เมืองยาง
เมืองยาง (พม่า: မိုင်းယန်းမြို့; ไทใหญ่: မိူင်းယၢင်း၊ ဝဵင်း; อังกฤษ: Mong Yang town) เป็นเมืองแห่งหนึ่งในดินแดนของชาวไทขืน ตามประวัติศาสตร์แล้วส่วนใหญ่จะอยู่ในฐานะเมืองบริวารขึ้นกับเมืองเชียงตุง โดยตั้งอยู่ในพื้นที่ชายขอบที่ติดต่อกับดินแดนสิบสองปันนา ด้วยเหตุนี้จึงมีการรับเอาประชากรและอิทธิพลในด้านต่างๆ จากชาวไทลื้อ ชาวฮ่อ รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงต่างๆ เข้ามาผสมผสานปะปนด้วย ปัจจุบันเมืองยางมีฐานะเป็นเมือง (မြို့/Town, เทียบเท่ากับเทศบาลเมือง) ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองยาง จังหวัดเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพม่า เป็นศูนย์กลางการปกครองของอำเภอเมืองยาง แต่ในทางปฏิบัติแล้วจะไม่รวมถึงพื้นที่ที่ถูกจัดตั้งเป็นเขตปกครองพิเศษ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของกองกำลังชนกลุ่มน้อย ตามข้อตกลงกับรัฐบาลพม่า ชื่อคำว่า “ยาง” ในชื่อเมือง มีความหมายว่า เป็นจุดหมายสุดท้ายที่เมื่อเดินทางไปถึงแล้วจะไม่เดินทางกลับ “เมืองยาง” จึงมีความหมายว่า เป็นเมืองปลายทาง หรือเมืองสำหรับการลี้ภัย[2] สมญาเมืองเมืองยาง มีสมญาว่า "เมืองแห่ง 32 แคว้น, 32 กำ, 6 เวียง, 13 หนอง, 3 จอม, 4 อ่าง, 8 ป่า, 12 ยาง, 8 ม่อน, 4 กอง"[3] โดยมีที่มาจากชื่อสถานที่ที่ตั้งอยู่ภายในเขตปกครองของเมืองยางในอดีต หกเวียงประกอบด้วย
สิบสามหนองประกอบด้วย
แปดป่าประกอบด้วย
สิบสองยางประกอบด้วย
แปดม่อนประกอบด้วย
สี่กองประกอบด้วย
สามจอมประกอบด้วย
สี่อ่างประกอบด้วย
ประวัติประวัติศาสตร์ในช่วงแรกจากหนังสือประวัติเมืองยาง โดยอาจารย์ขนานใส่ยอน บ้านหัวกาด ได้กล่าว่า เมืองยางถูกก่อตั้งโดยอ้ายรุ่งเมื่อ พ.ศ. 1442 อย่างไรก็ตาม ในบันทึกของจีนเกี่ยวกับอาณาจักรน่านเจ้าได้กล่าวว่า ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นอาณาจักรน่านเจ้าได้ขยายดินแดนมาถึงพม่า รวมถึงดินแดนทางตอนเหนือของประเทศไทย ลาว และเวียดนาม ในปัจจุบัน โดยที่ไม่ได้กล่าวถึงชื่อเมืองยางไว้แต่อย่างใด[4] จึงเป็นไปได้ว่าในช่วงเวลานี้เมืองยางอาจยังไม่ได้ถูกจัดตั้ง หรือยังเป็นเพียงชุมชนขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังมีตำนานอีกฉบับหนึ่งกล่าวถึงการสร้างเมืองยางของพี่น้องชาวไตหกคนจากเมืองข่า (မိုင်းကာမှ) ปีศักราชที่กล่าวไว้นั้นเก่าแก่กว่าเอกสารฉบับอื่น คือ พ.ศ. 1176 แต่เรื่องราวได้กล่าวว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่มีการสถาปนาเมืองเชียงตุงแล้ว และเจ้าเมืองยางเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยเจ้าเมืองเชียงตุง นอกจากนี้ยังมีเนื้อหาเพิ่มเติมว่าเมืองยางแต่เดิมนั้นตั้งอยู่บริเวณที่ตั้งของเมืองหลวยในปัจจุบัน[2] ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองยางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 10 กิโลเมตร เรื่องราวของเมืองยางที่ปรากฏในพงศาวดารเมืองเชียงตุงครั้งแรกนั้น กล่าวว่า เมื่อ พ.