โตโยต้า โคโรน่า
โตโยต้า โคโรน่า (Toyota Corona) เป็นรถรุ่นหนึ่งที่ โตโยต้า ผลิตขึ้น เพื่อเป็นรถครอบครัว เริ่มผลิตเมื่อ พ.ศ. 2500 ซึ่งในประเทศไทย ครั้งหนึ่ง มันเคยเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกับ ฮอนด้า แอคคอร์ด และ นิสสัน บลูเบิร์ด (รวมไปถึง นิสสัน เซฟิโร่ ในบางช่วง) รวมถึงคู่แข่งอื่นๆ ซึ่งเป็นคู่แข่งระดับรอง เช่น มิตซูบิชิ กาแลนต์ ,มาสด้า 626 ,ฮุนได โซนาต้า ,ซูบารุ เลกาซี ,เปอโยต์ 405 ,แดวู เอสเปอโร ,ฟอร์ด มอนดิโอและซีตรอง BX แต่โคโรน่ามีจุดเสียเปรียบสำคัญเรื่องขนาดที่เล็กกว่าแอคคอร์ดและคู่แข่งอื่นๆ ดังนั้น ใน พ.ศ. 2536 โตโยต้าประเทศไทย จึงเปลี่ยนเอา โตโยต้า คัมรี่ ขึ้นมาแข่งกับแอคคอร์ดและคู่แข่งอื่นๆ แทนโคโรน่า หลังจากนั้น ก็เป็นช่วงขาลงของโคโรน่า จนในที่สุด ก็เลิกขายในประเทศไทยใน พ.ศ. 2542 และเลิกผลิตทั่วโลกถาวรไปใน พ.ศ. 2545 โคโรน่า โฉมที่ 1-6 จัดอยู่ในประเภทรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (Compact Car) และโฉมที่ 7-11 จัดอยู่ในประเภทรถยนต์นั่งขนาดกลาง (Mid-size Car) ชื่อ โคโรน่า เป็นภาษาละติน แปลว่า มงกุฎ และเป็นชื่อเรียกไวรัสสายพันธ์ุใหม่ที่มีต้นกำเนิดจากอู่ฮั่น ซึ่งเป็นความหมายเดียวกับคำว่า คราวน์ (Crown) ดังนั้น โคโรน่า จึงเป็นโตโยต้า คราวน์ ย่อส่วน ตลอดช่วงการผลิต 45 ปี โคโรน่า มีวิวัฒนาการทั้งหมด 10 Generation (โฉม) ตามช่วงเวลาต่างๆ ได้ ดังนี้ เปิดตัวในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2500 รหัสตัวถัง T10 ในสมัยนั้น โคโรน่า ยังใช้ชื่อนำหน้าว่า โตโยเพ็ท (Toyopet) ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นโตโยต้าในภายหลัง ดังนั้น โคโรน่า โฉมนี้ จึงใช้ชื่อในตลาดว่า โตโยเพ็ท โคโรน่า (Toyopet Corona) ซึ่งโฉมแรกนี้ ออกแบบมาโดยมี โตโยต้า คราวน์ เป็นต้นแบบ ซึ่งมีการนำโคโรน่าโฉมนี้ไปทำแท๊กซี่เป็นจำนวนพอสมควร มิติตัวถัง ยาว 3.91 เมตร , กว้าง 1.47 เมตร , สูง 1.555 เมตร ขนาดลูกสูบเพียง 997 ซีซี (รถสมัยนั้นเล็กมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน ซึ่งเมื่อเทียบกับยุคเดียวกัน โคโรน่าถือว่าใหญ่เอาการ) แรงม้าเพียง 45 แรงม้า ที่ 5,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 7 กิโลกรัมเมตร ที่ 3,200 รอบต่อนาที ความเร็วสูงสุด 105 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับเคลื่อนล้อหลัง ใช้เกียร์ธรรมดา ซึ่งมีเพียง 3 สปีด ราคาขายในช่วงนั้นตั้งไว้ที่ 648,000 เยน เปิดตัวในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2503 รหัสตัวถัง T20 โฉมนี้ โคโรน่า