น้ำมันลินสีดน้ำมันลินสีด,[1] น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์, น้ำมันแฟลกซ์ หรือ น้ำมันเมล็ดฝ้าย (อังกฤษ: linseed oil, flaxseed oil, flax oil) เป็นน้ำมันใสจนถึงออกเหลือง ที่ได้จากเมล็ดแฟลกซ์ (Linum usitatissimum) ซึ่งเป็นพืชวงศ์ลินิน (Linaceae) อันดับโนรา (Malpighiales) เมล็ดสามารถสกัดน้ำมันด้วยเครื่องสกัดกล (expeller pressing) และบางครั้งตามสกัดด้วยตัวทำละลาย เป็นน้ำมันชักแห้งคือจะแข็งเมื่อถูกกับอากาศผ่านกระบวนการพอลิเมอไรเซชัน เพราะคุณสมบัตินี้ น้ำมันนี้อาจใช้โดยตนเองหรือผสมกับน้ำมันอื่น ๆ, กับยางไม้ หรือกับตัวทำละลาย ให้เป็นน้ำมันชักแห้งหรือน้ำมันขัดเงาเพื่อรักษาไม้ เป็นตัวผสานสารสีในสีน้ำมัน เป็นสารเพิ่มความเหลวหรือลดน้ำ (plasticizer) ในปูนอุดรอยรั่ว/สีโป๊ว/พัตตี และเพื่อผลิตเสื่อ/พรมน้ำมัน (linoleum) การใช้น้ำมันนี้ได้ลดลงภายในไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาเพราะการเกิดเรซินสังเคราะห์แบบ alkyd ซึ่งมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกันแต่เก่าเป็นสีเหลืองน้อยกว่า[2] น้ำมันนี้ทานได้ นิยมทานเป็นอาหารเสริมเพราะเป็นแหล่งกรดลิโนเลนิกอัลฟาซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมกา-3 ในยุโรปบางส่วน ใช้ทานกับมันฝรั่งและควาร์ก (เป็นผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวอย่างหนึ่ง) โดยจัดว่าเป็นของอร่อย มีรสจัด และเสริมรสของควาร์กที่ปกติจืด[3] คุณสมบัติทางเคมีน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์เป็นไตรกลีเซอไรด์เหมือนกับไขมันอื่น ๆ แต่พิเศษตรงที่มีกรดลิโนเลนิกอัลฟาเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำปฏิกิริยาพิเศษกับออกซิเจนในอากาศ น้ำมันปกติมีกรดไขมันรวมทั้ง[4]
เพราะมีเอสเทอร์กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีพันธะคู่ 2 คู่และ 3 คู่ในอัตราสูง น้ำมันจึงเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันเมื่อถูกกับอากาศได้ง่าย ซึ่งเป็นการ "ชักแห้ง" คือจะแข็งตัว กระบวนการนี้อาจคายความร้อน จึงสร้างปัญหาอัคคีภัยในบางกรณี เพื่อไม่ให้แห้งเร็วเกิน ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันแฟลกซ์/ลินสีด (เช่น สีน้ำมันเป็นต้น) ควรบรรจุในภาชนะที่ผนึกสนิท เหมือนกับน้ำมันชักแห้งบางอย่าง น้ำมันนี้เรืองแสงในรังสีอัลตราไวโอเลตเมื่อเสื่อม[5] การใช้การประยุกต์ใช้น้ำมันลินสีดโดยมากอาศัยคุณสมบัติชักแห้งของมัน คือวัสดุตอนแรกจะเหลวหรืออย่างน้อยก็อ่อน แต่หลังเวลาผ่านไปจะแข็งแต่ไม่เปราะ ความกันน้ำเพราะเป็นไฮโดรคาร์บอนก็เป็นประโยชน์ด้วย เป็นสารผสานสีน้ำมันลินสีดมักใช้เป็นสารส่งสีในสีน้ำมัน