ศ. 2062 เมืองยางได้เข้าร่วมกับเมืองแลมและเมืองหลวยให้การสนับสนุนเจ้าสายคอ (พระญาศรีวิชัยราชา) ในการชิงเมืองเชียงตุงจากเจ้าหน่อแก้ว (พระญาจอมศักดิ์) โดยมีการระบุถึงตัวเจ้าเมืองแลมว่า คือเจ้าฟ้าราบ แต่ไม่ได้ระบุตัวผู้ที่เป็นเจ้าเมืองยาง เมืองยางในขณะนั้นจึงต้องได้รับการจัดตั้งขึ้นแล้ว โดยน่าจะอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของเมืองเชียงตุง เป็นเมืองที่มีความสำคัญน้อยกว่าเมืองแลม ซึ่งเป็นเมืองที่มีเชื้อพระวงศ์ปกครอง[5] ถูกระชับอำนาจจากเมืองเชียงตุงพ.ศ. 2066 พระญาแก้วยอดเชียงราย กษัตริย์เมืองเชียงใหม่ ได้ยกทัพมาช่วยเจ้าสามเชียงคงชิงเมืองเชียงตุงจากเจ้าใส่พรหม เจ้าใส่พรหมสู้ไม่ได้ จึงตัดสินพระทัยหนีภัยไปประทับอยู่ที่ “เมืองหลวย-ยาง” แล้วรวบรวมไพร่พลกลับมาชิงเมืองเชียงตุงคืนจากเจ้าสามเชียงคงได้สำเร็จ แต่ก็ทรงครองเมืองเชียงตุงอยู่ได้ไม่ถึงปี จากนั้นในปีถัดมา เมืองหลวยและเมืองยางก็พากันแข็งข้อต่อเจ้าฟ้าเชียงตุงพระองค์ในขณะนั้น คือท้าวคำฟู (พระญาแก้วยอดฟ้านรินทา) แต่ไม่สำเร็จ โดยการกล่าวถึงเหตุการณ์นี้ไม่ได้มีการบันทึกถึงชื่อของผู้นำการกบฏไว้ ในช่วงเวลานี้เมืองยางและเมืองหลวยจึงน่าจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก ในระดับทำให้การดำเนินนโยบายต่าง ๆ เป็นไปในทางเดียวกัน สภาพบ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์จนใช้เป็นแหล่งสะสมไพร่พลและทรัพยากรเพื่อทำศึกสงครามได้ แต่ก็ยังไม่ใช่เมืองที่มีความสำคัญถึงขั้นที่จะแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์สำคัญมาปกครอง[6] พ.ศ. 2102 ท้าวคำฟู (พระญาแก้วยอดฟ้านรินทา) เจ้าเมืองเชียงตุงในขณะนั้น ได้ส่งสมณทูตไปเข้าเฝ้าพระเจ้าบุเรงนองที่กรุงหงสาวดี เพื่อขอสวามิภักดิ์กับทางพม่า ซึ่งเมืองยางก็น่าจะตกเข้าไปอยู่ภายใต้อำนาจของทางพม่าพร้อมกับเมืองเชียงตุงในคราวนี้[7] พ.ศ. 2108 เมืองแลมได้ยกทัพมาตีเมือง “หลวย-ยาง” ชาวเมืองต้องพากันหลบหนี จากนั้นทัพเมืองแลมก็ไปตีได้เมืองแผน ก่อนที่จะยกทัพกลับบ้านเมืองตน อีกสองปีถัดมาล้านช้างได้ยกทัพมาชิงตัวนางแก้วรูปทิพย์ที่เมืองเชียงตุง เจ้าแก้วบุญนำ (พระญารัตนภูมินรินทาเขมาธิบติราชา) เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงในขณะนั้น จำต้องหนีออกจากเมือง และรอจนทัพล้านช้างยกกลับไปแล้ว จึงเสด็จกลับเข้าเมืองได้[8] พ.