มีรูปทรงที่เหลี่ยมคมมากขึ้น กระจกหน้า-หลัง ตั้งชันมากขึ้นตามสไตล์รถแบบอเมริกันในยุคนั้น และโฉมนี้ มีเข้ามาขายในไทย แต่ได้ใช้ชื่อรุ่นว่า เทียร่า (Tiara) ไม่ใช่ โคโรน่า มิติตัวถัง ยาว 3.99 - 4.03 เมตร , กว้าง 1.49 เมตร , สูง 1.445 - 1.455 เมตร (แล้วแต่ตัวถัง) ในช่วงแรก ใช้เครื่องยนต์สี่สูบ 997 ซีซี 45 แรงม้า ที่ 4,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 7 กิโลกรัมเมตร ที่ 3,200 รอบต่อนาที ต่อมา มีการนำเครื่องยนต์ที่แรงกว่ามาใช้ โดยเป็นเครื่องสี่สูบ 1,453 ซีซี 62 แรงม้า ที่ 4,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 11.2 กิโลกรัมเมตร ที่ 3,000 รอบต่อนาที ใช้เกียร์ธรรมดา 3 สปีด เปิดตัวในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2507 รหัสตัวถัง T40 โฉมนี้ โคโรน่าถูกออกแบบมาให้มีรูปทรงแบบ Arrow Line (หัวลูกศร) และมีการสร้างความสนใจให้กับประชาชน โดยนำโคโรน่าไปทดสอบวิ่งอย่างต่อเนื่องบนทางด่วนเป็นระยะทาง 100,000 กิโลเมตรโดยไม่ดับเครื่อง ด้วยอัตราเร็ว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สร้างชื่อเสียงให้โตโยต้าเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในเรื่องของเทคโนโลยีและมาตรฐานของการผลิตรถยนต์จนถึงปัจจุบัน โคโรน่าโฉมนี้ นอกจากจะสร้างชื่อเสียงให้โตโยต้าแล้ว ยังมีการนำไปทำแท๊กซี่เป็นจำนวนมาก เพราะมีการพิสูจน์ให้เห็นว่าอึดจริง และจนถึงปัจจุบัน รถรุ่นนี้หลายคันก็ยังสามารถวิ่งได้ แม้แต่ในประเทศไทย ซึ่งจนถึง พ.ศ. 2546 ก็ยังมีการพบเห็นว่ามีแท๊กซี่ที่เป็นโคโรน่า Generation นี้วิ่งอยู่ที่พระราม 4 และใต้ทางด่วนราษฎร์บูรณะ ช่วงแรกที่เปิดตัว มีตัวถังแบบเดียว คือ sedan 4 ประตู 1,198 ซีซี 55 แรงม้า ที่ 5,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 8.8 กิโลกรัมเมตร ที่ 2,800 รอบต่อนาที และต่อมาก็มีการเพิ่มรุ่นพิเศษอีกมากมาย ทั้งเครื่องยนต์รุ่นพิเศษที่แรงกว่า และมีการเพิ่มตัวถัง hardtop coupe , station wagon , กระบะ และ hatchback ยังเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง มีเกียร์ธรรมดา 3 สปีด กับเกียร์อัตโนมัติ 2 สปีดให้เลือก มีมิติยาว 4.065 - 4.11 เมตร , กว้าง 1.55 เมตร , สูง 1.42 เมตร เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 รหัสตัวถัง T80 โคโรน่าโฉมที่แล้ว แทบจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จล้นหลามในแถบเอเชีย แต่ว่า โคโรน่าโฉมนี้ ประสบความสำเร็จในแถบอเมริกันด้วย คาดว่าสาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากความนิยมที่เริ่มประหยัดของชาวอเมริกัน