งให้คณาจารย์คอยดูแลนักศึกษาของตนเพื่อป้องกันการประท้วง ในเวลานั้น นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ได้รับสัมภาษณ์โดย เดอะนิวยอร์กไทมส์ แทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับจ้าว ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตรวจพิจารณาของรัฐบาลและข้อจำกัดเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมือง[66]

รัฐบาลจีนยังสั่งสถานีโทรทัศน์และวิทยุภายในประเทศไม่ให้ออกอากาศข่าวดังกล่าว ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้รายงานเรื่องดังกล่าวได้รับคำสั่งให้เรียกเขาว่า "สหาย" เท่านั้น โดยไม่ได้กล่าวถึงตำแหน่งผู้นำในอดีตของเขา[39]

ภายใต้หัวข่าว "สหายจ้าวจื่อหยางเสียชีวิตแล้ว" คำไว้อาลัยอย่างเป็นทางการของจ้าวระบุว่า "สหายจ้างทุกข์ทรมานด้วยโรคต่าง ๆ มากมายที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจ และหลอดเลือดเป็นเวลานาน และต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลหลายครั้ง อาการของเขาแย่ลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ และเสียชีวิตเมื่อวันจันทร์หลังจากไม่ตอบสนองต่อการรักษาฉุกเฉินทั้งหมด" หนังสือพิมพ์จีนทุกฉบับลงข่าวการเสียชีวิตของเขาเพียง 59 คำในวันถัดจากวันที่เขาเสียชีวิต ทำให้ช่องทางหลักในการเผยแพร่ข่าวผ่านทางอินเทอร์เน็ตกลายเป็นเพียงช่องทางเดียว[68] ฟอรัมอินเทอร์เน็ตของจีน รวมถึงฟอรัม Strong Nation และฟอรัมที่จัดโดย SINA.com, ซินหัว และเหรินหมินรื่อเป้า[69] เต็มไปด้วยข้อความแสดงความเสียใจต่อจ้าว: "กาลเวลาจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขา" ผู้แสดงความเห็นรายหนึ่งเขียนไว้ และอีกรายหนึ่งเขียนว่า "เราจะคิดถึงคุณตลอดไป" ผู้ดูแลระบบลบข้อความเหล่านี้ทันที[67] ส่งผลให้มีการโพสต์โจมตีผู้ดูแลระบบมากขึ้นสำหรับการกระทำของพวกเขา[69] รัฐบาลจีนประสบความสำเร็จในการทำให้ข่าวการเสียชีวิตของจ้าวไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนในจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่มีการตอบรับอย่างเปิดเผยต่อสาธารณชน แม้ผู้แสดงความเห็นออนไลน์บางรายจะระบุว่าพวกเขาวางแผนที่จะซื้อพวงหรีดเพื่อไว้อาลัยการเสียชีวิตของเขา หรือยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 3 นาทีเพื่อรำลึกถึงจ้าวก็ตาม[69]

ในฮ่องกง มีผู้คนประมาณ 10,000–15,000 คนเข้าร่วมพิธีจุดเทียนรำลึกถึงจ้าว ซึ่งจัดโดยพันธมิตรฮ่องกงเพื่อสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยรักชาติแห่งประเทศจีน[70]

การตอบสนองของต่างประเทศ

พิธีรำลึกลักษณะเดียวกันนี้ถูกจัดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในนครนิวยอร์กและวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐและนักการเมืองผู้เห็นต่างที่อยู่ในต่างแดนเข้าร่วมด้วย[ต้องการอ้างอิง]