ศ. 2111 เมืองแงนแข็งข้อต่อเมืองเชียงตุง แล้วไปชักชวนเมืองแลมให้มาตีเมืองยาง โดยเจ้าเมืองยางในขณะนั้นคือบิดาของพระมเหสีของเจ้าแก้วบุญนำ (พระญารัตนภูมินรินทาเขมาธิบติราชา)[9] ในช่วงเวลานี้ดินแดนแถบเมืองเชียงตุงและเมืองยางจึงน่าจะไม่มีความมั่นคง ตกอยู่ในการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างบ้านเมืองรายรอบที่เข้มแข็งกว่า การเมืองภายในก็ยังมีความวุ่นวายจากผู้ที่เสียผลประโยชน์อันเนื่องจากการที่เมืองเชียงตุงได้เข้าไปสวามิภักดิ์กับพม่า ด้านความสัมพันธ์ระหว่างเมืองยางและเชียงตุงนั้น ภายหลังจากที่ท้าวคำฟู (พระญาแก้วยอดฟ้านรินทา) ได้ปราบกบฏเมืองหลวย-เมืองยางในปี พ.ศ. 2067 แล้ว เมืองเชียงตุงก็เข้าควบคุมเมืองยางไว้แน่นหนาขึ้น มีการแต่งตั้งให้ผู้ที่มีความใกล้ชิดและไว้เนื้อเชื้อใจได้ไปปกครอง นอกจากนี้ การกล่าวถึงเมืองยางก็ไม่ได้กล่าวคู่กับชื่อเมืองหลวยโดยตลอดเหมือที่เคยปรากฏมาก่อนหน้านั้น ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า ในช่วงเวลานี้พื้นที่บริเวณเมืองยางและเมืองหลวยกำลังถูกคุกคามจากศัตรู จึงมีการวางแผนรับมือโดยเลือกใช้เมืองยางเป็นที่มั่นตั้งรับการรุกรานของศัตรูเพียงจุดเดียว จึงมีการอพยพผู้คนจากเมืองหลวยให้ย้ายมาสมทบกันอยู่ที่เมืองยาง เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของเมืองยางให้มีเพิ่มมากขึ้น เป็นเมืองสำคัญของเชียงตุง ในรัชสมัยของเจ้าแก้วบุญนำ และต้นรัชสมัยของเจ้าคำท้าวพ.ศ. 2125 มีบันทึกว่าผู้ครองเมืองยางคือเจ้าคำท้าว พระโอรสของเจ้าแก้วบุญนำ (พระญารัตนภูมินรินทาเขมาธิบติราชา) เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุง โดยพระองค์ทรงนำไพร่พลร่วมกับเมืองอื่น ๆ ยกไปปราบปรามเจ้าคำแรบเมืองแสนหวี ตามพระบรมราชโองการของกษัตริย์พม่า ในช่วงที่เจ้าคำท้าวปกครองเมืองยางนี้ พระองค์ได้รับมอบหมายจากพระบิดาให้นำทัพไปรบกับหัวเมืองสิบสองปันนาเมื่อ พ.ศ. 2129 เป็นผู้นำนางแก้วคำ (นางอิ่นแก้ว) พระขนิษฐา ไปถวายแก่กษัตริย์พม่าเมื่อ พ.ศ. 2131 และเป็นผู้นำไพร่พลไปปราบเมืองงิมเมื่อ พ.ศ. 2135 สะท้อนว่า ทรงเป็นผู้ที่มีความสามารถและได้รับความไว้วางพระทัยจากเจ้าแก้วบุญนำเป็นอย่างมาก การแต่งตั้งให้เจ้าคำท้าวครองเมืองยาง ย่อมแสดงให้เห็นว่าเมืองยางเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากในช่วงเวลานี้[9] เมื่อเจ้าแก้วบุญนำสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. 2139 เจ้าคำท้าวได้ขึ้นครองเมืองเชียงตุงแทนพระบิดา ทรงพระนามว่า “พระญาสุธรรมราชา” แล้วทรงตั้งพระโอรสผู้หนึ่งให้ขึ้นครองเมืองยางแทน แสดงว่าเมืองยางยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญในช่วงต้นรัชสมัยของพระองค์ แต่หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2163 และเกิดความวุ่นวายในรัชสมัยของเจ้าเกี๋ยงคำ (พระญาแก้วปราบนรินทรา) เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงพระองค์ต่อมา โดยหัวเมืองต่าง ๆ ได้พากันแข็งข้อ จนเกิดการสู้รบระหว่างกันเป็นเวลานาน ในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าวกลับไม่ปรากฏบทบาทของเมืองยาง[10] เป็นเมืองสั่งสมกำลังเพื่อสู้รบกับเชียงตุง ในช่วงปลายสมัยราชวงศ์นยองยานของพม่าเรื่องราวของเมืองยางปรากฏอีกครั้งในราว พ.