จึงเริ่มหันมาซื้อรถจากเอเชียที่ราคาถูกกว่า โคโรน่าโฉมนี้ ใช้เชื้อเพลิงเบนซิน ลูกสูบ 1.5 , 1.6 , 1.7 , 1.9 และ 2.0 ลิตร โคโรน่าโฉมนี้ รหัสตัวถัง T100 ถึง T120 ลูกสูบ 1.6 และ 2.0 ลิตร ยกเว้นในอเมริกาเหนือที่ใช้เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร และเริ่มมีการใช้เครื่องยนต์แบบ Twin Cam และขายเฉพาะในญี่ปุ่น ส่วนในอเมริกัน โดยรวมโฉมนี้ก็ถือว่ายังประสบความสำเร็จ แต่ไม่เท่าโฉมที่ 4 รหัสตัวถัง T130 เครื่องยนต์ลูกสูบ 1.6 และ 2.0 ลิตรเหมื่อนเดิม อเมริกาใช้ลูกสูบ 2.2 ลิตรเหมื่อนเดิม ซึ่งเครื่อง 2.2 ลิตรนี้ โตโยต้า เซลิก้า รถสปอร์ตของโตโยต้าในยุคนั้นก็ใช้ โคโรน่าโฉมนี้ในอเมริกาจึงมีความเป็นรถสปอร์ตอยู่บ้าง ต่างจากโคโรน่าในเอเชียซึ่งเน้นเป็นรถครอบครัว แต่โคโรน่าโฉมนี้ เป็นโคโรน่าโฉมสุดท้ายที่มีขายในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่โตโยต้าจะส่ง โตโยต้า คัมรี่ เข้ามาแทน ในขณะที่ตลาดเอเชียโดยส่วนใหญ่จะยังใช้โคโรน่าทำตลาดต่อไป รหัสตัวถัง T140 เป็นอีกโฉมหนึ่งที่คนไทยรู้จักดี ในฐานะรถโคโรน่าขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นรองสุดท้าย (ขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นสุดท้ายเป็นโฉมที่ 10 แต่ไม่เป็นที่นิยม) กลุ่มผู้ค้ารถในไทยเรียกชื่อว่า "โฉมหน้าแหลม" เพราะกระจังหน้ามีการหักมุมตรงกลาง ทำให้มีลักษณะแหลม ในฮ่องกง มาเก๊า และสิงคโปร์ มีการนำรถรุ่นนี้ไปทำแท็กซี่เป็นจำนวนมาก โฉมหน้าแหลมเป็นโฉมที่ผลิตเป็นระยะเวลานานที่สุดของโคโรน่า ปัจจุบันยังพอมีเห็นได้บ้างตามท้องถนน แต่ไม่มากนัก รหัสตัวถัง T150 และ T160 โฉมนี้ โคโรน่าเริ่มเสื่อมถอยความนิยมลงในออสเตรเลีย เพราะคัมรี่ เริ่มเข้าไปเป็นที่นิยมแทนโคโรน่า แต่ในประเทศไทย คัมรี่ยังไม่เป็นที่รู้จัก (คัมรี่ เข้ามาในไทยในช่วงที่โคโรน่าอยู่ในโฉมที่ 10) โคโรน่าจึงยังครองความนิยมในไทยต่อไป แต่ในวงรวมทั่วโลก ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า โคโรน่า อาจจะถึงจุดจบในไม่ช้า โฉมนี้ กลุ่มพ่อค้ารถในไทย เรียกว่า "โฉมตู้เย็น" เจเนอเรชันนี้ มี 2 รุ่น คือ รุ่น โฉมหน้ายักษ์ และรุ่น โฉมหน้ายิ้ม รูปที่แสดงนี้เป็นรูปโฉมหน้ายิ้ม สองรุ่นนี้ สร้างขึ้นจากโครงเดียวกัน แต่ต่างกันในรายละเอียดบางประการ เช่น กระจังหน้าและไฟท้าย โดยไปท้ายหน้ายิ้มจะยาวแถวเดียว หน้ายักษ์แยกเป็นสองก้อน กระจังหน้ารุ่นหน้ายิ้มออกแนวตั้ง หน้ายักษ์แนวนอน สองรุ่นยังไม่ใช้โลโก้สามห่วง ในประเทศไทย เปิดตัวครั้งแรกด้วยรุ่นหน้ายักษ์ มีตัวเลือกทั้งหมด 4 รุ่น คือ