ในนครนิวยอร์ก องค์การสิทธิมนุษยชนในจีน องค์การนอกภาครัฐที่มีฐานอยู่ในนิวยอร์ก ได้จัดพิธีรำลึกสาธารณะสำหรับจ้าวขึ้น พิธีนี้จัดขึ้นในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2005 ที่ห้องใต้ดินของโรงแรมเชอราตันในฟลัชชิงควีนส์[71][72] มีการประกาศผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ภาษาจีนท้องถิ่นและทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งตามรายงานของ นิวยอร์กไทมส์ ระบุว่า "มีผู้คนแน่นขนัด" พิธีกรในพิธีรำลึกนี้ส่วนใหญ่เป็นนักต่อต้านรัฐบาลและปัญญาชนชาวจีนที่ลี้ภัยอยู่ รวมทั้งเหยียน เจียฉี ผู้เป็นอดีตที่ปรึกษาของจ้าว จอห์น หลิว ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกสภานครนิวยอร์กจากควีนส์ เข้าร่วมด้วย โดยกล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษ[72]

พิธีศพและฌาปนกิจ

สถานที่ฝังศพสุดท้ายของจ้าว จื่อหยางใน ค.ศ. 2019 โดยมีจ้าว เอ้อร์จฺวิน [zh] ลูกชายของเขายืนอยู่ทางขวา

วันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2005 รัฐบาลได้จัดพิธีศพของเขาที่สุสานปฏิวัติปาเป่าชาน สถานที่ที่สงวนไว้สำหรับวีรบุรุษปฏิวัติและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล โดยมีผู้ร่วมแสดงความอาลัยประมาณ 2,000 คนที่ได้รับอนุมัติล่วงหน้าให้เข้าร่วม นักต่อต้านรัฐบาลหลายคน รวมถึงเป้า ถง เลขานุการของจ้าว และติง จื่อหลิน ผู้นำกลุ่มมารดาเทียนอันเหมิน ถูกกักบริเวณในบ้านและไม่สามารถเข้าร่วมงานได้ ซินหัวรายงานว่าเจ้าหน้าที่อาวุโสสูงสุดที่เข้าร่วมงานคือเจี่ย ชิ่งหลิน ลำดับที่สี่ในลำดับชั้นของพรรค และเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ที่เข้าร่วมงาน ได้แก่ เฮ่อ กั๋วเฉียง, หวัง กัง และหฺวา เจี้ยนหมิ่น[65] ผู้ไว้อาลัยถูกห้ามนำดอกไม้หรือเขียนข้อความของตนเองบนดอกไม้ที่ทางราชการออกให้ พิธีดังกล่าวไม่มีพิธีสดุดี เนื่องจากรัฐบาลและครอบครัวของจ้าวไม่สามารถตกลงกันเกี่ยวกับเนื้อหาของพิธีได้ ขณะที่รัฐบาลต้องการจะกล่าวว่าเขาทำผิด แต่ครอบครัวของเขากลับปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเขาทำอะไรผิด ในวันงานพิธีศพของเขา โทรทัศน์ของรัฐได้กล่าวถึงการเสียชีวิตของจ้าวเป็นครั้งแรก ซินหัวออกบทความสั้น ๆ เกี่ยวกับการจัดพิธีศพ โดยยอมรับถึง "ผลงานของจ้าวต่อพรรคและต่อประชาชน" แต่ระบุว่าเขาทำ "ผิดพลาดร้ายแรง" ระหว่าง "ความวุ่นวายทางการเมือง" ใน ค.ศ. 1989[65] ตามที่ตู้ เต่าเจิ้ง ผู้เขียนคำนำในบันทึกความทรงจำของจ้าวฉบับภาษาจีนได้กล่าวไว้ การใช้คำว่า "ความผิดพลาดร้ายแรง" แทนที่จะใช้คำตัดสินเดิมที่เป็นการสนับสนุน "การจลาจลต่อต้านการปฏิวัติ" แสดงถึงการถอยกลับของพรรค[55] หลังจากเสร็จพิธี จ้าวก็ถูกฌาปนกิจ ครอบครัวของเขานำเถ้ากระดูกของเขามาไปที่บ้านของเขาในปักกิ่ง เนื่องจากรัฐบาลไม่ยอมให้เขาไปที่ปาเป่าชาน[73] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2019 ในที่สุดจ้าวก็ได้รับการฝังที่สุสานเทียนโช่วยฺเหวียนทางตอนเหนือของปักกิ่ง[74][75] สามเดือนต่อมา ในวันครบรอบ 15 ปีการเสียชีวิตของจ้าว จ้าว เอ้อร์จฺวิน [zh] ลูกชายของเขา รายงานว่ามีการรักษาความปลอดภัยที่สุสานอย่างเข้มวงด โดยเพิ่มการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่มีการจดจำใบหน้า การตรวจสอบบัตรประจำตัว และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เดินตรวจตราบริเวณหลุมศพของจ้าว มีการปลูกต้นไม้ไว้ข้างหน้าหลุมศพเพื่อกีดขวางการเข้าถึง[76]

