สมเด็จพระไชยราชาธิราช
สมเด็จพระไชยราชาธิราช เป็นพระมหากษัตริย์อยุธยา รัชกาลที่ 13 แห่งอาณาจักรอยุธยา รัชสมัยของพระองค์โดดเด่นสำหรับการหลั่งไหลเข้ามาของ พ่อค้าและทหารรับจ้างชาวโปรตุเกสและเทคโนโลยี การสงครามสมัยใหม่ตอนต้นและโดดเด่นในเรื่องการทำศึกกับหัวเมืองต่างๆ พระราชประวัติสมเด็จพระไชยราชาธิราชพระราชสมภพราว พ.ศ. 2042 เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ที่ประสูติแต่พระสนม[1] ในปี พ.ศ. 2077 ขณะพระชนมายุราว 35 พรรษา ได้ปราบดาภิเษกโดยการสำเร็จโทษสมเด็จพระรัษฎาธิราช แล้วขึ้นครองราชย์ ในเอกสารของโปรตุเกส กล่าวกันว่าในปี ค.ศ. 1544 มีความเป็นไปได้ที่พระองค์อาจเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก โดยมีนามทางศาสนาว่า ดง จูอาว (โปรตุเกส: Dom João)[2][3] ซึ่งนอกจากนี้ก็ไม่มีเอกสารอื่นใดที่ยืนยันเกี่ยวกับการเปลี่ยนศาสนาในครั้งนี้อีก พระมเหสี พระราชโอรสธิดาคำให้การชาวกรุงเก่าระบุว่า สมเด็จพระไชยราชาธิราชมีพระมเหสี 2 พระองค์คือ[4] สมเด็จพระไชยราชาธิราชมีพระราชโอรสที่ปรากฏในพงศาวดาร 2 พระองค์ ประสูติแต่นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์[5] คือ
การสวรรคตพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่า หลังทำสงครามกับเมืองเชียงใหม่แล้ว สมเด็จพระไชยราชาธิราชเสด็จยกทัพหลวงกลับมายังกรุงศรีอยุธยา แล้วสวรรคตระหว่างทาง[6] อย่างไรก็ดี บันทึกของพ่อค้าชาวโปรตุเกสที่เข้ามาในอาณาจักรอยุธยาในสมัยนั้นชื่อ เฟอร์ดินันท์ เมนเดซ ปินโต กลับระบุว่าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ซึ่งลักลอบมีความสัมพันธ์กับพันบุตรศรีเทพ (ขุนวรวงศาธิราช) พราหมณ์ผู้คุมหอพระ ได้ลอบปลงพระชนม์พระองค์ด้วยยาพิษในปี พ.ศ. 2089 ซึ่งเป็นข้อมูลหลักในบทภาพยนตร์เรื่องสุริโยไท พระราชกรณียกิจราชการสงครามสงครามเชียงกรานในรัชสมัยของพระองค์ได้เกิดสงครามไทยกับพม่าเมื่อปี พ.ศ. 2081 เมื่อพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้แห่งกรุงหงสาวดีได้ยกกองทัพมาตีเมืองเชียงกราน อันเป็นหัวเมืองชายแดนทางทิศตะวันตกของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงยกทัพไปตีกลับคืนมา ในการทัพครั้งนี้ พระองค์นำทหารอาสาชาวโปรตุเกสไปด้วย อาสาชาวโปรตุเกสมีความชำนาญในการใช้ปืนไฟ และได้เริ่มใช้ปืนไฟ ในการรบเป็นครั้งแรก กองทัพไทยสามารถยึดเมืองเชียงกราน กลับคืนมาได้ อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลส่วนหนึ่งระบุว่าเมืองเชียงไกร เชียงกรานคือหัวเมืองที่อยู่ระหว่างล้านช้างและล้านนา มิใช่หัวเมืองชายแดนทางทิศตะวันตกของกรุงศรีอยุธยา และในขณะนั้นพงศาวดารพม่าระบุว่าพระเจ้าตะเบงชเวตี้ยังไม่สามารถยึดเมืองหงสาวดีได้ เมืองเชียงไกร เชียงกรานจึงน่าจะเป็นหัวเมืองแถบล้านช้างและล้านนามากกว่า สอดคล้องกับชื่อที่ขึ้นว่าเชียง เช่นเชียงใหม่ เชียงราย เชียงแสน เชียงทอง สงครามครั้งนี้จึงไม่ใช่เป็นการรบทางด้านหัวเมืองชายแดนทางทิศตะวันตกของกรุงศรีอยุธยา แต่เป็นรบทางทิศเหนือเพราะฉะนั้นสงครามครั้งนี้จึงไม่ใช่เป็นการรบครั้งแรกระหว่างไทยและพม่า เมื่อเสด็จยกทัพกลับมาถึงเมืองกำแพงเพชรพงศาวดารระบุว่า พระยานารายณ์คิดขบถสมเด็จพระไชยราชาธิราชจึงให้กุมเอาพระยานารายณ์นั้นฆ่าเสียในเมืองกำแพงเพชร