ต่อมา ได้ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์เป็นรุ่นหน้ายิ้ม และได้มีการปรับอุปกรณ์ดังนี้
โคโรน่ารุ่นนี้เป็นรุ่นสุดท้ายที่โตโยต้าประเทศไทย วางไว้เป็นคู่แข่งกับ ฮอนด้า แอคคอร์ด, นิสสัน บลูเบิร์ด, มิตซูบิชิ กาแลนต์ โดยตรง โคโรน่ารุ่นหลังจากนี้ไป จะไม่ใช่รถระดับเดียวกับคู่แข่งกลุ่มนี้อีกต่อไป รวมถึงนิสสันที่ตัดสินใจเปลี่ยนตำแหน่งทางการตลาดจากที่ให้นิสสัน บลูเบิร์ด เป็นคู่แข่งกับรถ D-Segment ทั่วไป มาเป็นรถระดับเดียวกันกับโคโรน่า รวมถึงยกเลิกการขึ้นสายการประกอบในประเทศด้วย โดยให้นิสสัน เซฟิโร่ มาแข่งกับรถ D-Segment ทั่วไปแทน ที่ผ่านมา รถญี่ปุ่น มักจะถูกออกแบบโดยจำกัดความกว้างไว้ไม่ให้เกิน 1.7 เมตร และเครื่องยนต์พิกัดไม่เกิน 2000 ซีซี ด้วยเหตุผลทางภาษีในประเทศญี่ปุ่น แต่ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจเติบโต คู่แข่งทั้งหมดต่างพัฒนารถของตนออกมามีแนวโน้มใหญ่ขึ้น และในที่สุดคู่แข่งรายใหญ่อย่างฮอนด้า แอคคอร์ด และมิตซูบิชิ กาแลนต์ ก็ยอมจ่ายภาษีแพงโดยเพิ่มความกว้างและเพิ่มขนาดเครื่องยนต์ออกไปเกินพิกัดดังกล่าว รวมถึงนิสสันก็ส่ง เซฟิโร่ ซึ่งมีขนาดเกินพิกัดลงมาเช่นกัน แต่โตโยต้าประเทศไทยเลือกที่จะนำเข้า โตโยต้า คัมรี่ จากออสเตรเลียซึ่งมีขนาดเกินพิกัดลงมาต่อสู้กับคู่แข่งรายอื่นๆ แล้วให้โคโรน่ายังตรึงขนาดอยู่ที่พิกัดเดิม เมื่อคู่แข่งทั้งตลาดต่างล้วนเพิ่มขนาดเกินพิกัด ยกเว้นเพียงโคโรน่ารุ่นเดียว ทำให้โคโรน่าหลุดจากสถานะเดิมไปโดยปริยาย โดยสถานะเดินที่โคโรน่าเคยอยู่นั้นมีคัมรี่มาแทนที่ ส่วนโคโรน่าถูกลดสถานะกลายเป็นรถที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง โคโรลล่า (C-Segment) กับ คัมรี่ (D-Segment) หรือบางครั้งมักจะถูกเรียกว่า C-D Segment จึงถือว่าโคโรน่าโฉมนี้อยู่ในสถานะที่ต่ำกว่ารุ่นก่อนๆ ที่ผ่านมา ทำให้ผู้สนใจในยานยนต์ที่ไม่ได้ศึกษาข้อมูลรถรุ่นก่อนปี 2536 มักจะเข้าใจแบบเหมารวมว่า โคโรน่า ไม่ใช่และไม่เคยเป็นรถระดับเดียวกับแอคคอร์ด กาแลนต์และมาสด้า 626 ในขณะที่ความเป็นจริงแล้ว ครั้งหนึ่งโคโรน่าและบลูเบิร์ดเคยอยู่ในระดับเดียวกันกับคู่แข่งเหล่านั้น แต่มาเปลี่ยนในช่วงรุ่นนี้เท่านั้น รหัสตัวถัง T190 เปิดตัวในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535 แต่ประเทศไทย มาใน พ.ศ. 2536 โดยรุ่นแรก ตลาดรถจะเรียกว่า "ท้ายโด่งไฟแถบ" มีตัวเลือก 3 รุ่น คือ