มรดก

ผลักดันการฟื้นฟูชื่อเสียง

ภายหลังการเสียชีวิตของจ้าว มีการเรียกร้องจำนวนมากจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและต่างประเทศเพื่อเรียกร้องให้สาธารณรัฐประชาชนจีนพิจารณาบทบาทของจ้าวในประวัติศาสตร์อีกครั้ง ภายในจีนแผ่นดินใหญ่ การเรียกร้องเหล่านี้ส่วนใหญ่นำโดยเป้า ถง อดีตเลขานุการของจ้าว นอกจีนแผ่นดินใหญ่ การเสียชีวิตของจ้าวทำให้รัฐบาลไต้หวันและญี่ปุ่นเรียกร้องให้สาธารณรัฐประชาชนจีนดำเนินการให้เสรีภาพทางการเมืองมากขึ้นตามที่จ้าวส่งเสริม[67] จุนอิจิโร โคอิซูมิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวในแถลงการณ์เกี่ยวกับการเสียชีวิตของจ้าวว่า "ผมต้องการให้พวกเขาพยายามสร้างประชาธิปไตย" เฉิน ฉีไม่ ผู้แทนคณะรัฐมนตรีสาธารณรัฐจีน กล่าวว่าปักกิ่งควร "เผชิญความจริงเกี่ยวกับจัตุรัสเทียนอันเหมิน" และ "ผลักดันการปฏิรูปประชาธิปไตย"[77] ทำเนียบขาวชื่นชมจ้าว โดยกล่าวว่าจ้าว "เป็นบุรุษผู้มีความกล้าหาญทางศีลธรรมที่ต้องสละชีวิตส่วนตัวครั้งใหญ่เพื่อยืนหยัดตามความเชื่อมั่นของตนในช่วงเวลายากลำบาก"[78]

แม้ผู้ติดตามบางส่วนของเขาจะพยายามผลักดันให้มีการฟื้นฟูจ้าวอย่างเป็นทางการตั้งแต่เขาถูกจับกุม แต่พรรคก็ประสบความสำเร็จในการลบชื่อเขาออกจากบันทึกสาธารณะส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในประเทศจีน[7] ความพยายามของรัฐบาลที่จะลบความทรงจำของจ้าวออกจากจิตสำนึกสาธารณะ ได้แก่ การลบภาพของเขาออกจากภาพถ่ายที่เผยแพร่ในประเทศจีน การลบชื่อของเขาออกจากหนังสือเรียน และการห้ามสื่อกล่าวถึงเขาในทางใดทางหนึ่ง[79][80] ความพยายามเหล่านี้ได้ขยายไปสู่ไป่ตู้ไป่เคอ สารานุกรมออนไลน์ของจีน ซึ่งไม่มีรายการสำหรับจ้าว เหตุการณ์นี้ดำเนินไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 เมื่อหน้าดังกล่าวถูกปลดบล็อกโดยไม่ทราบสาเหตุ และตามรายงานของ World Journal หน้าดังกล่าวมีผู้เข้าเยี่ยมชมกว่า 2 ล้านครั้งในหนึ่งวัน ก่อนจะถูกบล็อกอีกครั้ง[81] อย่างไรก็ตาม ณ เดือนธันวาคม ค.ศ. 2019 สารานุกรมที่ระดมทุนจากมวลชนทั้งสองซึ่งอยู่ภายใต้การตรวจพิจารณาของรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ล้วนมีบทความเกี่ยวกับชีวิตของจ้าว โดยละเว้นการกล่าวถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขับเขาออกจากพรรคและการกักบริเวณในบ้านในเวลาต่อมา[ต้องการอ้างอิง] ตั้งแต่ ค.ศ. 1989 หนึ่งในสิ่งพิมพ์ไม่กี่ฉบับที่ได้พิมพ์อนุสรณ์ที่ไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลเพื่อยกย่องมรดกของจ้าวก็คือ เหยียนหฺวางชุนชิว นิตยสารที่ออกบทความสนับสนุนจ้าวในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010 บทความนี้เขียนโดยหยาง หรู่ไต้ อดีตผู้ช่วยของจ้าว[82]