และเป็นสารอำนวยการทาสี เพราะทำให้สีน้ำมันเหลวขึ้น ใส และเงาวาว มีในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งสกัดเย็น กลั่นกับแอลคาไล (alkali-refined) ฟอกแดด (sun-bleached) ตากแดดให้หนืด (sun-thickened) และกลายเป็นโพลิเมอร์ (polymerised, stand oil) การใช้สีน้ำมันก้าวหน้าอย่างสำคัญได้ก็เพราะเทคโนโลยีน้ำมันลินสีด พัตตีพัตตีติดตั้งกระจก ซึ่งดั้งเดิมเป็นผงชอล์กผสมกับน้ำมันลินสีด ใช้เพื่อติดตั้งและผนึกกระจกกับหน้าต่างไม้ จะแข็งภายใน 2-3 อาทิตย์ที่ใช้แล้วสามารถทา/พ่นสีทับได้ ความทนทานของมันมาจากคุณสมบัติชักแห้งของน้ำมันลินสีด น้ำมันขัดเงาเมื่อใช้เป็นน้ำมันขัดเงาสำหรับไม้ น้ำมันลินสีดแห้งช้า ๆ และหดตัวน้อยมากเมื่อแข็งตัว แต่ไม่ได้เคลือบผิวเหมือนกับน้ำมันวาร์นิช เพราะซึมเข้าไปในรูไม้ (อาจจะมองเห็นหรือไม่เห็น) เหลือแต่ผิวที่มัน ๆ ไม่ถึงกับเงาที่ยังแสดงอวดลายไม้ แม้จะเกิดรอยง่าย แต่ก็ซ่อมแซมได้ง่าย มีแต่การเคลือบขี้ผึ้งเท่านั้นที่อ่อนแอกว่า น้ำสามารถซึมผ่านเคลือบน้ำมันเพียงไม่กี่นาที และไอน้ำก็สามารถผ่านมันไปได้โดยเกือบไม่ติดขัดเลย[6] เครื่องเฟอร์นิเจอร์กลางแจ้ง (เช่นในสวน) ที่ทาน้ำมันลินสีดอาจขึ้นราได้ ไม้ที่ทาน้ำมันอาจออกสีเหลือง ๆ และน่าจะสีเข้มขึ้นตามอายุการใช้งาน เพราะมันเข้าไปในรูไม้ น้ำมันจะช่วยป้องกันไม้ไม่ให้เกิดรอยเนื่องจาแรงบีบอัดได้บ้าง น้ำมันลินสีดใช้ขัดเงาด้ามปืนดั้งเดิม แต่จะทำให้เงามากอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือน ๆ การเคลือบเงาด้วยน้ำมันหลายชั้นเป็นวิธีดั้งเดิมเพื่อป้องกันไม้วิลโลว์ดิบ (วงศ์สนุ่น) และไม้ตีคริกเกต เพื่อให้ไม้เหลือความชุ่มชื้นบ้าง ไม้คริกเกตใหม่จะเคลือบด้วยน้ำมันลินสีดแล้วตีให้ทั่ว (ด้วยลูกบอลเก่าหรือค้อนพิเศษ) เพื่อให้ทนยิ่งขึ้น[7] น้ำมันลินสีดบ่อยครั้งยังใช้กับไม้คิวสำหรับบิลเลียดหรือพูล ใช้หล่อลื่นหรือป้องกันรีคอร์เดอร์ไม้ และใช้แทนเรซินสังเคราะห์เพื่อเคลือบกระดานโต้คลื่นไม้ อนึ่ง ช่างเครื่องดนตรีสาย (luthier) อาจใช้น้ำมันลินสีดเมื่อปรับปรุงซอมแซมกีตาร์ แมนโดลิน หรือแป้นวางนิ้วของเครื่องดนตรีสายอื่น ๆ คือ มักใช้น้ำมันแร่กลิ่นเลมอนเพื่อทำความสะอาด แล้วทาน้ำมันลินสีด (หรือน้ำมันชักแห้งอื่น ๆ) บาง ๆ เพื่อกันเปื้อนไม่ให้ไม้เสื่อมเร็ว การชุบทองในการชุบ/แปะทอง น้ำมันลินสีดต้มใช้เป็นสารกันซึม (sizing) โดยทาผิววัสดุที่จะแปะทอง (เช่น แผ่นหนัง ผ้าใบ ดินเผา เป็นต้น) เพราะมันทนกว่าสารกันซึมที่ทำผสมน้ำ ทำให้ผิวเรียบ และเหนียวพอในช่วง 12-24 ชม. แรกหลังทาเพื่อให้ติดทองแผ่นกับผิวได้ดี เสื่อน้ำมัน (linoleum)น้ำมันลินสีดใช้เพื่อประสานผงขี้เลื่อย ผงไม้ก๊อก หรือวัสดุเช่นกันอื่น ๆ เพื่อผลิตเสื่อน้ำมัน (linoleum) นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ (Frederick Walton) ได้ประดิษฐ์เสื่อน้ำมันขึ้นในปี 1860 (เรียกว่า linoleum หรือ lino) ซึ่งเป็นวัสดุปิดพื้นทั้งในบ้านและอุตสาหกรรมตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1870 จนถึง 1970 จนกระทั่งแทนด้วยกระเบื้องยางปูพื้น[8] แต่หลังจากคริสต์ทศวรรษ 1990 เสื่อน้ำมันก็เริ่มนิยมอีก เพราะจัดว่าดีต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งกว่า[9] linoleum ให้ชื่อกับเทคนิคทำภาพพิมพ์คือ linocut (ภาพพิมพ์ยางแกะ) ซึ่งทำโดยแกะยางเป็นแบบที่ต้องการ ทาหมึก แล้วพิมพ์บนกระดาษหรือผ้า ผลที่ได้จะคล้ายกับภาพพิมพ์แกะไม้ อาหารและอาหารเสริมน้ำมันลินสีดสกัดเย็นดิบ ที่บ่อยครั้งเรียกว่าน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์เมื่อใช้เป็นอาหาร ออกซิไดซ์และเหม็นหืนได้ง่ายถ้าไม่แช่เย็น และแม้เมื่อเก็บไว้ในที่เย็น คุณภาพสินค้าก็อยู่ได้เพียงแค่ไม่กี่อาทิตย์[10] น้ำมันที่เหม็นควรทิ้ง ปัญหานี้เป็นเรื่องสำคัญทางพาณิชย์ จึงอาจเติมสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อป้องกันการเหม็นหืน[11] น้ำมันทั่วไปไม่แนะนำให้ใช้ประกอบอาหาร แต่ก็มีงานศึกษาที่แสดงว่า กรดลิโนเลนิกอัลฟาเมื่อยังอยู่ในเมล็ดก็เสถียรพอใช้ประกอบอาหาร คือสามารถทนอุณหภูมิได้ 176.67 องศาเซลเซียสถึง 2 ชม.[12] น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์เกรดอาหารจะสกัดเย็นโดยไม่ใช้ตัวทำละลาย ทำในที่ปราศจากออกซิเจน และวางขายเป็นน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ที่ทานได้ (edible flaxseed oil) น้ำมันสดแช่เย็นที่ไม่ได้แปรรูปเพิ่มสามารถใช้เป็นอาหารเสริม เป็นอาหารพื้นเมืองของคนยุโรปบางกลุ่ม และจัดว่าเป็นของอร่อย มันมีระดับกรดไขมันโอเมกา-3 คือกรดลิโนเลนิกอัลฟา สูงสุดอย่างหนึ่งในบรรดาน้ำมันพืชทั้งหมด[13] น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ปกติมีกรดลิโนเลนิกอัลฟา (ALA) (C18:3 n-3) ระหว่าง 52-63% ผู้เพาะพันธุ์พืชได้พัฒนาเมล็ดแฟลกซ์ทั้งที่มีกรด ALA สูงกว่า (70%) และที่มีกรดน้อยมาก (< 3%)[14] องค์การอาหารและยาสหรัฐให้สถานะ "ยอมรับโดยทั่วไปว่าปลอดภัย" (GRAS) สำหรับน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ที่มีกรด ALA สูง[15] สารอาหาร
ส่วนสภาแฟลกซ์แห่งแคนาดาระบุว่ามีสารอาหาร[18] ต่อช้อนโต๊ะคือ 14 กรัม
น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ไม่มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต หรือใยอาหาร การใช้อื่น ๆ