ต่อมาได้ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์เป็นรุ่น "ท้ายโด่ง ไฟแยก" เพิ่มตัวเลือกรุ่น 1.6GLi เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เป็นตัวเลือก ที่เหลือเหมือนเดิม และโคโรน่ารุ่นนี้ถือเป็นรถรุ่นเดียวในประเทศไทยที่มีการถ่ายทอดสดงานเปิดตัวผ่านโทรทัศน์ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2535 หากไม่นับการเปิดตัวรถยนต์ที่เสนอข่าวในข่าวธุรกิจ หรือข่าวก่อนละคร จุดเปลี่ยนสำคัญคือปี 2539 ที่มีการปรับโฉมอีกครั้ง และตั้งชื่อรุ่นเป็น Corona Exsior มีจุดเด่นที่ให้ความปลอดภัย ระบบเบรกป้องกันล้อล็อกและถุงลมนิรภัยด้านผู้ขับขี่มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่นตั้งแต่รุ่นต่ำสุด ซึ่งในขณะนั้น มีเพียงรถนำเข้าเท่านั้นที่จะมีความปลอดภัยดังกล่าวนี้ โตโยต้าบุกเบิกการติดตั้งระบบความปลอดภัยในรถระดับล่างประกอบในประเทศเป็นเจ้าแรก หลังจากนั้นเราจึงได้เริ่มเห็นยี่ห้ออื่นที่ประกอบในประเทศเช่น Galant Ultima ,Primera และ Cefiro A32 ติดตั้งตามมา โดยโคโรน่า เอ็กซ์ซิเออร์ มีตัวเลือกดังต่อไปนี้
นอกจากนี้ใน พ.ศ. 2541 ยังได้มีการปรับเพิ่มอุปกรณ์ให้โคโรน่า โดยเพิ่มไฟหน้าฮาโลเจนมัลติรีเฟลกเตอร์, ลายไม้ในห้องโดยสาร, พวงมาลัย 3 ก้านแบบสปอร์ต และถุงลมนิรภัยฝั่งผู้โดยสาร แต่ราคาอยู่ที่ 9.5 แสนบาทซึ่งใกล้เคียงกับคัมรี่ ทำให้ลูกค้าหันไปซื้อคัมรี่มากกว่าจึงต้องระงับการผลิตไปในปลายปี พ.ศ. 2542 เนื่องจากคู่แข่งได้เริ่มนำรถ D-Segment ขนาดใหญ่ขึ้นมาทำตลาด ทั้ง Honda Accord และ Nissan Cefiro A32 ในขณะที่มิตซูบิชิและมาสด้าต้องถอนตัวออกจากตลาดจากสภาพเศรษฐกิจที่รุนแรงในยุคนั้น และโตโยต้าก็นำเข้าคัมรี่จากออสเตรเลียมาจำหน่ายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ถ้าหากขายโคโรน่า เอ็กซิเออร์ต่อไปก็จะไปแย่งลูกค้ากับคัมรี่และโคโรลล่า จึงต้องปิดสายการผลิตไป รหัสตัวถัง T210 และ T220 เป็นโคโรน่าโฉมสุดท้ายที่ผลิต มีขายเฉพาะในญี่ปุ่น ไม่มีการส่งออกหรือผลิตโฉมนี้ในประเทศอื่น มีการนำไปทำแท๊กซี่อยู่บ้าง ในช่วงสุดท้ายนี้ มีการผลิตโคโรน่ารุ่นพิเศษ คือ Toyota Corona Premio ซึ่งต่อมา Premio ก็ได้รับความนิยม และแตกหน่อแยกตัวออกมาเป็นอิสระ กลายเป็น Toyota Premio ซึ่งยังผลิตอยู่จนถึงปัจจุบัน โคโรน่า เมื่อ Premio แยกตัวออกไปแล้ว ยุคของโคโรน่าก็หมดลง คัมรี่ เข้ามาเป็นรถครอบครัวแทนโคโรน่าอย่างสมบูรณ์ จนในที่สุด ก็ปิดฉากการผลิตโคโรน่าลงใน พ.ศ. 2545 รวมระยะเวลาการผลิต 45 ปี จะเห็นได้ว่า แม้คัมรี่จะได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน แต่คัมรี่ก็เริ่มเข้ามาแข่งกับโคโรน่าในช่วงที่โคโรน่าเป็นโฉมที่ 7 แต่กว่าจะสามารถเอาชนะได้ก็กินเวลากว่า 20 ปี แต่ยุคทองที่โคโรน่าได้รับความนิยมสุดขีดแบบไม่มีสิ่งใดขวางกั้นนั้น ยาวนานเกือบ 20 ปีเช่นกัน อ้างอิง
|