ยุโรปที่ถูกเยอรมนียึดครองยุโรปที่ถูกเยอรมนียึดครอง หมายถึง ดินแดนอธิปไตยในทวีปยุโรปที่ถูกยึดครองทั้งหมดหรือบางส่วนโดยฝ่ายพลเรือน (รวมทั้งรัฐบาลหุ่นเชิดด้วย) กองกำลังทหาร และรัฐบาลของนาซีเยอรมนี ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันระหว่าง ค.ศ. 1939–1945 หรือในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งส่วนใหญ่ถูกปกครองด้วยระบอบนาซีภายใต้เผด็จการของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์[1] บางประเทศที่ถูกยึดครองเป็นผู้ประกาศสงครามในฐานะฝ่ายสัมพันธมิตร เช่น สหราชอาณาจักรหรือสหภาพโซเวียต บางประเทศถูกบีบบังคับให้ยอมจำนนหรือถูกปราบปรามก่อนที่จะถูกยึดครองในภายหลัง เช่น ออสเตรียหรือเชโกสโลวาเกีย[2] หรือในบางกรณี รัฐบาลถูกบีบบังคับให้พลัดถิ่น หรือไม่ก็มีการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นใหม่โดยพลเมืองของประเทศนั้น ๆ เช่น โปแลนด์หรือฝรั่งเศส บางประเทศซึ่งถูกนาซียึดครองนั้นก็ดำรงตนเป็นกลางอย่างเป็นทางการ หรือดินแดนที่ถูกยึดครองเคยเป็นอดีตสมาชิกของฝ่ายอักษะ และถูกยึดครองโดยกองกำลังเยอรมันในช่วงปลายของสงคราม เช่น ฮังการี เป็นต้น[3][4] ประวัติก่อนการปะทุขึ้นของสงครามโลกครั้งที่สองใน ค.ศ. 1939 เยอรมนีเริ่มเข้ายึดครองดินแดนเพื่อนบ้านตั้งแต่ ค.ศ. 1935 โดยการลงประชามติ เยอรมนีได้ผนวกดินแดนแห่งลุ่มน้ำซาร์ ซึ่งในขณะนั้นถูกควบคุมโดยสันนิบาตชาติ[5] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1938 ได้เกิดเหตุการณ์อันชลุส ทำให้ออสเตรียถูกผนวกรวมกับเยอรมนี หรือในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ภูมิภาคซูเดเทินลันท์ของเชโกสโลวาเกียถูกผนวกรวมกับออสเตรีย ในปีต่อมา ฮิตเลอร์ได้เข้ารุกรานดินแดนส่วนที่เหลือของเชโกสโลวาเกียและแบ่งส่วน ถือกำเนิดเป็นรัฐในอารักขาโบฮีเมียและมอเรเวีย[6] และรัฐสโลวาเกียอิสระ[7] การขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศแสนยนิยมของเยอรมนีได้รับการสนับสนุนจากการเฉยเมยของฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก ซึ่งใน ค.ศ. 1936 ได้มีการอนุญาตให้ฮิตเลอร์นำทหารกลับไปที่ไรน์ลันท์ ซึ่งขัดต่อข้อบัญญัติของสนธิสัญญาแวร์ซาย[8] เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 กองกำลังแวร์มัคท์ได้เข้ารุกรานโปแลนด์[1] และทำให้สงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น ตลอดเวลาที่เกิดสงครามโลก กองกำลังแวร์มัคท์ได้รุกรานดินแดนทั่วทวีปยุโรป ในบางประเทศมีการจัดตั้งเขตการปกครองฝ่ายทหารบริหาร เช่น เบลเยียม กรีซ และยูโกสลาเวีย (ในส่วนของเซอร์เบีย) โดยมีผู้ว่าการทหารเป็นผู้ควบคุมดินแดน เยอรมนียังคงแบ่งส่วนอาณาเขตในทวีปยุโรปเรื่อยมา โดยในบางพื้นที่ได้มีการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษ เช่น ไรชส์ค็อมมิสซารีอาทนีเดอร์ลันด์ ในเนเธอร์แลนด์ หรือเป็นการจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดด้วยความช่วยเหลือจากผู้นำท้องถิ่น เช่น รัฐเอกราชโครเอเชีย ที่ก่อตั้งขึ้นหลังการบุกครองยูโกสลาเวีย[9] ฝรั่งเศสถือเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากภายหลังการสงบศึก 22 มิถุนายน ค.