ศ. 2280 หลังจากที่เจ้าหม่องมิ้วถูกชาวเมืองเชียงตุงขับไล่ และพม่าได้แต่งตั้งให้เจ้าติถนันทราชาขึ้นครองเมืองเชียงตุงแทน เจ้าหม่องมิ้วได้นำชาวเมืองหลวย เมืองยาง มาชิงเอาเมืองเชียงตุง แต่ไม่สำเร็จ ต่อมาเจ้าหม่องมิ้วเลือกที่จะสวามิภักดิ์กับทางพม่า แต่พระโอรส คือ เจ้าปิงและเจ้ากาง ไม่ยอม ได้มาตั้งมั่นสั่งสมกำลังอยู่ที่เมืองยาง และได้เข้าไปพึ่งพาอำนาจของจีน ฝ่ายพม่าและเชียงตุงพยายามปราบปราม สามารถตีเมืองยางได้แต่ก็ไม่สามารถรักษาเมืองไว้ได้ ฝ่ายเจ้าปิงและเจ้ากางเมื่อตั้งตัวได้ก็สั่งสมกำลังยกมาล้อมเมืองเชียงตุง แต่ก็ไม่สามารถตีเอาเมืองเชียงตุงได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามการสู้รบทำให้เมืองเชียงตุงทำนาเพาะปลูกข้าวไม่ได้ ก่อให้ประชาชนเกิดความอดยาก ไพร่พลขาดเสบียง เจ้าเมืองสาม (พระญาจุฬามณีสิริเมฆภูมินทร์) เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงในเวลานั้นจึงตัดสินพระทัยทิ้งเมืองเชียงตุงเสด็จลงไปประทับอยู่อังวะใน พ.ศ. 2309[11] บทบาทของเมืองยางในช่วงเวลานี้ นอกจากจะเป็นแหล่งสั่งสมไพร่พลและทรัพยากรเพื่อทำการสู้รบกับเมืองเชียงตุงแล้ว ยังเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวในการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างพม่าและจีน แต่ในที่สุดฝ่ายพม่าก็สามารถเข้ามามีอำนาจเหนือเมืองยาง เมื่อเจ้ากางยอมรับอำนาจของทางพม่าและได้รับการแต่งตั้งจากพม่าให้ปกครองเมืองเชียงตุงแทนเจ้าเมืองสาม พ.ศ. 2328 พม่าได้ขึ้นไปปราบปรามหัวเมืองสิบสองพันนา โดยได้นัดร่วมไพร่พลกันที่เมืองเชียงรุ่ง ซึ่งเมืองเชียงตุงได้เลือกเส้นทางเดินทัพผ่านเมืองยาง ก่อนจะเข้าไปร่วมทัพกับทางพม่าเพื่อทำศึกต่อไป ตอกย้ำว่าเมืองยางในช่วงเวลานี้ได้กลับมาอยู่ภายใต้อำนาจของพม่าและเมืองเชียงตุง[12] เป็นเมืองสั่งสมกำลัง ในช่วงการขยายอำนาจของเมืองเชียงใหม่ราว พ.ศ. 2345-2348 เมืองเชียงใหม่ยกทัพมาตีเมืองเชียงตุง เจ้ากองไตย (ศิริชัยโชติสารัมภยะ สารกยะภูมินท์นรินทาเขมาธิปติราชา) เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงในเวลานั้นสู้ไม่ได้ จึงหนีมาประทับที่เมืองยาง ฝ่ายพม่าได้ยกทัพมาช่วยแต่ก็ถูกทัพของเชียงใหม่ตีแตกไป เจ้ากองไตยจึงตัดสินใจเข้าสวามิภักดิ์กับทางเชียงใหม่ ทางเชียงใหม่ก็ให้พระองค์กลับมาครองเมืองเชียงตุงตามเดิม แต่เมื่อทัพเชียงใหม่ยกกลับไปแล้ว ฝ่ายพม่าก็ส่งทหารขึ้นมาควบคุมเมืองเชียงตุงอีก โดยในช่วงเวลานี้ฝ่ายพม่าได้มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับเจ้ากองไตย เนื่องจากเห็นว่าพระองค์เคยหันไปเข้ากับทางเชียงใหม่มาก่อน ต่อมาเมื่อเมืองเชียงใหม่ได้ยกทัพมาตีเมืองเชียงตุงอีกครั้งและสามารถขับไล่พม่าไปได้ ก็ได้เลือกที่จะกวาดต้อนผู้คนรวมถึงเชื้อพระวงศ์กลับไปยังเมืองเขียงใหม่ ฝ่ายพระเจ้ากองไตยได้ตัดสินพระทัยยินยอมติดตามทัพเชียงใหม่ไป อย่างไรก็ตาม เจ้ามหาขนานดวงแก้ว พระอนุชา ไม่ยอมสวามิภักดิ์กับทางเชียงใหม่ แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะกลับไปอยู่ภายใต้อำนาจพม่า จึงได้ลี้ภัยมาตั้งมั่นอยู่ที่เมืองยาง สั่งสมกำลังตั้งตัวเป็นอิสระจากทั้งพม่าและเชียงใหม่อยู่ได้ระยะหนึ่ง สามารถรับมือทัพเชียงใหม่ที่ยกมาล้อมใน พ.ศ. 2355 ได้ แต่สุดท้ายก็ตัดสินพระทัยเข้าสวามิภักดิ์กับพม่า เมื่อ พ.ศ. 2357 [13][14] (พงศาวดารเมืองนครเชียงใหม่ เมืองลำปาง เมืองลำพูนไชย, ประชุมพงศาวดาร ภาค 3 ตอน 3 บันทึกว่าเป็น พ.ศ. 2352) ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันได้เกิดความวุ่นวายที่เมืองเชียงรุ่ง มีบันทึกว่า เมื่อ พ.ศ. 2351 เจ้ามหาวัง เจ้าฟ้าเมืองเชียงรุ้ง ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายอำนาจของพม่า ได้ลอบติดต่อกับพระอินราชา ขุนนางเมืองน่าน ซึ่งขึ้นกับฝ่ายสยาม ที่เมืองยาง จากนั้นต่อมาใน พ.ศ. 2391 เมื่อความขัดแย้งภายในเมืองเชียงรุ่งทวีรุนแรงเพิ่มขึ้น มหาไชยอุปราช เชื้อพระวงศ์เมืองเชียงรุ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของสยาม ได้ยกทัพมาตั้งมั่นที่เมืองยางเพื่อจะทำสงครามสู้รบกับมหาไชยงาดำ เชื้อพระวงศ์เมืองเชียงรุ่งเชื้อสายเมืองพง ที่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายฮ่อ ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของจีน[15] สะท้อนให้เห็นว่า ในช่วงเวลาตั้งแต่ที่เกิดความวุ่นวายในเมืองเชียงตุงเมื่อราว พ.ศ. 2345 เป็นต้นมา พื้นที่บริเวณเมืองยางได้กลับไปมีสภาพเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวในการแย่งชิงอำนาจของฝ่ายต่างๆ อีกครั้ง โดยนอกจากฝ่ายพม่าและจีนแล้ว สยามก็พยายามเข้ามามีบทบาทในดินแดนบริเวณนี้ด้วย ส่งผลให้เมืองยางมิได้อยู่ภายใต้อำนาจของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างชัดเจน และยังสามารถดำรงตนเป็นเมืองอิสระได้ในระยะเวลาหนึ่งด้วย สถานะในปัจจุบันอย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดเมืองยางก็ได้ตกไปอยู่ภายใต้อำนาจของพม่า มีฐานะเป็นเมืองบริวารของเมืองเชียงตุง และเมื่อเมือเชียงตุงได้ตัดสินใจเข้าไปอยู่ภายใต้อำนาจของอังกฤษ ภายหลังจากที่อังกฤษผนวกพม่าเข้าเป็นอาณานิคมของตนแล้ว เมืองยางก็ได้เข้าไปอยู่ภายใต้อำนาจของอังกฤษพร้อมกับเมืองเชียงตุงด้วย จากนั้นเมื่อพม่าประกาศเอกราชจากอังกฤษ เมืองยางก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศพม่ามาจนถึงปัจจุบัน โดยในปัจจุบัน อาณาเขตอำนาจปกครองของเมืองยางได้ถูกจัดตั้งเป็นอำเภอเมืองยาง จังหวัดเชียงตุง ส่วนตัวเมืองของเมืองยางนั้น ได้รับการจัดตั้งให้เป็นเขตปกครองระดับเมือง (မြို့/Town) ขึ้นกับอำเภอเมืองยาง จังหวัดเชียงตุง รัฐฉาน ผู้ปกครองเมืองยางในยุคอดีตผู้ปกครองเมืองยางในยุคอดีต เท่าที่รวบรวมได้ มีดังนี้
