แอนเตรแอส เครสเตินเซิน
แอนเตรแอส เปิตเกอร์ เครสเตินเซิน (เดนมาร์ก: Andreas Bødtker Christensen; เกิด 10 เมษายน ค.ศ. 1996) เป็นนักฟุตบอลชาวเดนมาร์ก ปัจจุบันลงเล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กให้กับบาร์เซโลนา สโมสรในลาลิกา และทีมชาติเดนมาร์ก เขาเริ่มต้นอาชีพกับทีมเยาวชนของเปรินปือ ก่อนที่จะย้ายไปเชลซีในวัย 15 ปีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 เขาลงเล่นฟุตบอลอาชีพนัดแรกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 และในช่วงระหว่าง ค.ศ. 2015–2017 เขาถูกปล่อยยืมตัวให้กับโบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัคในบุนเดิสลีกาซึ่งเขาได้ลงเล่น 82 นัดและทำ 7 ประตู เขากลับมายังเชลซีและช่วยให้ทีมชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีกในฤดูกาล 2018–19 และในฤดูกาล 2020–21 เขาช่วยให้ทีมชนะเลิศสามรายการทั้งยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และชิงแชมป์สโมสรโลก เขาหมดสัญญากับเชลซีแล้วจึงย้ายร่วมทีมบาร์เซโลนา ในปี ค.ศ. 2022 เครสเตินเซินลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 เขายังเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่แข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย และในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 เขาช่วยให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศก่อนแพ้ต่ออังกฤษ สโมสรอาชีพเชลซีชีวิตช่วงแรกเครสเตินเซิน เกิดใน Lillerød เทศบาลเมือง Allerød[5] เขาเป็นลูกชายของสเตน เครสเตินเซิน ผู้รักษาประตูของ Brøndby IF เขาเริ่มต้นอาชีพกับ Skjold Birkerød แล้วจึงย้ายร่วมทีม Brøndby เขาใช้เวลาแปดปีที่นี่ เขาได้รับความสนใจจากสโมสรชั้นนำในยุโรป ทั้งอาร์เซนอล เชลซี แมนเชสเตอร์ซิตี ไบเอิร์นมิวนิก ก่อนที่เครสเตินเซิน จะเซ็นสัญญากับเชลซีแบบไร้ค่าตัว ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ในช่วงที่ใกล้จะสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมของอังแดร วีลัช-โบอัช เครสเตินเซิน กล่าวว่า: “ผมเลือกเชลซีเพราะพวกเขาเล่นฟุตบอลในแบบที่ผมชอบ”[6] เครสเตินเซิน เป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในเกมสุดท้ายของฤดูกาล ฤดูกาล 2012–13 ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 แต่ไม่ได้ลงเล่น ซึ่งจบลงด้วยการเอาขนะเอฟเวอร์ตัน 2–1 ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายในผู้จัดการทีมเชลซีของราฟาเอล เบนิเตซ[7] เขายังเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดใหญ่ในการเดินทางไปสหรัฐ เพื่ออุ่นเครื่องในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2013–14 และหลังจากนั้นก็ได้เซ็นสัญญาระดับอาชีพกับสโมสร[8] ฤดูกาล 2014–15เขาลงเล่นระดับอาชีพของเขาครั้งแรกในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2014 ในเกมที่ออกไปเยือนชรูส์บรีทาวน์ ช่วยให้เชลซีเอาชนะ 2–1 ในฟุตบอลลีกคัพ รอบที่สี่ โดยได้ลงเล่นครบ 90 นาทีในตำแหน่งแบ็กขวา[9] เครสเตินเซิน ได้ลงเล่นในระดับอาชีพอีกครั้งเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 2015 ในนัดที่แพ้ต่อแบรดฟอร์ดซิตี สโมสรในดิวิชันสาม ในเอฟเอคัพ รอบสี่[10] แม้ว่าเครสเตินเซินจะไม่ได้ลงเล่นในลีกคัพอีกเลย แต่เชลซีก็ชนะเลิศรายการนี้หลังเอาชนะทอตนัมฮอตสเปอร์ 2–0 ในรอบชิงชนะเลิศ ฌูแซ มารียู