ศ. 1940 ได้มีการก่อตั้งรัฐบาลทหารขึ้นทางตอนเหนือและตะวันตกของประเทศ ในขณะที่รัฐบาลฝรั่งเศสควบคุมพื้นที่ทางตอนใต้หรือเขตเสรี (zone libre) รัฐบาลฝรั่งเศสเขตวีชียังคงควบคุมอาณานิคมในแอฟริกาและจักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศส แม้ว่ารัฐบาลวีชีจะยังมีอิสรภาพในการปกครองบางส่วน แต่ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1942 เยอรมนีได้เข้าผนวกเขตเสรีและรวมเข้ากับเขตการปกครองทหารส่วนอื่น ๆ ของประเทศ การยึดครองทวีปยุโรปของเยอรมนีส่งผลให้สหราชอาณาจักรถูกโดดเดี่ยวเมื่อเผชิญภัยคุกคามจากนาซี หลายประเทศที่ถูกยึดครอง เช่น เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ เชโกสโลวาเกีย โปแลนด์ และยูโกสลาเวีย ได้จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นในกรุงลอนดอน หรือในบางกรณี รัฐบาลพลัดถิ่นก็ถูกจัดตั้งขึ้นโดยพลเมืองภายในประเทศนั้น (เช่นเดียวกันกับกรณีของพลพรรคยูโกสลาเวียที่นำโดย ยอซีป บรอซ ตีโต) เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 กองทัพเยอรมันได้เข้ารุกรานสหภาพโซเวียต โดยมีเป้าหมายที่จะทำลายกองทัพแดงใน 4 เดือน และเข้าควบคุมดินแดนรัสเซียที่ขยายไปถึงเทือกเขาอูรัลและคอเคซัส ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน รัฐบอลติก เบลารุส และยูเครนก็ถูกยึดครอง กองกำลังแวร์มัคท์เคลื่อนพลเข้าใกล้มอสโกมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่กองกำลังโซเวียตก็สามารถหยุดยั้งไว้ได้[10] ในช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 1942 กองทัพเยอรมันได้เข้ายึดครองดินแดนในแถบลุ่มน้ำดอนและวอลกา และดินแดนส่วนใหญ่ของคอเคซัส ซึ่งถือเป็นขีดจำกัดของการรุกของกองทัพเยอรมันในช่วงสงคราม ได้มีการจัดโครงสร้างการบริหารใหม่ในเขตปกครองโซเวียตเดิม ทั้งการจัดตั้ง ไรชส์ค็อมมิสซารีอาทอ็อสท์ลันท์ และ ไรชส์ค็อมมิสซารีอาทยูเครน ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกสำหรับการตั้งอาณานิคมของเยอรมนีในดินแดนเหล่านี้และเป็นการขับไล่อิทธิพลของสหภาพโซเวียต การยึดครองดินแดนเหล่านี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากแนวคิด เลเบินส์เราม์ และการค้นหา "พื้นที่อยู่อาศัย" ของประชากรชาวเยอรมัน[11] ในช่วงฤดูหนาวระหว่าง ค.ศ. 1942-1943 กองกำลังเยอรมันยังคงความได้เปรียบทางทหารอย่างท่วมท้น แต่ภายหลังจากความพ่ายแพ้ที่สตาลินกราด ตูนิเซีย และคูสค์ โอกาสแห่งชัยชนะของเยอรมนีจึงหมดลง ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1943 เบนิโต มุสโสลินีถูกโค่นล้มและชาวอิตาลีพยายามเจรจาหาทางออกจากสงคราม[12] แต่กองกำลังเยอรมันได้เข้าบุกครองอิตาลีในเดือนกันยายน แล้วจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดขึ้นมา (สาธารณรัฐสังคมอิตาลี)[13] โดยให้มุสโสลินีกลับมาเป็นดูเชอีกครั้ง แต่ในทางปฏิบัติ เขาเป็นเพียงหุ่นเชิดและดินแดนก็ถูกควบคุมโดยเยอรมนี ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944 ฮังการีก็ถูกยึดครองเช่นกัน เนื่องจากความกังวลว่าฮังการีพยายามเปลี่ยนฝ่าย แต่สิ่งนี้ก็ไร้ผล เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางทหารของเยอรมนีในช่วงฤดูร้อน (การยกพลขึ้นบกที่นอร์ม็องดีและปฏิบัติการบากราติออน) ถือเป็นการเสื่อมลงอย่างหนักของระบอบนาซีในทวีปยุโรป ความพ่ายแพ้อย่างรุนแรงในแนวรบด้านตะวันออกนำไปสู่ความขัดแย้งของระบบพันธมิตรในคาบสมุทรบอลข่าน หลังจากยุทธการที่เบอร์ลิน ในระหว่างวันที่ 7–9 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 นาซีเยอรมนีได้ยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข จึงเป็นการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป[14][15] ในเวลานั้น กองกำลังเยอรมันยังคงยึดครองดินแดนสำคัญต่าง ๆ เช่น เดนมาร์ก นอร์เวย์ หรือบางส่วนของรัฐในอารักขาโบฮีเมียและมอเรเวีย เป็นต้น ดินแดนที่ถูกยึดครองดินแดนที่ถูกยึดครองโดยนาซีเยอรมนี (แม้ว่าจะมีบางส่วนได้ถูกแบ่งปันระหว่างนาซีเยอรมนีและพันธมิตร) มีดังนี้
ดูเพิ่มอ้างอิง
บรรณานุกรม
|