บันทึกความทรงจำ

วันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2009 หนังสือบันทึกความทรงจำของจ้าวได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณชนภายใต้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Prisoner of the State: The Secret Journal of Premier Zhao Ziyang หนังสือ 306 หน้านี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นกว่าสี่ปีโดยใช้เทปบันทึกเสียงลับที่จ้าวบันทึกไว้ขณะถูกกักบริเวณ[83] ในบทสุดท้าย จ้าวชื่นชมระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาของตะวันตกและกล่าวว่าเป็นหนทางเดียวที่จีนจะสามารถแก้ปัญหาการทุจริตและช่องว่างที่เพิ่มขึ้นระหว่างคนรวยกับคนจนได้[84][85]

อัตชีวประวัติที่ตีพิมพ์ของจ้างอิงจากเทปคาสเซ็ตประมาณ 30 ม้วนที่จ้าวบันทึกไว้อย่างลับ ๆ ระหว่างปี ค.ศ. 1999 ถึง 2000 ตามที่ตู้ เต่าเจิ้ง เพื่อนและอดีตเพื่อนร่วมงานของจ้าวกล่าว จ้าวบันทึกเทปดังกล่าวหลังจากเพื่อนของเขาโน้มน้าวให้ทำเช่นนั้น[55] เพื่อนของจ้าวเป็นคนลักลอบนำเทปเหล่านั้นไปฮ่องกง โดยหนึ่งในนั้นก็คือเป้า ถง จากนั้นเป้า ผู่ ลูกชายของเขา ก็แปลเทปดังกล่าวเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งต่อมาเขาได้ติดต่ออาดี อิกเนเชียส เพื่อแก้ไขบันทึกความทรงจำดังกล่าวใน ค.ศ. 2008[86] เนื้อหาในชีวประวัติของเขาสอดคล้องเป็นส่วนใหญ่กับข้อมูลจาก "เทียนอันเหมินเพเพอส์" เอกสารของรัฐบาลจีนที่รวบรวมโดยไม่ได้รับอนุญาตและเผยแพร่ใน ค.ศ. 2001 หนังสือเล่มนี้ยังสอดคล้องกับเนื้อหาจาก "Captive Conversations" ซึ่งเป็นบันทึกการสนทนาระหว่างจ้าวกับจง เฟิ่งหมิง เพื่อนของเขา ซึ่งตีพิมพ์เฉพาะภาษาจีนเท่านั้น[64]

นักโทษแห่งรัฐ มีข้อผิดพลาดทางประวัติศาสตร์เพียงเล็กน้อย ซึ่งผู้แสดงความเห็นระบุว่าอาจสะท้อนให้เห็นว่าผู้นำจีนไม่สัมผัสกับสังคมจีนอย่างไร แม้ชาวปักกิ่งจะพยายามปิดกั้นทางเข้าปักกิ่งของกองทหารจีน แต่คำกล่าวของจ้าวที่ว่า "มีกลุ่มหญิงชราและเด็ก ๆ นอนหลับอยู่บนท้องถนน" นั้นไม่ถูกต้อง จ้าวเชื่อว่าฟาง ลี่จือ นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ (ผู้ต่อต้านรัฐบาลจีนที่รัฐบาลจีนต้องการตัวมากที่สุดหลังการประท้วงที่เทียนอันเหมิน) อยู่ต่างประเทศใน ค.ศ. 1989 และวิพากษ์วิจารณ์เติ้ง เสี่ยวผิงต่อสาธารณะ ขณะที่ในความเป็นจริงฟางอาศัยอยู่ชานเมืองปักกิ่งและจงใจเก็บเงียบเรื่องการเมืองระหว่างการประท้วงใน ค.ศ. 1989[64]