ผู้จัดการทีมเชลซีในขณะนั้นได้ถูกถามว่าใครคือผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดชิงชนะเลิศ เขาตอบว่า "ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดคือ แอนเตรแอส เครสเตินเซิน ที่เล่นได้ดีในเกมกับชรูว์สบิวรีมากกว่า จอห์น เทร์รี (ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดชิงชนะเลิศศ) เพราะเราคือทีม ผมภูมิใจในตัวเขา"[11] ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2015 เครสเตินเซิน ลงเล่นให้กับเชลซีรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปีในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่ายูธลีก พบกับชัคตาร์ดอแนตสก์ ที่นียง แม้ว่าเขาจะสกัดบอลเข้าประตูตัวเองในช่วงครึ่งแรก แต่เชลซีก็ยังเอาชนะได้ด้วยคะแนน 3–2[12] เขาลงเล่นในพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในวันที่ 24 พฤษภาคม ในนัดเหย้าที่เอาชนะซันเดอร์แลนด์ 3–1 แทนที่ของจอห์น โอบี มิเกล ในนาทีที่ 78[13] แม้ว่าเครสเตินเซินจะลงเล่นเพียงนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาล แต่มารียูระบุว่าเขาจะได้รับเหรียญจำลองจากสโมสรสำหรับผลงานของเขาในฤดูกาลนี้[14] โบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค (ยืมตัว)ในงันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 เครสเตินเซิน ย้ายร่วมทีมโบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค ด้วยสัญญายืมตัวเป็นเวลาสองปี[15][16] เขาลงเล่นนัดแรกในวันที่ 10 สิงหาคม ในนัดที่พบกับซังต์ เพาลี ในรอบแรกของเดเอ็ฟเบ-โพคาล ซึ่งช่วยให้ทีมเอาชนะ 4–1[17] 5 วันหลังจากนั้น เครสเตินเซิน ได้ลงเล่นในบุนเดิสลีกาเป็นนัดแรก ในนัดที่แพ้ต่อโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ 4–0 ที่เว็สท์ฟาเลินชตาดีอ็อน[18] ในวันที่ 1 ตุลาคม เขายังได้ลงเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบแบ่งกลุ่มนัดเหย้ากับแมนเชสเตอร์ซิตี โดยได้ลงเล่นเป็นตัวจริงตลอดทั้งนัดซึ่งทีมแพ้ไปด้วยคะแนน 1–2[19] เขาทำประตูแรกของเขาในระดับอาชีพได้เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ในนัดที่เอาชนะแวร์เดอร์เบรเมิน 5–1 ที่โบรุสซีอา-พาร์ค[20] หลังฤดูกาลแรกที่น่าประทับใจ เครสเตินเซิน ได้รับการออกเสียงรับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล แทนที่ตำแหน่งเดิมของกรานิต จากา กัปตันของทีม[21] เมินเชินกลัทบัค ได้พยายามหลายครั้งในการพยายามนำตัวเขาเข้าสู่ทีมเป็นการถาวรในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 2016 โดยมีรายงานว่าเชลซีปฏิเสธการเสนอราคา 14.25 ล้านปอนด์จากกลัทบัค[22] ในยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2016–17 ในนัดที่สองของรอบ 32 ทีมสุดท้าย เครสเตินเซิน ทำประตูชัยช่วยให้ทีมเอาชนะฟีออเรนตีนา 4–2 ทำให้ทีมผ่านเข้ารอบด้วยผลรวมสองนัด 4–3[23] เขาทำประตูได้อีกครั้งในรอบถัดไปนัดที่สองซึ่งเป็นนัดเหย้าพบกับชัลเคอ 04 แต่แพ้ไปด้วยกฎประตูทีมเยือนหลังจากเสมอกัน 3–3[24] กลับสู่เชลซีฤดูกาล 2017–18ในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2017 เครสเตินเซิน ลงเล่นให้กับเชลซีเป็นครั้งแรก หลังจากกลับจาการยืมตัวสองปีที่เยอรมนี หลังถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนเฌเรมิเอ โบกา เพื่อมาลงเล่นในตำแหน่งของแกรี เคฮิลล์ กัปตันของทีมที่ถูกไล่ออก ในนัดแรกของพรีเมียร์ลีกที่เชลซีแพ้ต่อเบิร์นลีย์ 3–2[25] แปดวันหลังจากนั้น เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในนัดที่เอาชนะทอตนัมฮอตสเปอร์ 2–1 ที่เวมบลีย์[26] ในวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2018 เครสเตินเซิน ได้ต่อสัญญาฉบับใหม่เป็นเวลาสีปีครึ่งกับเชลซีซึ่งจะสิ้นสุดในฤดูร้อนปี ค.