กลุ่มเพื่อนเนวิน
กลุ่มเพื่อนเนวิน เป็นกลุ่มแยกการเมืองที่ก่อตั้งโดยเนวิน ชิดชอบ นอกจากนี้ ยังเป็นชื่อกลุ่มการเมืองระดับท้องถิ่นของ จังหวัดบุรีรัมย์ อีกด้วย สภาผู้แทนราษฎรกลุ่มเพื่อนเนวินมีพลังในการต่อรองทางการเมืองสูงมากภายในพรรคพลังประชาชน จนแกนนำของกลุ่มอย่างเนวินถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน แก๊งออฟโฟร์ ซึ่งกุมบังเหียนของพรรค และกลุ่มเพื่อนเนวินเป็นกลุ่มที่ร่วมสนับสนุนให้ สมัคร สุนทรเวช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชาชนอีกด้วย โดยสื่อมวลชนได้ลงข้อมูลไว้ว่า ในช่วงแรกๆ นั้น กลุ่มเพื่อนเนวินมีสมาชิกถึง 100 กว่าคน ต่อมาเกิดปัญหาภายในกลุ่ม จนแยกไปตั้งกลุ่มอีสานพัฒนา ทำให้ในขณะนั้นมีสมาชิกเหลือทั้งหมด 72 คน และภายหลังจากที่พรรคพลังประชาชนถูก ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้ยุบพรรคในปลายปี พ.ศ. 2551 กลุ่มเพื่อนเนวินเป็นกลุ่มสำคัญที่ผลักดันให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จาก พรรคประชาธิปัตย์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 และจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ[1] จนเกิดวลีทางการเมืองขึ้นมาว่า "มันจบแล้วครับนาย"[2] โดยต่อมาสมาชิกกลุ่มนี้อยู่ในสังกัด พรรคภูมิใจไทย ร่วมกับสมาชิก พรรคมัชฌิมาธิปไตย เดิมของ สมศักดิ์ เทพสุทิน[3] สมาชิกกลุ่มเพื่อนเนวิน (72)
ผู้นำกลุ่ม
รายชื่อ สส.ในกลุ่มที่ดำรงตำแหน่งในสภาขณะนั้น (23)สมาชิกทุกคนในที่นี้ (ยกเว้น ชัย ชิดชอบ ประธานสภาในขณะนั้น) ลงมติเห็นชอบสนับสนุน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
รายชื่อสมาชิกในกลุ่มที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่ง สส. (2)
รายชื่อสมาชิกในกลุ่มที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองใน คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2551 (5)
อดีตสมาชิก (1)
การเมืองท้องถิ่นนอกจากเป็นกลุ่มการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว กลุ่มเพื่อนเนวินก็ถูกนำมาใช้เป็นชื่อกลุ่มการเมืองในการเลือกตั้งท้องถิ่นของจังหวัดบุรีรัมย์อีกด้วย ใน การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในประเทศไทย พ.ศ. 2551 กลุ่มเพื่อนเนวินได้ส่ง กรุณา ชิดชอบ ภรรยาของเนวิน ลงสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งนายก อบจ.[7] ภายหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น กรุณาได้รับเลือกตั้ง และได้รับเลือกตั้งอีกครั้งใน การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในประเทศไทย พ.ศ. 2555 ใน การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในประเทศไทย พ.ศ. 2563 กลุ่มเพื่อนเนวินได้ส่งผู้สมัครนายก อบจ. และผู้สมัคร ส.อบจ. โดยกลุ่มได้ส่ง ภูษิต เล็กอุดากร หลานชายของเนวิน เป็นผู้สมัครตำแหน่งนายก อบจ. แทนกรุณา ชิดชอบ เนื่องจากกรุณาตัดสินใจไม่ลงสมัครในรอบนี้ โดยเธอได้กล่าวว่า หลังจากที่ตนเป็นนายก อบจ.บุรีรัมย์ มากว่า 10 ปีแล้ว ก็อยากจะส่งต่อให้กับคนรุ่นใหม่บ้าง ทั้งมั่นใจว่า ผลงานที่ผ่านมาทั้งของตัวเอง และทีม ส.จ.ที่ทำงานเพื่อประชาชนมาตลอดจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร[8] ภายหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ภูษิตได้รับคะแนนทั้งสิ้น 439,547 คะแนน ทิ้งห่างคะแนนของลำดับสองไปกว่าสามแสนคะแนน[9] ในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีในประเทศไทย พ.ศ. 2564 กลุ่มเพื่อนเนวินได้ส่งผู้สมัครเช่นกัน โดยในการเลือกตั้งครั้งนั้น สุพจน์ สวัสดิพุทรา อดีตนายกเทศมนตรีตำบลอิสาณในกลุ่ม ชนะอุชษณีย์ ชิดชอบ อดีต สว. บุรีรัมย์ และเป็นพี่สาวของเนวิน ซึ่งพื้นที่ตำบลอีสาณนั้นเป็นพื้นที่สำคัญของตระกูลชิดชอบ[10] ทว่า ยุทธชัย พงศ์พณิช อดีตรองนายกเทศมนตรีเมืองบุรีรัมย์ซึ่งลงสมัครตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองบุรีรัมย์ พ่ายแพ้ให้กับ สกล ไกรรณภูมิ อดีตรองนายกเทศมนตรีเมืองบุรีรัมย์ในนามกลุ่มรักษ์บุรีรัมย์ และเคยร่วมกลุ่มเพื่อนเนวินมาก่อนด้วย ซึ่งผลการเลือกตั้งครั้งนี้ถูกจับตามองว่าเป็นความพ่ายแพ้ที่เหนือความคาดหมาย[11] ในปี พ.ศ. 2567 กลุ่มเพื่อนเนวินเปลี่ยนชื่อเป็น กลุ่มฅนบุรีรัมย์ โดยเคลื่อนไหวในการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งแรกในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครบุรีรัมย์ และสมาชิกสภาเทศบาลนครบุรีรัมย์ พ.ศ. 2567 โดยกลุ่มได้ส่ง อนุชิต เหลืองชัยศรี หัวหน้ากลุ่มฅนบุรีรัมย์ ลงสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมสมาชิกสภาเทศบาลนครบุรีรัมย์ของกลุ่ม โดยอนุชิตได้รับเลือกตั้ง[12] เมื่อวาระของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหมดลง กลุ่มฅนบุรีรัมย์ได้สนับสนุน ภูษิต เล็กอุดากร ลงสมัครอีกสมัย[13] ผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด
การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองหลังสมัคร สุนทรเวชพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากการสัมภาษณ์ของ ศุภชัย ใจสมุทร อดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชน ในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552 ความว่า[15] หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ สมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2551 อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ได้ติดต่อ เนวิน ชิดชอบ ว่า ขอให้แจ้งกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคพลังประชาชนว่า ให้สนับสนุนสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป เนวินจึงแจ้งกับ สส. พรรค และให้มีการติดต่อไปหาสมัครให้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยสมัครตอบตกลงในอีก 3 วันต่อมา[16] วันที่ 12 กันยายน เมื่อถึงเวลาประชุมสภา ซึ่งจะมีการตกลงให้มีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง กลับมีแต่ สส. พรรคพลังประชาชนกลุ่มเพื่อนเนวิน และพรรคประชาธิปัตย์มาประชุม ไม่มี สส. พรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ เลย ทำให้องค์ประชุมไม่ครบ ทำให้ไม่สามารถลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันนั้นได้[17] โดยมีการกล่าวอีกว่า ในวันนั้นได้มีบุคคลไปประสานกับพรรคร่วมรัฐบาลว่า อย่าได้ไปสภา ทำให้องค์ประชุมไม่ครบ หลังจากนั้น การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย กันยายน พ.ศ. 2551 พรรคพลังประชาชนเสนอชื่อ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน โดยศุภชัยกล่าวถึงความรู้สึกในขณะนั้นว่า เป็นเหมือนการหักหลังสมัคร สุนทรเวช เมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบ และให้ สส. ในพรรคย้ายไปยังพรรคเพื่อไทย และให้ลงมติสนับสนุนให้ ประชา พรหมนอก ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนวินตัดสินใจไม่เข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย และไปร่วมกับอดีต สส. กลุ่มมัชฌิมา จากพรรคมัชฌิมาธิปไตย ก่อตั้งพรรคภูมิใจไทย เพื่อสนับสนุนอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรีแทน หลังจากนั้นก็ได้มีความพยายามที่จะติดต่อเนวินให้พา สส. กลุ่มเพื่อนเนวิน กลับมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย แต่ปรากฏว่านายเนวินไม่รับโทรศัพท์จากแกนนำของพรรคเพื่อไทย เป็นเหตุให้ ทักษิณ ชินวัตร ต้องโทรศัพท์ถึงเนวินเพื่อเจรจาด้วยตัวเอง พร้อมกลับต่อว่านายเนวินว่าไม่สำนึกในบุญคุณ แต่นายเนวินยังยืนกรานว่าจะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ศุภชัย โพธิ์สุ สส. นครพนม กลุ่มเพื่อนเนวิน อดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ระหว่างที่ทักษิณสนทนากับเนวินอยู่นั้น ปรากฏว่าเนวินมีสีหน้าไม่สู้ดี โดยพูดเพียงสั้นๆ ว่า “ทุกอย่างจบแล้วครับนาย”[18] หลังจากยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 พรรคภูมิใจไทยได้เข้าร่วมเป็นพรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาเริ่มมีกระแสข่าวว่าพรรคภูมิใจไทยทั้งกลุ่มมัชฌิมาที่นำโดย สมศักดิ์ เทพสุทิน และกลุ่มเพื่อนเนวิน มีท่าทีต้องการที่จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย กระทั่งในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2555 พรรคภูมิใจไทย ประกาศไม่ร่วมอภิปรายกับพรรคฝ่ายค้าน และลงมติไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดยกลุ่มมัชฌิมาได้ลงมติไว้วางใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, เฉลิม อยู่บำรุง, สุกำพล สุวรรณทัต, และ ชัจจ์ กุลดิลก ส่วน สส.กลุ่มเพื่อนเนวินไว้วางใจแค่ยิ่งลักษณ์ งดออกเสียงในส่วนของเฉลิมกับสุกำพล และลงมติไม่ไว้วางใจชัจจ์[19] การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยในปี พ.ศ. 2566แม้จะมีความขัดแย้งมานานร่วมสิบปี รวมถึงเคยถูกโจมตีด้วยการจัดการปราศรัย "ไล่หนูตีงูเห่า" ที่จังหวัดศรีสะเกษเมื่อปี พ.ศ. 2565[20] แต่ในการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยในปี พ.ศ. 2566 หลังจากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้วยกเลิกบันทึกความเข้าใจที่ทำกับพรรคก้าวไกลในฉบับแรก พรรคเพื่อไทยได้เชิญให้พรรคภูมิใจไทยมาร่วมรัฐบาลเป็นพรรคแรก จึงทำให้รวมเสียงกับพรรคเพื่อไทยได้ 212 เสียง โดยชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในขณะนั้น ได้ระบุว่า การปราศรัย "ไล่หนูตีงูเห่า" เป็นการรณรงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียง[21] ดูเพิ่มอ้างอิง
|