ใน ค.ศ. 2009 บันทึกความทรงจำของเขาได้รับการจำหน่าย (ทั้งในภาษาจีนและภาษาอังกฤษ) ในฮ่องกง แต่ไม่จำหน่ายในจีนแผ่นดินใหญ่ แม้เอกสารไมโครซอฟท์เวิร์ดที่ประกอบด้วยข้อความภาษาจีนทั้งหมดของบันทึกความทรงจำจะเปิดให้บริการทางอินเทอร์เน็ตและดาวน์โหลดกันอย่างแพร่หลายทั่วจีนแผ่นดินใหญ่ก็ตาม[ต้องการอ้างอิง]

บันทึกเสียงเผยให้เห็นถึงสำเนียงเหอหนานที่เด่นชัดของจ้าว (สำเนียงจีนที่ราบภาคกลาง) ทำให้ภาษาจีนกลางของเขาฟังไม่ชัดเจนในบางช่วงเวลา[87]

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. 中国大百科全书 (ภาษาChinese (China)). 1989. p. 1274. ISBN 7-5000-0247-5.
  2. Economic Reform in China by James A. Dorn, Xi Wang, Wang Xi
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 Chatwin, Jonathan (2024). The Southern Tour: Deng Xiaoping and the Fight for China's Future. Bloomsbury Academic. ISBN 9781350435711.
  4. 武汉市第十四中学校友赵紫阳 (ภาษาChinese (China)). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 พฤษภาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2012.
  5. 趙蔚 (1989). 第一章 故鄉、家世和童年. 趙紫陽傳 (ภาษาจีน). 中國新聞出版社. pp. 4–12.
  6. 滑县(Hua Xian). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 มกราคม 2009. สืบค้นเมื่อ 26 มกราคม 2009.
  7. 7.00 7.01 7.02 7.03 7.04 7.05 7.06 7.07 7.08 7.09 7.10 7.11 7.12 7.13 7.14 7.15 7.16 7.17 7.18 Becker, Jasper (9 ตุลาคม 2011). "Zhao Ziyang Obituary". The Independent (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 พฤษภาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 29 มิถุนายน 2021.
  8. 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 8.10 NewropMag. "China: Zhao Ziyang has died!" เก็บถาวร 13 พฤศจิกายน 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Newrop Mag. 25 January 2005. Retrieved 10 September 2011.
  9. "Zhao timeline". CBC News. 10 มีนาคม 2005. สืบค้นเมื่อ 13 กรกฎาคม 2021.
  10. 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 "Zhao Ziyang". The New York Times. 25 January 2005. Retrieved 15 September 2011.
  11. Zuo, Mandy (26 ธันวาคม 2013). "Liang Boqi, wife of China's purged ex-leader Zhao Ziyang, dies at 95". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 9 กรกฎาคม 2021.
  12. Salisbury, Harrison E. (14 พฤศจิกายน 1987). "Opinion | Zhao Ziyang, on Mao and China's Future". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2021.
  13. 13.0 13.1 13.2 Hammond, Ken (2023). China's Revolution and the Quest for a Socialist Future. New York, NY: 1804 Books. ISBN 9781736850084.
  14. 14.00 14.01 14.02 14.03 14.04 14.05 14.06 14.07 14.08 14.09 14.10 Zhao, Ziyang (2009). Prisoner of the state : the secret journal of Zhao Ziyang. Bao Pu, Renee Chiang, Adi Ignatius, Roderick MacFarquhar. New York: Simon & Schuster. ISBN 978-1-4391-4938-6. OCLC 301887109 – โดยทาง Internet Archive.
  15. Editor. China Directory, 1979 Edition. Radiopress, Inc (Tokyo), September 1978. p. 479
  16. Bramall, Chris (1995). "Origins of the Agricultural "Miracle": Some Evidence from Sichuan". The China Quarterly (143): 753. ISSN 0305-7410. JSTOR 654997.
  17. 17.0 17.1 17.2 17.3 17.4 17.5 "Obituary: Zhao Ziyang". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 17 มกราคม 2005. สืบค้นเมื่อ 29 มิถุนายน 2021.
  18. Tabeta, Shunshuke (10 มีนาคม 2019). "Cradle of China's farm reforms shines without spotlight". Nikkei Asia (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 17 กรกฎาคม 2021.
  19. Gewirtz 2022, p. 26.
  20. Gewirtz, Julian (2019). "The Futurists of Beijing: Alvin Toffler, Zhao Ziyang, and China's "New Technological Revolution," 1979–1991". The Journal of Asian Studies. 78 (1): 115–140. doi:10.1017/S0021911818002619.
