โรแบร์ตู ฟีร์มีนู
โรแบร์ตู ฟีร์มีนู บาร์โบซา จี โอลีเวย์รา (โปรตุเกส: Roberto Firmino Barbosa de Oliveira; เกิด 2 ตุลาคม ค.ศ. 1991) หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรแบร์โต เฟอร์มิโน เป็นนักฟุตบอลชาวบราซิล ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุกหรือกองหน้าให้แก่อัลอะฮ์ลี สโมสรในซาอุดีโปรเฟสชันนัลลีก และทีมชาติบราซิล เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีทักษะมากที่สุดในโลก ทั้งการเลี้ยงบอล การควบคุมบอล การจ่ายบอล และการทำประตู หลังจากเริ่มต้นอาชีพกับฟีเกย์เร็งซีใน ค.ศ. 2009 เขาได้ย้ายไปเล่นให้กับฮ็อฟเฟินไฮม์เป็นระยะเวลา 4 ฤดูกาลครึ่ง โดยในบุนเดิสลีกา ฤดูกาล 2013–14 เขาทำ 16 ประตูจากการลงเล่น 33 นัด ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมของลีก ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2015 เขาเซ็นสัญญากับสโมสรลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก การสร้างสรรค์เกม การทำประตู และการทำงานหนักของเขา ทำให้เขาได้รับการชื่นชมที่ลิเวอร์พูล ซึ่งผู้จัดการทีมอย่างเยือร์เกิน คล็อพ กล่าวถึงฟีร์มีนูว่าเป็น "เครื่องจักร" ที่ช่วยขับเคลื่อนการเล่นเกมสวนกลับของทีม[4] ต่อมาในฤดูกาล 2018–19 เขาพาทีมชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และในฤดูกาลถัดมา เขาพาทีมชนะเลิศยูฟ่าซูเปอร์คัพ, ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก และพรีเมียร์ลีก ซึ่งถือเป็นแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 30 ปี ฟีร์มีนูลงเล่นให้กับทีมชาติบราซิลครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2014 และเป็นตัวแทนทีมชาติในการแข่งขันโกปาอาเมริกา 2015, ฟุตบอลโลก 2018 และโกปาอาเมริกา 2019 ซึ่งเขาพาทีมชาติบราซิลชนะเลิศ สโมสรอาชีพฟีเกย์เร็งซี
1899 ฮ็อฟเฟินไฮม์
ลิเวอร์พูลฤดูกาล 2015-16ในวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 2015 ฟีร์มีนูติดทีมชาติบราซิลชุดลุยศึกโกปาอาเมริกา 2015 สโมสรลิเวอร์พูลบรรลุข้อตกลงในการคว้าตัวฟีร์มีนูจากฮ็อฟเฟินไฮม์ด้วยค่าตัว 29 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,450 ล้านบาท พร้อมค่าเหนื่อยกว่า 1 แสนปอนด์ หรือประมาณ 5 ล้านบาทต่อสัปดาห์ ในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 2015 ฟีร์มีนูลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นนัดแรกโดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน จอร์ดอน ไอบ์ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี ที่บริแทนเนียสเตเดียม 1-0 ต่อมา ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ฟีร์มีนูลงเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าและทำประตูแรกในสีเสื้อของลิเวอร์พูล ในนัดที่ลิเวอร์พูลเอาชนะแมนเชสเตอร์ซิตีที่เอติฮัดสเตเดียม 4-1[5] [6] ต่อมาในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตูให้ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับอาร์เซนอล 3-3[7] ต่อมาในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตูให้ลิเวอร์พูลเอาชนะนอริชซิตีที่แคร์โรว์โรด 5-4[8] [9] ต่อมาในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ ซันเดอร์แลนด์ 2-2[10] ต่อมา ในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 3-0[11] ต่อมา ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนู ทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก 2-1[12] ต่อมา ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2016 ยูฟ่ายูโรปาลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก ฟีร์มีนู ทำประตูแรกในยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2015–16 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะคู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-0[13] ต่อมา ในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนู ทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บอร์นมัท ที่วิตาลิตี้ สเตเดียม 2-1[14] ต่อมา ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนู ทำประตูที่ 10 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ วอตฟอร์ด 2-0[15] ฤดูกาล 2016-17ในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2016 อีเอฟแอลคัพ รอบ 2 ฟีร์มีนู ทำประตูแรกในฤดูกาล 2016-17 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เบอร์ตันอัลเบียน 5-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 3 อีเอฟแอลคัพ ได้สำเร็จ[16] ต่อมา ในวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตูให้ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เลสเตอร์ซิตี 4-1[17] ต่อมา ในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สวอนซีซิตี ที่ลิเบอร์ตีสเตเดียม 2-1[18] ต่อมา ในวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก 4-2[19] ต่อมา ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 5 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ วอตฟอร์ด 6-1[20] ต่อมา ในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สโตกซิตี 4-1[21] ในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์พ่ายแพ้ สวอนซีซิตี 2-3[22] ต่อมา ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 9 ใน พรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 3-1[23] ต่อมา ในวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 10 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี ที่บริแทนเนียสเตเดียม 2-1[24] ต่อมา ในวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 11 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน ที่เดอะฮอว์ทอนส์ 1-0[25] จบฤดูกาล ฟีร์มีนูยิงประตูในพรีเมียร์ลีก 11 ประตูจาก 35 นัด ช่วยให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 4 และคว้าโควต้าแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จ ฤดูกาล 2017-18ก่อนจะเริ่มฤดูกาล 2017-18 ฟีร์มีนูเปลี่ยนสวมเสื้อหมายเลข 9 แทนหมายเลข 11 ที่มอบให้กับ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ นักเตะใหม่ที่ย้ายจากโรมามาอยู่กับลิเวอร์พูล ต่อมา ในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2017 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2017–18 ฟีร์มีนูทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีกด้วยลูกจุดโทษ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ วอตฟอร์ด ที่วิคาริจโรด 3-3[26] ต่อมา ในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบเพลย์ออฟ นัดที่ 2 ฟีร์มีนูทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะทีมเก่าของเขา ฮ็อฟเฟินไฮม์ จากเยอรมัน 4-2 รวมผลสองนัด ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฮ็อฟเฟินไฮม์ 6-3 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ[27] ต่อมา ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 4-0[28] ต่อมา ในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E ฟีร์มีนูทำประตูตีเสมอ 1-1 ก่อนที่เขายิงจุดโทษพลาด ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ เซบิยา จากสเปน 2-2[29] ต่อมา ในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ มารีบอร์ จากสโลวีเนีย 7-0[30] ทำให้ ลิเวอร์พูลสร้างสถิติใหม่ด้วยการเป็นทีมจากอังกฤษที่เอาชนะนอกบ้านในเกมยุโรปด้วยสกอร์ที่มากที่สุด[31] ต่อมา ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์ 3-0[32] ต่อมา ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เซบิยา จากสเปน 3-3[33] ต่อมา ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน ที่สนามกีฬาอเมริกันเอ็กซ์เพรสคอมมูนิตี 5-1[34] ต่อมา ในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E นัดสุดท้าย ลิเวอร์พูล ชนะก็จะเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะแชมป์กลุ่ม ฟีร์มีนูทำประตูที่ 7 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สปาร์ตัคมอสโก จากรัสเซีย 7-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในฐานะแชมป์กลุ่มได้สำเร็จ[35] ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บอร์นมัท ที่วิตาลิตี้ สเตเดียม 4-0[36] ต่อมา ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ อาร์เซนอล ที่เอมิเรตส์สเตเดียม 3-3[37] ต่อมา ในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สวอนซีซิตี 5-0[38] ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 10 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 4-3[39] ต่อมา ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2018 เอฟเอคัพ รอบสี่ ฟีร์มีนูยิงประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 1-0 แต่สุดท้ายเขายิงจุดโทษพลาดก็แพ้ไป 2-3 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบ เอฟเอคัพ ไปในที่สุด[40] ต่อมา ในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 11 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์ ที่สนามกีฬาจอห์นสมิท 3-0[41] ต่อมา ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 12 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 2-0[42] ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก ฟีร์มีนูทำประตูที่ 8 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ โปร์ตู จากโปรตุเกส 5-0 ต่อมา ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 13 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 4-1[43] ต่อมา ในวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 14 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ วอตฟอร์ด 5-0[44] ต่อมา ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 9 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม 2-1 รวมผลสองนัด ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 5-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ[45] ต่อมา ในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 15 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ บอร์นมัท 3-0[46] ต่อมา ในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ โรมา จากอิตาลี 5-2[47] ในวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล เป็นเวลา 5 ปี[48] ฤดูกาล 2018-19ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018–19 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เลสเตอร์ซิตี ที่คิงพาวเวอร์สเตเดียม 2-1[49] ต่อมา ในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ 2-1[50] ต่อมา ในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม C ฟีร์มีนูทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง จากฝรั่งเศส 3-2[51] ต่อมา ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม C ฟีร์มีนูทำประตูที่ 2 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เรดสตาร์ เบลเกรด จากเซอร์เบีย 4-0[52] ต่อมา ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ วอตฟอร์ด ที่วิคาริจโรด 3-0[53] ต่อมา ในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เบิร์นลีย์ ที่เทิร์ฟมัวร์ 3-1[54] ต่อมา ในวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำแฮตทริกครั้งแรกของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 5-1 ทำให้ ฟีร์มีนูเป็นนักเตะบราซิลที่ทำประตูรวมมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก[55] ในวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม 1-2[56] ต่อมา ในวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ คริสตัลพาเลซ 4-3[57] ต่อมา ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เบิร์นลีย์ 4-2[58] ต่อมา ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 12 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-1[59] ต่อมา ในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดแรก ฟีร์มีนูทำประตูที่ 3 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ โปร์ตู จากโปรตุเกส 2-0[60] ต่อมา ในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 4 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ โปร์ตู จากโปรตุเกส 4-1 รวมผลสองนัด ลิเวอร์พูล เอาชนะ โปร์ตู 6-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ[61] ต่อมา ในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2019 ลิเวอร์พูล เจอกับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่วันดาเมโตรโปลิตาโน ในมาดริด, ประเทศสเปน สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 6 ได้สำเร็จ[62] ฤดูกาล 2019-20ในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2019 ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019 ลิเวอร์พูล แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 เจอกับ เชลซี แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2018–19 ที่สนามโวดาโฟนพาร์ก, อิสตันบูล ประเทศตุรกี สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ในการดวลจุดโทษ 5-4 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ สมัยที่ 4 ได้สำเร็จ[63] ต่อมา ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 2-1[64] ต่อมา ในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เบิร์นลีย์ ที่เทิร์ฟมัวร์ 3-0[65] ทำให้ ฟีร์มีนูเป็นนักเตะบราซิลคนแรกที่ทำประตูในพรีเมียร์ลีกครบ 50 ประตู ต่อมา ในวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ 2-1[66] ต่อมา ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก 2-1[67] ในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2019 ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2019 ฟีร์มีนูลงสนามเป็นตัวสำรองทำประตูชัย ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ มอนเตร์เรย์ จากเม็กซิโก 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ได้สำเร็จ[68] ต่อมา ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2019 ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2019 นัดชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ ฟลาเม็งกู ตัวแทน คอนเมบอล ในฐานะแชมป์เก่าของ โกปาลิเบร์ตาโดเรส ที่สนามกีฬาแห่งชาติคาลิฟา ในโดฮา, ประเทศกาตาร์ ฟีร์มีนูลงสนามและทำประตูชัย สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฟลาเม็งกู ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก สมัยแรกได้สำเร็จ[69] ต่อมา ในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เลสเตอร์ซิตี ที่คิงเพาเวอร์สเตเดียม 4-0[70] ต่อมา ในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2020 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่สนามกีฬาทอตนัมฮอตสเปอร์ 1-0[71] ต่อมา ในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2020 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ วูลฟ์แฮมตันวันเดอเรอส์ ที่สนามกีฬาโมลีนิวส์ 2-0[72] ต่อมา ในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2020 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ อัตเลติโกเดมาดริด จากสเปน โดยนัดแรก ลิเวอร์พูล ไปพ่ายแพ้ 0-1 ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ 2-0 ถึงจะผ่านเข้ารอบต่อไป โดย ฟีร์มีนูยิงประตูขึ้นนำ 2-0 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ 2-3 รวมผลสองนัด ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ 2-4 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบไปในที่สุด ในวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เชลซี 5-3[73] และฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20 ที่แอนฟีลด์ส่งท้าย[74] ฤดูกาล 2020-21ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2020 ฟีร์มีนูทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020–21 นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด 2-1[75] ต่อมา ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2020 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เลสเตอร์ซิตี 3-0[76] ต่อมา ในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 2020 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-1[77] ต่อมา ในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2020 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก 7-0[78] ต่อมา ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2021 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่สนามกีฬาทอตนัมฮอตสเปอร์ 3-1[79] ต่อมา ในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2021 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด 4-2[80] ต่อมา ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2021 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เบิร์นลีย์ ที่เทิร์ฟมัวร์ 3-0[81] ฤดูกาล 2021-22ในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2021 