พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทักษิณชา นราธิราชบุตรี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทักษิณชา นราธิราชบุตรี (18 กันยายน พ.ศ. 2395 - 13 กันยายน พ.ศ. 2449) เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจันทร์ ในรัชกาลที่ 4 และเป็นพระภรรยาเจ้าชั้นลูกหลวงพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ประสูติกาลพระราชบุตร แต่เมื่อมีพระประสูติกาล พระราชบุตรพระองค์นั้นก็ได้สิ้นพระชนม์ไปอย่างกะทันหันภายในเวลาอันสั้น พระองค์เจ้าทักษิณชาทรงเสียพระทัยยิ่งนักจนสูญเสียพระจริตในเวลาต่อมา และมิสามารถสนองพระเดชพระคุณรับราชการฝ่ายในได้ต่อไป ทรงอยู่ในสภาพผู้ป่วยตลอดชีพตราบจนสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2449 ที่ตำหนักของกรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ[1] พระประวัติพระชนม์ชีพช่วงต้นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทักษิณชา นราธิราชบุตรี ประสูติเมื่อวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด จัตวาศก จ.ศ. 1214 ตรงกับวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2395 เป็นพระราชธิดาลำดับที่หกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจันทร์ ในรัชกาลที่ 4 (สกุลเดิม สุขสถิตย์) ธิดาของพระยาพิพิธสุนทรการ (สุข สุขสถิตย์) เจ้าเมืองตราด พระองค์มีพระขนิษฐาและพระอนุชาร่วมเจ้าจอมมารดา คือ พระองค์เจ้ามัณยาภาธร, พระองค์เจ้าศุขสวัสดี และพระองค์เจ้าเกษมศรีศุภโยค[2] พระองค์เจ้าทักษิณชาเป็นพระราชธิดาที่ประสูติหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติในปีแรก จึงทรงเป็นหนึ่งในกลุ่มราชธิดาที่พระราชบิดาทรงมีพระเมตตาสนิทเสน่หาเป็นพิเศษ ทั้งยังทรงอบรมเลี้ยงดูด้วยพระองค์เอง มักตามพระทัยและมิเข้มงวดดังรัชกาลก่อน ๆ[3] พระองค์จึงได้รับพระราชทานสร้อยพระนามว่า นราธิราชบุตรี ซึ่งมีพระราชธิดาเพียงสามพระองค์ใหญ่เท่านั้นที่ได้รับพระราชทานสร้อยพระนาม โดยอีกสองพระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ อรรคราชสุดาในเจ้าจอมมารดาแพ และพระองค์เจ้าโสมาวดี ศรีรัตนราชธิดา ในเจ้าจอมมารดาเที่ยง [4] นอกจากนี้พระนามของทั้งสามพระองค์ยังสอดคล้องกันโดยเรียงตามพระชนมายุ ได้แก่ พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์, พระองค์เจ้าทักษิณชา และพระองค์เจ้าโสมาวดี[5] ทั้งนี้พระองค์เจ้าทักษิณชาเป็นพระราชธิดาที่พระราชบิดาทรงโปรดปรานและยกย่องมากเป็นพิเศษพระองค์หนึ่ง ดังปรากฏในความตอนหนึ่งว่า[6]
ทรงประสบอุบัติเหตุเมื่อมีพระชันษาราว 5-7 ปี พระองค์ได้ประสบอุบัติเหตุขณะโดยเสด็จพระราชบิดา พร้อมกับพระพี่น้อง อีก 3 พระองค์คือ พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์, พระองค์เจ้าโสมาวดี และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ขณะประทับบนรถม้าพระที่นั่งเพื่อทอดพระเนตรความเรียบร้อยบริเวณใกล้พระบรมมหาราชวัง[7] แต่เมื่อรถม้าพระที่นั่งเข้ามาตามถนนด้านประตูวิเศษไชยศรีใกล้ทางเลี้ยวไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ม้าได้ตื่นเสียงแตรเสียงกลอง ทำให้รั้งไม่อยู่ สายบังเหียนขาดไปข้างหนึ่งรถพระที่นั่งจึงเสียการทรงตัวแล้วพลิกคว่ำลง[7] จากอุปัทวเหตุดังกล่าวพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระเจ้าลูกเธอทั้งสี่ได้รับบาดเจ็บทุกพระองค์ ดังปรากฏดังนี้[7]
และต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชหัตเลขาเล่าพระอาการประชวรของพระองค์เจ้าทักษิณชาให้เจ้าหมื่นสรรเพชรภักดี ความว่า[8]