  21. McCarty, L. Y. (2010). "'Big in Japan': Orientalism in 1980s British Pop Music". The Mid-Atlantic Almanack. 19. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 มกราคม 2015. สืบค้นเมื่อ 16 มกราคม 2025.
  22. Neville, Sam (28 เมษายน 1985). "ROCK: East meets Wham!, and another great wall comes down". Chicago Tribune – โดยทาง ProQuest.
  23. Fulford, Robert. "There's no Right to Know in China". The National Post. 22 January 2005. Retrieved 20 September 2011.
  24. Santolan, Joseph. "Social inequality and the Yangtze River drought". World Socialist Web Site. 18 May 2011. Retrieved 20 September 2011.
  25. Washburn, Dan (8 กันยายน 2014). "Golf Is Both Banned and Booming in China". HuffPost (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 9 กรกฎาคม 2021.
  26. Worden, Robert L.; Savada, Andrea Matles; Dolan, Ronald E., บ.ก. (1988). China: a country study. Area handbook series (4th ed.). Washington, D.C.: Federal Research Division, Library of Congress.
  27. 27.0 27.1 27.2 Yardley, Jim. "Zhao Ziyang, Chinese Leader Purged for Supporting Tiananmen Protesters, Dies at 85". The New York Times. 17 January 2005. Retrieved 16 September 2005. p.2.
  28. Forney, Matthew, and Jakes, Susan. "The Prisoner of Conscience: Zhao Ziyang, 1919–2005". TIME World. 16 January 2005. Retrieved 15 September 2011.
  29. Tsang, Steve; Cheung, Olivia (2024). The Political Thought of Xi Jinping. Oxford University Press. ISBN 9780197689363.
  30. 30.0 30.1 Park, Kyung Ae (กรกฎาคม 1992). "Women and Revolution in China: The Sources of Constraints on Women's Emancipation" (PDF). Michigan State University (230): 20.
  31. Judd, Ellen R. (2002). The Chinese Women's Movement Between State and Market. Stanford University Press. p. 175. ISBN 0-8047-4406-8 – โดยทาง Google Books.
  32. "Untitled Document" 赵紫阳之后的中国". Open Magazine (ภาษาจีนตัวย่อ). สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2012.
  33. 股份制改革是市场行为吗?. Financial Times (ภาษาจีนตัวย่อ). 4 กรกฎาคม 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 กันยายน 2011. สืบค้นเมื่อ 9 พฤศจิกายน 2012.
  34. 34.0 34.1 34.2 34.3 Weber 2021, p. 220.
  35. Weber 2021, p. 225.
  36. Pak, Jennifer (5 มิถุนายน 2019). "Economics helped spur Tiananmen Square protests". Marketplace (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 29 มิถุนายน 2021.
  37. Wang Hui. China's New Order: Society, Politics, and Economy in Transition. Ed. Huters, Theodore. Cambridge, MA: Harvard Press, 2003. ISBN 0-674-02111-8. pp.56–57.
  38. 38.0 38.1 38.2 Pomfret, John. "In Posthumous Memoir, China's Zhao Ziyang Details Tiananmen Debate, Faults Party". Washington Post. 15 May 2009. p.2.
  39. 39.0 39.1 39.2 39.3 39.4 Pan 2008, p. 4–5.
  40. 40.0 40.1 "Son of purged reformer Zhao Ziyang tells of China's 'shame', 25 years after Tiananmen". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 19 พฤษภาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2021.
  41. Kristof, Nicholas D.; Times, Special To the New York (19 พฤษภาคม 1989). "CHINESE PREMIER ISSUES A WARNING TO THE PROTESTERS". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 29 มิถุนายน 2021.
  42. Chua, Dan-Chyi (กุมภาพันธ์ 2009). "Zhao Ziyang's Tiananmen Square speech". Asia! Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 กรกฎาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2009.; also available in the original Chinese at "Cheng Ming Magazine articles". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 พฤษภาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2009. (broken link)