ศ. 2022 เขาสร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับในทีมชุดใหญ่[27] โดยลงเล่น 40 นัดให้กับสิงโตน้ำเงินครามในฤดูกาล 2017–18 รวมทั้งลงเล่น 3 นัดซึ่งช่วยให้ชนะเลิศเอฟเอคัพ อย่างไรก็ตาม เขาได้รับบาดเจ็บทำให้ไม่ได้มีส่วนร่วมในรอบชิงชนะเลิศ[28] ก่อนที่ฤดูกาลจะสิ้นสุด เขาได้รับรางวัลผู้เล่นเยาวชนยอดเยี่ยมของสโมสร[29] ฤดูกาล 2018–19เมารีซีโอ ซาร์รี ผู้จัดการทีมคนใหม่ มักเลือกที่จะจับคู่เซ็นเตอร์แบ็กเป็นดาวิด ลุยซ์ และอันโทนีโอ รือดีเกอร์ ทำให้ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 เครสเตินเซิน ได้ลงเล่นเพียง 15 นัดตลอดทั้งฤดูกาล และได้ลงเล่นในลีก 2 นัดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เขาไม่ต้องการออกจากสโมสร[30] แต่ก็ยังได้โอกาสลงเล่นตลอดทั้งนัดในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีก กับอาร์เซนอล ที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน เครสเตินเซิน ช่วยให้ทีมเอาชนะ 4–1 ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ชนะเลิศทั้งยูฟ่ายูธลีก และยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2019–20หลังเชลซีชนะเลิศแชมเปียนส์ลีก ทำให้พวกเขาได้ลงเล่นยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019 ในวันที่ 14 สิงหาคม โดยเครสเตินเซินได้ลงเล่นเป็นตัวจริง ซึ่งเชลซีแพ้การดวลลูกโทษต่อลิเวอร์พูล 7–6 หลังเสมอกันใน 120 นาที[31]เขาได้ลงเล่น 28 นัดในทุกรายการ รวมถึงในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 2020 โดยเครสเตินเซินลงเล่นเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 35 แทนที่เซซาร์ อัซปิลิกูเอตา แต่เชลซีแพ้ให้กับอาร์เซนอล 2–1 ที่เวมบลีย์[32] ฤดูกาล 2020–21ในวันที่ 29 พฤศภาคม ค.ศ. 2021 เครสเตินเซิน ได้ลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับแมนเชสเตอร์ซิตี ที่โปร์ตู หลังถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนชียากู ซิลวา ซึ่งได้รับบาดเจ็บในนาทีที่ 39 เขาช่วยให้ทีมชนะเลิศด้วยผลคะแนน 1–0 นับเป็นการชนะเลิศรายการนี้ครั้งแรกของเขา[33] ฤดูกาล 2021–22หลังเชลซีชนะเลิศแชมเปียนส์ลีก ทำให้ได้สิทธิ์แข่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2021 กับบิยาร์เรอัล ในวันที่ 11 สิงหาคม ซึ่งเครสเตินเซินได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองหลังเปลี่ยนตัวลงมาแทนกูร์ต ซูมา ในนาทีที่ 66 ช่วยให้ทีมเอาชนะในช่วงดวลลูกโทษ 6–5 หลังเสมอกันใน 120 นาที 1–1[34] ในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 2021 เครสเตินเซิน ทำประตูแรกให้กับเชลซีได้ในนัดที่เอาชนะมัลเมอ เอฟเอฟ 4–0 ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ ในรอบแบ่งกลุ่มของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[35] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 เชลซี ได้ลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2021 ที่ประเทศกาตาร์ เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงทั้งสองนัดที่เชลซีแข่งขัน รวมถึงรอบชิงชนะเลิศกับปัลเมย์รัส ช่วยให้ทีมเอาชนะ 2–1 