ที่ตั้งและภูมิประเทศเมืองยางตั้งอยู่ที่พิกัดประมาณ 20° 50' 45" เหนือ และ 99° 41' 11" ตะวันออก ขนาดตัวเมืองวัดจากด้านตะวันออกถึงด้านตะวันตกยาวประมาณ 2.0 กิโลเมตร วัดจากด้านเหนือถึงด้านใต้ยาวประมาณ 1.2 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 0.96 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่บนระดับความสูงประมาณ 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ลัษณะพื้นที่เป็นแอ่งที่ราบระหว่างภูเขาและที่ราบเชิงเขา อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยในฤดูร้อนอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยในฤดูหนาวอยู่ที่ประมาณ 3 องศาเซลเซียส มีฝนตกประมาณ 90 วันต่อปี ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในฤดูฝนอยู่ที่ประมาณ 900 มิลลิเมตร[2]
เขตการปกครองเมืองยาง ในปัจจุบันมีสถานะเปรียบเทียบได้กับเทศบาลเมือง แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 11 แขวง (ရပ်ကွက်/Ward)[16] แต่จะเรียกกันว่าหมู่บ้าน ซึ่งประกอบด้วย
ข้อมูลประชากรจากข้อมูลที่ทำการสำรวจใน พ.ศ. 2562 ประชากรของเมืองยางมีทั้งสิ้น 4,396 คน ลดลงจากการการทำสำมะโนประชากรเมื่อ พ.ศ. 2557 จำนวน 570 คน หรือร้อยละ 11.5 มีประชากรเพศชายมากกว่าประชากรเพศหญิงเล็กน้อย ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 67.4 หรือราวสองในสามของประชากรทั้งหมด ศาสนาที่มีผู้นับถือรองลงไปคือศาสนาคริสต์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.5 หรือราวหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมด โดยประชากรที่นับถือศาสนาคริสต์ส่วนมาก (88.3%) จะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านป่าใหม่และหมู่บ้านเวียงเหล็ก ประชากรนอกเหนือจากนั้นจะนับถือนัตและความเชื่ออื่นๆ ซึ่งรวมกันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.1
โครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมเมืองยางสามารถติดต่อกับพื้นที่อื่นด้วยเส้นทางทางบก โดยมีระยะทางจากเมืองยางถึงเมืองสำคัญข้างเคียงดังนี้[19]
การศึกษาเมืองยางมีโรงเรียนที่เปิดสอนในระดับมัธยมปลาย 1 แห่ง คือโรงเรียนการศึกษาพื้นฐานระดับมัธยมปลายเมืองยาง ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้านม่อนแกะ[20] การสาธารณสุขเมือยางมีโรงพยาบาล 1 แห่ง คือโรงพยาบาลเมืองยาง เป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอ ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้านเวียงเหล็ก มีขนาด 25 เตียง[21] วัฒนธรรมประเพณีศาสนสถานศาสนสถานในศาสนาพุทธ
ศาสนสถานในคริสต์ศาสนา
เทศกาลประจำปี
อ้างอิง
|