  43. "他是一名中国的改革先锋,但政权却要忘记他". BBC News 中文 (ภาษาจีนตัวย่อ). สืบค้นเมื่อ 29 มิถุนายน 2021.
  44. "Top 10 Quotes of 1989". TIME (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 18 มิถุนายน 2009. ISSN 0040-781X. สืบค้นเมื่อ 29 มิถุนายน 2021.
  45. "Zhao Ziyang". Radio Free Asia. สืบค้นเมื่อ 29 มิถุนายน 2021.
  46. Wu, Guoguang (29 เมษายน 2002). "The Sacrifice That Made a Leader". TIME Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 มิถุนายน 2009. สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2021.
  47. Gewirtz 2022, p. 233.
  48. Gewirtz 2022, p. 247.
  49. Buckley, Chris (31 พฤษภาคม 2019). "New Documents Show Power Games Behind China's Tiananmen Crackdown". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2021.
  50. 50.0 50.1 50.2 Johnson, Ian (27 มิถุนายน 2019). "China's 'Black Week-end' | by Ian Johnson | The New York Review of Books". The New York Review (ภาษาอังกฤษ). ISSN 0028-7504. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 มิถุนายน 2019. สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2021.
  51. 51.0 51.1 Nathan, Andrew J. (30 พฤษภาคม 2019). "The New Tiananmen Papers". Foreign Affairs (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0015-7120. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 มิถุนายน 2019. สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2021.
  52. Gewirtz 2022, p. 248.
  53. Gewirtz 2022, p. 253.
  54. Ap (25 มิถุนายน 1989). "Excerpt From Statement on Zhao's Dismissal". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  55. 55.0 55.1 55.2 "Selections From an Interview With Du Daozheng". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 16 ตุลาคม 2009. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2021.
  56. Gewirtz 2022, p. 262.
  57. Li Peng. The Critical Moment – Li Peng Diaries [Paperback]. Au Ya Publishing. 2010. ISBN 1-921815-00-0, ISBN 978-1-921815-00-3. p.3
  58. Gao, Feng. "Removal Crews at Home of Late Chinese Premier Ahead of CCP Centenary". Radio Free Asia (ภาษาอังกฤษ). Translated and edited by Luisetta Mudie. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  59. Weerasekara, Poornima (28 เมษายน 2017). "Living History: Beijing Back Alley Memories Revived by Folklore Scholar – Caixin Global". Caixin Global (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  60. Garnaut, John (29 พฤษภาคม 2009). "Twenty years on – legacy of a massacre". The Age (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 29 มิถุนายน 2021.
  61. Nathan, Andrew (1 กรกฎาคม 2008). "Zhao Ziyang's vision of Chinese Democracy". China Perspectives (ภาษาอังกฤษ). 2008 (2008/3): 136–142. doi:10.4000/chinaperspectives.4223. ISSN 2070-3449.
  62. 62.0 62.1 Watts, Jonathan (22 มกราคม 2005). "In mourning for leader the party wants to forget". The Guardian (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  63. 63.0 63.1 Shambaugh, David (1991). "China in 1990: The Year of Damage Control". Asian Survey. 31 (1): 36–49. doi:10.2307/2645183. ISSN 0004-4687. JSTOR 2645183 – โดยทาง JSTOR.
  64. 65.0 65.1 65.2 赵紫阳同志遗体在京火化 贾庆林等为遗体送别 (ภาษาจีน). Xinhua News Agency. 29 มกราคม 2005. สืบค้นเมื่อ 21 มีนาคม 2017 – โดยทาง Sina News.