เมื่อพระองค์ยกทัพกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยา พระองค์ได้ทรงปูนบำเหน็จความชอบแก่กองอาสาชาวโปรตุเกส พระราชทานที่ดินให้ตั้งบ้านเรือนที่บริเวณตำบลบ้านดิน เหนือคลองตะเคียน ซึ่งต่อมาเรียกว่าบ้านโปรตุเกส และทรงอนุญาตให้สร้างโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ทำให้มีบาทหลวงเข้ามาเผยแผ่คริสต์ศาสนา สงครามกับล้านนาเกิดการผลัดแผ่นดินขึ้นที่นครพิงค์เชียงใหม่ พระเมืองเกษเกล้าถูกลอบปลงพระชนม์ โดยขุนนางชื่อแสนคล้าวผู้คิดทุริยศ บรรดาเจ้าเมืองลำปาง เมืองเชียงราย และเมืองพานได้ ยกกำลังเข้ายึดเมืองนครพิงค์เชียงใหม่ได้ แล้วพร้อมใจกันแต่งตั้งพระนางจิรประภาเทวี พระมเหสีในพระเมืองเกษเกล้า ขึ้นครองนครพิงค์เชียงใหม่ สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงพิจารณาเห็นว่าล้านช้างอาจแผ่อำนาจเข้ามาปกครองล้านนา[7] จึงทรงแต่งทัพไปตีเชียงใหม่ในกลางปี พ.ศ. 2088 เมื่อยกทัพมาถึงเชียงใหม่พระมหาเทวีจิระประภาแห่งเมืองเชียงใหม่ได้ยอมอ่อนน้อมต่อสมเด็จพระไชยราชาธิราช พระองค์ได้บำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศพระเมืองเกษเกล้าร่วมกับพระมหาเทวี ณ วัดโลกโมฬี แล้วจึงเสด็จฯ กลับกรุงศรีอยุธยา แต่ต่อมาเมื่อล้านช้างยกมาตีเมืองเชียงใหม่ ปีต่อมาสมเด็จพระไชยราชาจึงยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ฝ่ายเมืองเชียงใหม่พยายามเจราจาขอเป็นไมตรีกับอยุธยาอีกครั้งแต่ไม่สำเร็จ ทัพอยุธยาตีได้เมืองลำพูน และยกทัพขึ้นไปตีเชียงใหม่แต่ครั้งนี้เชียงใหม่ตั้งรับทัพอยุธยาอย่างเข้มแข็งและได้รับการสนับสนุนจากล้านช้าง สมเด็จพระไชยราชาจึงเสด็จฯ ถอยทัพกลับกรุงศรีอยุธยา ต่อมาสมเด็จพระไชยราชาธิราชเสด็จสวรรคตระหว่างทาง[5] เมื่ออยุธยาถอยทัพพระนางจิรประภาแห่งเชียงใหม่จึงหันไปพึ่งล้านช้างโดยถวายราชสมบัติแด่สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชแห่งเมืองหลวงพระบาง ซึ่งมีเชื้อสายราชวงศ์มังรายทางพระราชมารดาคือพระนางยอดคำทิพย์ พระราชธิดาของเกษเมืองเกล้าและพระนางจิรประภาเทวี ซึ่งในขณะนั้นเป็นเพียงเจ้าชายพระองค์หนึ่งในเมืองหลวงพระบาง ให้เสด็จมาปกครองนครพิงค์เชียงใหม่สืบต่อไป แต่สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชปกครองเมืองเชียงใหม่ได้เพียง 1 ปีก็เสด็จกลับไปขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างที่เมืองหลวงพระบาง และไม่เสด็จกลับมาเชียงใหม่อีกเลย การคมนาคมในรัชสมัยของพระองค์ได้โปรดเกล้าให้ขุดคลองลัดบางกอก เนื่องจากแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ปากน้ำไปถึง กรุงศรีอยุธยามีความคดเคี้ยวหลายแห่ง ทำให้เสียเวลาในการเดินทางเรือ พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า แผ่นดินระหว่างคลองบางกอกใหญ่ และคลองบางกอกน้อยแคบ สามารถเดินถึงกันได้ ผลจากการขุดคลองลัดบางกอกทำให้สายน้ำเปลี่ยนทางเดินจนคลองลัดบางกอกกลายเป็นลำน้ำเจ้าพระยา จึงโปรดเกล้าให้ขุดคลองลัด ณ บริเวณดังกล่าวเป็นบริเวณตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง ด้านท่าราชวรดิษฐ์ในปัจจุบัน ในวัฒนธรรมสมัยนิยมมีนักแสดงผู้รับบท สมเด็จพระไชยราชาธิราช ได้แก่
พงศาวลี
อ้างอิง
ดูเพิ่มเว็บไซต์หนังสือและบทความ
|