โสกันต์ครั้นเมื่อทรงมีพระชันษาสมควรแก่การโสกันต์แล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระดำริเห็นว่า พระเจ้าลูกเธอพระองค์นี้ทรงมีพระนามและพระเกียรติยศปรากฏกว่าพระเจ้าลูกเธอพระองค์อื่น ๆ ด้วยรู้จักมักคุ้นเป็นที่นับถือกันในพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน เสนาบดีข้าราชการใหญ่น้อย ตลอดจนกงสุลนานาประเทศก็นับถือมาเฝ้าแหนไต่ถามอยู่เนือง ๆ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีโสกันต์เป็นพิธีใหญ่ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในปี พ.ศ. 2405[9] เมื่อโสกันต์แล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเบี้ยหวัดให้ปีละ 10 ชั่ง เงินเดือนเดือนละ 3 ตำลึง[9] เข้ารับราชการฝ่ายใน การประชวร และสิ้นพระชนม์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทรงรับพระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าทักษิณชา นราธิราชบุตรี เป็นพระภรรยาเจ้าชั้นลูกหลวงพระองค์แรกในรัชกาล ด้วยทรงสนิทสนมมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์และเป็นมเหสีที่พระราชสวามีทรงโปรดปรานเป็นพิเศษ ทั้งยังสร้างความโสมนัสเมื่อทรงพระครรภ์ เพราะพระราชบุตรที่จะประสูติในภายหน้าจะเป็นเจ้าฟ้าพระองค์แรกในรัชกาล จนเมื่อประสูติพระราชบุตรเป็นพระราชโอรส เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก ตรงกับวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2415[10] แต่หลังจากนั้นเพียงแปดชั่วโมง ความโสมนัสกลับเป็นทุกข์โทมนัสอันใหญ่หลวงที่เจ้าฟ้าพระราชกุมารสิ้นพระชนม์ลง พระองค์เจ้าทักษิณชามิอาจปลงพระทัยเชื่อว่าพระราชกุมารที่ดูแข็งแรงเมื่อแรกประสูติจะสิ้นพระชนม์ในเวลาอันสั้น[11] เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสะเทือนพระทัยแก่พระองค์เจ้าทักษิณชาอย่างมาก พระองค์ประชวรและไม่รับรู้สรรพสิ่งรอบข้างด้วยมีพระสัญญาที่ฝังแน่นแต่เรื่องราวของพระราชโอรสและทรงอยู่ในโลกส่วนพระองค์ มิสามารถสนองพระเดชพระคุณรับราชการฝ่ายในได้อีกต่อไป[9] พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระยาเวียงในนฤบาลสร้างพระตำหนักพิเศษให้พระองค์เจ้าทักษิณชาพักผ่อนแต่พระอาการก็ไม่ดีขึ้น[12] ภายหลังจึงเสด็จไปประทับร่วมกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงอดิศรอุดมเดช พระอนุชาร่วมเจ้าจอมมารดา ณ วังท้ายวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม[12] และย้ายไปประทับร่วมกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ พระอนุชาร่วมเจ้าจอมมารดาอีกพระองค์หนึ่ง ณ วังตำบลสามเสน พระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าทักษิณชา ประชวรสิ้นพระชนม์ที่พระตำหนักวังพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2449 เวลา 3 ยามเศษ สิริพระชันษาได้ 53 ปี 360 วัน เวลาบ่ายวันต่อมาพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นอดิศรอุดมเดช เสด็จแทนพระองค์มาพระราชทานน้ำสรงพระศพ เจ้าพนักงานแต่งพระศพแล้วอัญเชิญลงพระลองใน ตั้งบนแว่นฟ้า 2 ชั้น ประกอบโกศมณฑป แวดล้อมด้วยเครื่องสูง พระเจ้าน้องยาเธอที่เสด็จมาร่วมพิธีร่วมกันทอดผ้าไตร พระสงฆ์มีพระธรรมเจดีย์ (แก้ว) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เป็นประธาน สวดสดับปกรณ์แล้วถวายอนุโมทนา และโปรดให้พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมมีกำหนด 1 เดือน[13] การนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเพลิงพระศพพระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าทักษิณชา นราธิราชบุตรี ณ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2450[12] พระกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชธิดาได้ทรงศึกษาเล่าเรียนวิชาการสมัยใหม่และภาษาอังกฤษ ทรงเปิดโอกาสให้พระราชบุตรทั้งหลายคบหาสมาคมกับชาวต่างประเทศทั้งหญิงชาย[14] โดยเฉพาะเหล่าราชธิดารุ่นใหญ่ คือ พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์, พระองค์เจ้าทักษิณชา และพระองค์เจ้าโสมาวดี มักทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โดยเสด็จพระราชดำเนินออกสมาคมเช่นการต้อนรับแขกเมือง ดังที่เซอร์แฮรี ออด ผู้สำเร็จราชการมลายูของอังกฤษประจำเมืองสิงคโปร์ซึ่งมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อ พ.ศ. 2411 โดยเขาได้บันทึกเกี่ยวกับการออกสมาคมของราชธิดารุ่นใหญ่ ดังนี้[14]
พระอิสริยยศ
พงศาวลี
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|