ฟีร์มีนูทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2021–22 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นอริชซิตี ที่แคร์โรว์โรด 3-0[82] ต่อมา ในวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 2021 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2021–22 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม B ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ โปร์ตู จากโปรตุเกส 5-1[83] ต่อมา ในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 2021 ฟีร์มีนูทำแฮตทริกในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ วอตฟอร์ด ที่วิคาริจโรด 5-0[84] ในวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2022 เอฟเอคัพ รอบ 3 ฟีร์มีนูทำประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ชรูส์บรีทาวน์ 4-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 4 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ[85] ต่อมา ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก ฟีร์มีนูทำประตูที่ 3 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ อินเตอร์มิลาน จากอิตาลี 2-0[86] ต่อมา ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2022 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 5 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ อาร์เซนอล ที่เอมิเรตส์สเตเดียม 2-0[87] ต่อมา ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2022 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดที่สอง ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ เบนฟิกา จากโปรตุเกส 3-3 รวมผลสองนัด ลิเวอร์พูล เอาชนะ เบนฟิกา 6-4 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2022 เอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 2022 ลิเวอร์พูล เจอกับ เชลซี ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ในการดวลจุดโทษ 6-5 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์เอฟเอคัพ สมัยที่ 8 ได้สำเร็จ[88] ต่อมา ในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2022 พรีเมียร์ลีก นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ เป็นนัดตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ซิตี ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ และต้องลุ้นให้ แมนเชสเตอร์ซิตี ไม่ชนะ แอสตันวิลลา ด้วย ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดย ลิเวอร์พูล เอาชนะ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ 3-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี เอาชนะ แอสตันวิลลา 3-2 ทำให้ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย[89] ฤดูกาล 2022-23ในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 2022 เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2022 ลิเวอร์พูล เจอกับ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่คิงเพาเวอร์สเตเดียม สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 3-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์คอมมิวนิตีชีลด์ สมัยที่ 16 ได้สำเร็จ[90] ต่อมา ในวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2022 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2022–23 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม A ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เรนเจอส์ จากสกอตแลนด์ 7-1[91] ต่อมา ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ฟีร์มีนูทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เซาแทมป์ตัน 3-1 เป็นนัดสุดท้ายก่อนพักเบรก ฟุตบอลโลก 2022[92] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2023 ฟีร์มีนูตัดสินใจจะไม่ต่อสัญญาใหม่ โดยจะย้ายออกจากลิเวอร์พูลหลังจบฤดูกาล 2022–23 ต่อมา ในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2023 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 7-0[93] ต่อมา ในวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 2023 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 10 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ แอสตันวิลลา 1-1 ทำให้เป็นประตูสุดท้ายของฟีร์มีนูในสนามแอนฟีลด์ ต่อมา ในวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2023 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 11 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 4-4 เป็นประตูและนัดสุดท้ายของฟีร์มีนูในสีเสื้อลิเวอร์พูล ทีมชาติบราซิลทีมเยาวชน
ทีมชุดใหญ่ฟุตบอลโลก 2018ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2018 ทีมชาติบราซิลเรียกตัวฟีร์มีนูติดรายชื่อชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย โดย บราซิล ได้อยู่กลุ่มอี ร่วมกับ สวิตเซอร์แลนด์, คอสตาริกา และ เซอร์เบีย สุดท้าย บราซิล ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย คว้าอันดับ 1 ของกลุ่มอี ชนะ 2 เสมอ 1 ต่อมา ในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2018 ฟุตบอลโลก 2018 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ฟีร์มีนูทำประตูแรกในฟุตบอลโลก ในนัดที่ บราซิล เอาชนะ เม็กซิโก 2-0 ต่อมา ในวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 2018 ฟุตบอลโลก 2018 รอบ 8 ทีมสุดท้าย บราซิล พ่ายแพ้ เบลเยียม 1-2 ทำให้ บราซิล ต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลก ที่รัสเซีย เพียงเท่านี้ สถิติอาชีพสโมสร
ทีมชาติ
ประตูในนามทีมชาติ
เกียรติประวัติสโมสรลิเวอร์พูล
ทีมชาติบราซิล รางวัลส่วนตัว
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ โรแบร์ตู ฟีร์มีนู
|