เสกสกล อัตถาวงศ์
เสกสกล อัตถาวงศ์ (เดิม: สุภรณ์ อัตถาวงศ์) ชื่อเล่น แรมโบ้ เป็นนักการเมืองชาวไทย ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค)[1] กรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย[2] อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคไทยรักไทย และเคยเป็นแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน ประวัติเสกสกล อัตถาวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2507 ที่ตำบลแชะ อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรของนายประวัติ-นางสุ้น อัตถาวงศ์ และเป็นน้องชายของนายสัมภาษณ์ อัตถาวงศ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา และพี่ชายนาย ชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) การศึกษา
การอบรม
การทำงานนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เริ่มทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เป็นเจ้าหน้าที่กองหนังสือเดินทาง กระทรวงการต่างประเทศ และใช้เวลาว่างเป็นผู้ช่วยผู้ดำเนินงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครราชสีมา พรรคกิจสังคม , เป็นผู้ช่วยทำงานให้เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม , เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ , รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ต่อมาจึงได้ย้ายติดตามนายมนตรี ด่านไพบูลย์ มาสังกัดพรรคความหวังใหม่ หลังจากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าอาสาสมัครรณรงค์เลือกตั้งของพรรคความหวังใหม่ ในปี พ.ศ. 2538 และลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งแรกที่จังหวัดนครราชสีมา สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในปี พ.ศ. 2539 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง การเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2544 นายสุภรณ์ฯ ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในสังกัดพรรคไทยรักไทย[3] และได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2550 ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549[4] และในปี พ.ศ. 2555 ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 74[5] ในปี พ.ศ. 2561 นายสุภรณ์ฯ ได้ย้ายเข้ามาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ ลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง[6] ภายหลังจึงได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี และได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลการแก้ไขปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีราคาแพง ในปี พ.ศ. 2565 ได้ลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ และเข้าร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติ[7] กระทั่งในเดือนเมษายนของปีเดียวกัน ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ และยุติบทบาทในพรรครวมไทยสร้างชาติ เนื่องจากกรณีคลิปเสียงเกี่ยวกับการจัดผลประโยชน์ในโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาล[8] กระทั่งวันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565 นายเสกสกลฯ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเป็นทางการต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง[9] ต่อมาในวันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 นายเสกสกลฯ ได้รับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคเทิดไท[10] ก่อนจะลาออกจากสมาชิกพรรคเมื่อวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคไปโดยปริยาย และกลับเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติอีกครั้ง[11] ในวันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2566 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี[12] ต่อมาวันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม 2566 ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองทำให้พ้นจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคโดยให้มีผลทันที[13] การร่วมชุมนุมทางการเมืองนายสุภรณ์ฯ เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่ม นปช. ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีและร้องเพลง"กตัญญู ทักษิณ" จนกระทั่งรัฐบาลสั่งการปฏิบัติการณ์กระชับวงล้อมในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 และแกนนำ นปช. ประกาศสลายการชุมนุมไปเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ที่สี่แยกราชประสงค์ นายสุภรณ์ฯ ได้ส่งตัวแทนชี้แจงว่าจะเข้ามอบตัวต่อ ศอฉ. หลังจากยกเลิกเคอร์ฟิว จากนั้นก็หายตัวไปและไม่ติดต่อกลับมาอีก แหล่งข่าวจำนวนหนึ่งอ้างว่านายสุภรณ์ฯ ไปหลบซ่อนตัวในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งก็ไม่มีหลักฐานยืนยันแต่ประการใด เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
|