น้ำมันลินสีดแปรรูปน้ำมันสแตนด์ (stand oil)/น้ำมันลินสีดโพลีเมอร์น้ำมันโพลีเมอร์ทำโดยให้ความร้อนแก่น้ำมันลินสีดใกล้ ๆ 300 °C เป็นเวลา 2-3 วัน ในที่ที่ไม่มีอากาศ ในสภาพเช่นนี้ เอสเตอร์ไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่จะกลายเป็น diene (ไฮโดรคาร์บอนที่มีพันธะคาร์บอนคู่ 2 คู่) แล้วเกิดปฏิกิริยา Diels-Alder reaction ทำให้โซ่โพลีเมอร์เชื่อมเข้าด้วยกัน (crosslink) ผลิตผลที่เหนียวมากนี้ สามารถใช้เคลือบผิวที่เมื่อแห้งแล้วยืดหยุ่นได้ดีกว่าน้ำมันลินสีดเอง ผิวเคลือบที่ได้จากน้ำมันเช่นนี้จะกลายเป็นสีเหลืองน้อยกว่าเมื่อใช้น้ำมันลินสีด แม้น้ำมันถั่วเหลืองก็แปรรูปผ่านกระบวนการเช่นนี้ได้เหมือนกัน แต่จะแปรรูปช้ากว่า แต่น้ำมันตังอิ๊ว (tung oil) จะแปรรูปได้เร็วกว่าภายในเวลาเป็นนาที ๆ ที่อุณหภูมิ 260 °C[20] น้ำมันลินสีดต้มน้ำมันลินสีดต้ม (boiled linseed oil) เป็นน้ำมันที่ผสมน้ำมันลินสีดดิบ น้ำมันลินสีดโพลีเมอร์ และสารทำแห้งโลหะ (ซึ่งเป็นตัวเร่งให้แห้ง)[20] ในสมัยกลาง น้ำมันลินสีดจะต้มกับตะกั่วออกไซด์ (lead oxide, ตะกั่วเหลือง) กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า น้ำมันลินสีดต้ม[21] [ต้องการเลขหน้า] ตะกั่วออกไซด์ที่เป็นแอลคาไลน์ จะโปรโหมตกระบวนการพอลิเมอไรเซชัน (คือการชักแห้ง) ของน้ำมันลินสีดเมื่อเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ และการให้ความร้อนจะช่วยให้แห้งเร็วขึ้น น้ำมันลินสีดดิบน้ำมันลินสีดดิบก็คือน้ำมันเปล่า ๆ ที่ไม่ได้แปรรูป ไม่ได้เติมสารทำแห้งหรือทินเนอร์ ซึ่งโดยมากใช้เป็นอาหารสัตว์หรือทำเป็นน้ำมันต้ม มันไม่แข็งดีพอหรือเร็วพอเพื่อจัดเป็นน้ำมันชักแห้ง (drying oil)[22] น้ำมันลินสีดดิบบ่อยครั้งใช้ทาไม้คริกเกตเพื่อเพิ่มแรงเสียดผิวซึ่งช่วยให้คุมลูกบอลได้ดีกว่า[23] และยังใช้ทาสายพานหนังแบนเพื่อให้ลื่นน้อยลง การติดไฟเองผ้าขี้ริ้วชุ่มน้ำมันลินสีดวางเป็นกองจัดว่าเสี่ยงอัคคีภัยเพราะมันให้พื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับกระบวนการออกซิเดชันของน้ำมันซึ่งอาจเกิดเร็วมาก เป็นปฏิกิริยาคายความร้อน ซึ่งยิ่งเกิดเร็วยิ่งขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น เมื่อความร้อนที่สะสมเกินอัตราการระบายความร้อนสู่สิ่งแวดล้อม อุณหภูมิก็จะสูงขึ้นและอาจร้อนพอให้ผ้าขี้ริ้วติดไฟเอง[24] ในปี 1991 ตึก 38 ชั้นคือ One Meridian Plaza ในนครฟิลาเดลเฟียเสียหายอย่างรุนแรงโดยมีเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 3 ท่านเสียชีวิตในอัคคีภัยที่เชื่อว่าเกิดจากผ้าขี้ริ้วชุ่มน้ำมันลินสีด[25] ต่อมาต้องทุบตึกทิ้ง เป็นตึกสูงเป็นอันดับ 3 ในโลกที่ถูกทำลายจนถึงปี 1999 และอันดับ 7 จนถึงปี 2006[26] เชิงอรรถและอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ น้ำมันลินสีด
|