เจ้าจอมแส ในรัชกาลที่ 5
เจ้าจอมแส ในรัชกาลที่ 5 (สกุลเดิม บุนนาค; 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2435 – 7 ตุลาคม พ.ศ. 2521) เป็นบาทบริจาริกาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาของเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศ บุนนาค) เช่นเดียวกับเจ้าจอมก๊กออ แต่ต่างมารดากัน เพราะเจ้าจอมแสมีมารดาชื่อหม่อมทรัพย์ เป็นหญิงลาวโซ่ง ด้วยเหตุนี้เจ้าจอมแสจึงมีสมญาว่า เจ้าจอมโซ่ง ตามชาติพันธุ์ของมารดา[1] ประวัติเจ้าจอมแส เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2435 ณ จังหวัดเพชรบุรี เป็นธิดาของเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศ บุนนาค) สมุหเทศาภิบาลมณฑลราชบุรี กับอนุภรรยาชื่อหม่อมทรัพย์ เป็นชาวลาวโซ่ง บ้านท่าโล้ อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี[1] บรรพชนลาวโซ่งนี้ถูกกวาดต้อนจากเมืองแถงและเมืองลอ (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเวียดนาม) มาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจนถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งโปรดเกล้าให้ชาวโซ่งตั้งหลักแหล่งที่เมืองเพชรบุรี[2] มีเรื่องราวมุขปาฐะว่าเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าเมืองเพชรบุรี เกิดจิตพิศวาสอยากได้หม่อมทรัพย์ ลูกสาวกำนันลาวโซ่งบ้านท่าโล้ไปทำเมีย จึงเอ่ยปากขอกำนันลาวโซ่งเสียดื้อ ๆ กำนันจึงบ่ายเบี่ยงและต่อรองว่าให้เอาวัวคู่งามไปแทน แต่อย่าเอาลูกสาวไปเลย เมื่อการร้องขอไม่สำเร็จ เจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์จึงส่งคนในสังกัดจับลูกสาวกำนันขึ้นเกวียน นำตัวเข้ามายังจวนของตน ครอบครัวกำนันลาวโซ่งท่าโล้จึงได้แต่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่หลายวันหลายคืน[2] เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เจ้าจอมแสเข้าไปอยู่ที่สวนพุดตานกับเจ้าจอมเอิบ พี่สาวต่างมารดา ซึ่งรับราชการเป็นบาทบริจาริกาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อนหน้า ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จผ่านสวนพุดตานและแอบทอดพระเนตรเจ้าจอมแสกำลังอาบน้ำสระผมในคลอง เมื่อเสด็จเข้าในตำหนักจึงทรงขอเจ้าจอมแสจากเจ้าจอมเอิบ ในขณะนั้นเจ้าจอมแสมีอายุได้ 16 ปี[1] และมิได้ประสูติการพระราชบุตรเลย[3] อย่างไรก็ตามท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าจอมผู้ติดตามใกล้ชิด ในตำแหน่งนางพระกำนัล[4] หลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 เจ้าจอมแสจึงได้ย้ายออกมาพำนักอยู่นอกพระราชวังดุสิต มีบ้านพักผ่อนที่ย่านสนามเป้า หลังจากนั้นจึงซื้อที่ปลูกบ้านที่ซอยนรอุทิศ ย่านราชวัตรเมื่อ พ.ศ. 2475 โดยอยู่กับอินทิรา บุนนาค ซึ่งเป็นหลานชาย และเลี้ยงดูลูกหลานของอินทิราตลอดมา[3] เจ้าจอมแสถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2521 เมื่ออายุ 86 ปี ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร อัฐิของท่านถูกบรรจุในเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ในสุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ติดกับเจดีย์ของเจ้าจอมเอิบ และมีสถูปบรรจุอัฐิที่วัดสวัสดิ์วารีสีมาราม ที่ลูกหลานของท่านสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ใกล้บ้านที่ท่านอยู่จนวาระสุดท้ายของชีวิต[5] ชีวิตส่วนตัวเจ้าจอมแสเป็นผู้ที่มีกิริยามารยาทเรียบร้อย พูดจาไพเราะ ไม่เคยโกรธขึ้งหรือเกรี้ยวกราดผู้ใดเลย[5] รักการทำบุญ ใส่บาตรทุกวันพระ และทุกวันที่ใส่บาตรจะห่มสไบหรือผ้าห่มทับเสื้อตัวนอกอีกที[3] ในเรือนของเจ้าจอมแสจะมีห้องที่ถวายแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านจะทำความสะอาดห้องนี้ด้วยตนเอง และในบางคราเจ้าจอมแสตั้งเครื่องเสวยถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[6] ท่านชอบสีไวโอลินและตีขิม ชอบเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะสุนัขและนกพิราบ ปลูกต้นมะลิมาร้อยเป็นพวงมาลัยถวายพระและถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทุกวัน[7] เครื่องราชอิสริยาภรณ์
พงศาวลี
อ้างอิง
|