นับเป็นการชนะเลิศชิงแชมป์สโมสรโลกเป็นครั้งแรกของเชลซี และเครสเตินเซิน[36] บาร์เซโลนาหลังสัญญากับเชลซีสิ้นสุดลง ในวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2022 เครสเตินเซิน ได้ย้ายร่วมทีมบาร์เซโลนา ด้วยสัญญาสี่ปี โดยมีค่าฉีกสัญญา 500 ล้านยูโร[37] ในวันที่ 13 สิงหาคม เขาลงเล่นนัดแรกให้กับสโมสรตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาลลาลิกา ซึ่งเสมอกับราโยบาเยกาโน 0–0 โดยลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กคู่กับเอริก การ์ซิอา[38] ระดับทีมชาติในวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 2015 เครสเตินเซิน ได้ประเดิมสนามกับทีมชาติเดนมาร์กชุดใหญ่ครั้งแรก ในเกมกระชับมิตรที่เอาชนะมอนเตเนโกร ที่สนามกีฬาวีบอร์ก หลังถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนพีแยร์-เอมิล ฮอยปีแยร์ในนาทีที่ 69[39] ในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2016 เครสเตินเซินได้ลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรก และยังลงเล่นจนครบ 90 นาทีในเกมกระชับมิตรที่เอาชนะสาธารณรัฐไอซ์แลนด์ 2–1 เอ็มซีเอชอารีนา[40] เครสเตินเซิน ได้ลงเล่นหกนัดในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก ซึ่งช่วยให้เดนมาร์กผ่านเข้ารอบ รวมถึงในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 ซึ่งเขาทำประตูแรกให้กับทีมชาติของเขาได้ในนัดที่สองของรอบเพลย์-ออฟเพื่อตัดสินหาทีมเดียวที่จะผ่านเข้ารอบสุดท้าย เป็นประตูตีเสมอสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ก่อนที่เดนมาร์กจะแซงเอาชนะ 5–1[41] ออเก ฮาราได ได้เรียกเขาให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมในรอบสุดท้าย ที่ประเทศรัสเซีย[42] เขาลงเล่นร่วมกับซีโมน แคร์ ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก แต่ได้เล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มกับฝรั่งเศส[43] รวมถึงในรอบ 16 ทีมสุดท้ายกับโครเอเชีย เพื่อต่อสู้กับความแข็งแกร่งของคู่แข่งในจุดนี้ เดนมาร์กขึ้นนำตั้งแต่นาทีแรกของนัด แต่ในนาทีที่สี่ ซีโมน แคร์ ได้สกัดบอลมาโดนตัวเขากระดอนไปหามาริออ มันจูกิชทำประตูตีเสมอได้ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะของโครเอเชียในช่วงดวลลูกโทษ[44] เครสเตินเซิน เป็นหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญของเดนมาร์ก ระหว่างฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ซึ่งพวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเขาได้ลงเล่นครบทั้งหกนัด[45] ในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 2021 เครสเตินเซิน ทำประตูจากระยะไกลได้ในนัดที่เอาชนะรัสเซีย 4–1 ซึ่งช่วยให้เดนมาร์กผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกของการแข่งขัน[46] หลังจากพวกเขาเอาชนะทั้งเวลส์ และสาธารณรัฐเช็กได้สำเร็จ เดนมาร์ก ได้พ่ายแพ้ในรอบรองชนะเลิศต่ออังกฤษ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2–1 ที่สนามกีฬาเวมบลีย์[47] ในวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 ได้มีการประกาศว่า เครสเตินเซิน ได้รับเลือกจากคัสเปอร์ ยูลมันให้เป็น 1 ใน 26 นักเตะของทีมชาติเดนมาร์กสำหรับลงแข่งขันในฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์[48][49] เกียรติประวัติเชลซี (เยาวชน) เชลซี
ส่วนบุคคล
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ แอนเตรแอส เครสเตินเซิน
|