  65. 66.0 66.1 Yardley, Jim (22 มกราคม 2005). "For Beijing Students Now, Protests Aren't Even a Memory". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2021.
  66. 67.0 67.1 67.2 "Chinese media muted on Zhao death". BBC News. 18 มกราคม 2005. สืบค้นเมื่อ 13 กรกฎาคม 2021.
  67. Chinese Bloggers, Podcasters and Webcasters, EastSouthWestNorth, 18 September 2005
  68. 69.0 69.1 69.2 "Online tributes to Zhao Ziyang". BBC News. 17 มกราคม 2005. สืบค้นเมื่อ 13 กรกฎาคม 2021.
  69. "Hong Kong holds vigil for Zhao Ziyang". NBC News (ภาษาอังกฤษ). 21 มกราคม 2005. สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2021.
  70. "New York Memorial Service for Zhao Ziyang | Human Rights in China 中国人权 | HRIC". www.hrichina.org. 19 มกราคม 2005. สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2021.
  71. 72.0 72.1 Chen, David W. (23 มกราคม 2005). "From Half a World Away, Honoring a Chinese Leader". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2021.
  72. Wu Nan. "Babaoshan Struggles to Meet Demand as Cadres' Final Resting Place". South China Morning Post. 23 September 2013.
  73. Gerard, Bonnie. "Damnatio Memoriae in China: Zhao Ziyang Is Laid to Rest". thediplomat.com. The Diplomat. สืบค้นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2019.
  74. Mai, Jun (18 ตุลาคม 2019). "Low-key ceremony as purged reformer Zhao Ziyang is finally laid to rest". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2021.
  75. Long, Qiao (17 มกราคม 2020). "Family Reports Tight Security, Digital Surveillance at Grave of Ousted Premier". Radio Free Asia (ภาษาอังกฤษ). Translated by Luisetta Mudie. สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2021.
  76. Kahn, Joseph. "China Gives Zhao's Death Scant Notice". The New York Times. 18 January 2005. Retrieved 18 January 2005.
  77. Reuters and The Chicago Tribune. "Mourners pay respects to ousted Chinese leader" เก็บถาวร 7 มกราคม 2009 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. The Seattle Times. 19 January 2005. Retrieved 20 September 2011.
  78. Pan, Philip P. "Chapter One: The Public Funeral" เก็บถาวร 15 กรกฎาคม 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Out of Mao's Shadow: The Struggle for the Soul of a New China. 2008. Retrieved 20 September 2011.
  79. Long, Kathy (17 มกราคม 2019). "A reformer China's ruling party wants to forget". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 18 มกราคม 2019.
  80. Bandurski, David (1 มีนาคม 2012). ""Zhao Ziyang" unblocked on Baidu". China Media Project (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2021.
  81. Reuters. "China Magazine Praises Ousted Zhao in Test of Taboo". China Digital Times. 2010. Retrieved 15 September 2011.
  82. Fenby, Jonathan (2009). The Penguin History of Modern China: The Fall and Rise of a Great Power, 1850 -2009. Penguin Books. ISBN 978-0-7139-9832-0.
  83. The Tiananmen Diaries, Perry Link, Washington Post, 17 May 2009.
  84. Deposed Chinese leader's memoir out before 4 June เก็บถาวร 19 พฤษภาคม 2009 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Associated Press, 14 May 2009
  85. Koch, Katie. "Zhao Ziyang's Secret Memoirs | BU Today". Boston University (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 10 กรกฎาคม 2021.
  86. Ching, Frank (9 สิงหาคม 2010). "Another tongue that's not so common after all". SCMP. Hong Kong.
Prefix: a b c d e f g h i j k l m n o p q r s t u v w x y z 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9

Portal di Ensiklopedia Dunia

Kembali kehalaman sebelumnya