อาเล็กซันเดอร์ เดอ โกร
อาเล็กซันเดอร์ เดอ โกร (ดัตช์: Alexander De Croo) เป็นนักการเมืองและนักธุรกิจชาวเบลเยียมซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเบลเยียมตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 เดอ โกร เกิดที่ฟิลโฟร์เดอ จังหวัดเฟลมิชบราบันต์ ประเทศเบลเยียม[1] เป็นหนึ่งในบุตรสองคนของแฮร์มัน เดอ โกร นักการเมือง อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร อดีตวุฒิสมาชิก และองคมนตรี (Minister of State) ในปัจจุบัน[2] จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเสรีบรัสเซลล์และปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ (MBA) ที่มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น ใน พ.ศ. 2549 ได้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาเกี่ยวกับด้านทรัพย์สินทางปัญญา[3] และต่อมาได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรค โอเปินฟลามเซอลีเบอราเลินแอ็นเดโมกราเติน (Open Vlaamse Liberalen en Democraten) หรือโอเปิน เฟเอลเด (Open Vld) ซึ่งเขาได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในระหว่าง พ.ศ. 2552 ถึง 2555 และตั้งแต่ พ.ศ. 2555 เป็นต้นมาได้รับตำแหน่งสำคัญทางการเมืองต่าง ๆ รวมทั้งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเบลเยียมในสมัยรัฐบาลของเอลีโย ดี รูโป, ชาร์ล มีแชล และซอฟี วีลแม็ส ในระหว่างดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีนั้น เดอ โกร ยังเป็นรัฐมนตรีการบำนาญระหว่าง พ.ศ. 2555–2557 รัฐมนตรีความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่าง พ.ศ. 2557–2563 และรัฐมนตรีการคลังระหว่าง พ.ศ. 2561–2563 และในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เป็นเวลากว่าหนึ่งปีหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปใน พ.ศ. 2563 เขาสามารถเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลได้เพื่อแทนที่รัฐบาลเสียงข้างน้อยของซอฟี วีลแม็ส งานด้านการเมืองใน พ.ศ. 2552 เดอ โกร เข้าสู่การเมืองเป็นครั้งแรกโดยเข้าสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปใน พ.ศ. 2552 โดยเขาได้รับคะแนนเสียงกว่า 47,000 คะแนน[4] ต่อมาเมื่อ 26 ตุลาคม ปีเดียวกันนั้น เขาได้กลายเป็นหนึ่งในผู้สมัครเข้าคัดเลือกเป็นหัวหน้าพรรคโอเปิน เฟเอลเด ต่อจากคี เฟอร์โฮฟสตัต รักษาการหัวหน้าพรรค โดยเมื่อ 12 ธันวาคม หลังจากการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคกับมารีโน เกอเลิน คู่แข่ง เดอ โกร สามารถเอาชนะได้ในรอบที่สองด้วยคะแนน 11,676 เสียง ต่อ 9,614 เสียง[5] ชัยชนะของเดอ โกร นั้นเป็นที่กล่าวขานกันในหมู่นักการเมืองเนื่องจากเขาเพิ่งเริ่มมีประสบการณ์ทางการเมืองได้ไม่นาน และเนื่องจากบิดาของเดอ โกร เป็นนักการเมืองมากประสบการณ์ ทำให้เขามักจะถูกมองว่าเป็นการใช้บารมีหรือเส้นสายในครอบครัว[6][7] วิกฤตการเมืองเพียงห้าเดือนหลังจากการได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว เดอ โกร ได้ขู่ที่จะถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้นหากไม่มีการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับการแบ่งเขตเลือกตั้งในเขตบรัสเซลส์-ฮัลเลอ-ฟิลโฟร์เดอซึ่งเป็นเขตพื้นที่ทับซ้อน จนเมื่อพ้นกำหนดแล้วเขาจึงได้ถอนพรรคการเมืองออกจากรัฐบาล จึงทำให้รัฐบาลในขณะนั้นซึ่งนำโดยนายกรัฐมนตรีอีฟว์ เลอแตร์ม ต้องประกาศลาออก ซึ่งต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553[8] ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาใน พ.ศ. 2553 เดอ โกร ได้รับคะแนนเสียงกว่า 301,000 คะแนน มากที่สุดเป็นอันดับสามในเขตเลือกตั้งที่มาจากเขตผู้พูดภาษาดัตช์[4] และได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาจนถึง 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555[9] รัฐมนตรีรัฐบาลดี รูโปเดอ โกร ได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีการบำนาญเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555[10] ต่อจากฟัน กวิกเกินบอร์เนอ ซึ่งลาออกเพื่อไปรับตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองคอร์ทไรค์[11] ต่อมาในเดือนธันวาคม แคว็นโดลิน รึตเติน ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคโอเปิน เฟเอลเดแทน[12] รัฐบาลมีแชล 1 และ 2หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปใน พ.ศ. 2557 และการจัดตั้งรัฐบาลกลาง เดอ โกร ยังคงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของมีแชล (รัฐบาลมีแชล 1) เดอ โกร ยังได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีความร่วมมือด้านการพัฒนา วาระดิจิทัล โทรคมนาคม และการไปรษณีย์[13][14] ในขณะที่ดาเนียล บาเกอแลน รับตำแหน่งรัฐมนตรีการบำนาญแทน[14] โดยคณะรัฐมนตรีชุดนี้ถวายสัตย์เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557[15] ในสมัยของเดอ โกร เบลเยียมเป็นประเทศแรกที่ระงับความช่วยเหลือระหว่างประเทศกับบุรุนดีเนื่องจากเหตุจลาจลจากความขัดแย้งทางการเมืองอันนำไปสู่ความรุนแรงในประเทศตั้งแต่ พ.ศ. 2558[16] ใน พ.ศ. 2560 เดอ โกร ได้อนุมัติงบประมาณช่วยเหลือกว่า 25 ล้านยูโร (26.81 ล้านดอลลาร์) ต่อเนื่องกันถึง พ.ศ. 2568 เพื่อกำจัดโรคแอฟริกัน ทริปาโนโซมิเอซิส[17] เดอ โกร ยังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหว "ชีดิไซดส์" เพื่อต่อต้านนโยบายเม็กซิโกซิตี (คือนโยบายที่ห้ามเหล่าองค์กรเพื่อความช่วยเหลือระหว่างประเทศที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลสหรัฐให้สนับสนุนหรือกระทำการยุติการตั้งครรภ์ในประเทศอื่น ๆ) ที่ประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์ นำกลับมาใช้[18] ภายหลังจากความขัดแย้งภายในรัฐบาลกลางเบลเยียมเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการย้ายถิ่นของสหประชาชาติ พรรคพันธมิตรเฟลมิชใหม่ถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล ทำให้รัฐบาลนี้กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือที่เรียกว่ารัฐบาลมีแชล 2 ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561[19] เดอ โกร ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีการคลังแทนที่โยฮัน ฟัน โอเฟิร์ตเฟลต์[20] รัฐบาลวีลแม็ส 1 และ 2ในระหว่างการเป็นรัฐบาลรักษาการของนายกรัฐมนตรีวีลแม็ส เดอ โกร เป็นรัฐมนตรีการคลังผู้กำกับดูแลด้านงบประมาณฉุกเฉินเพื่อจัดการกับการระบาดของโควิด-19 และการจัดการด้านความช่วยเหลือกับบรัสเซลแอร์ไลน์ใน พ.ศ. 2563[21] ในสมัยนี้เขาได้รับการเลือกตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรคโอเปิน เฟเอลเด คู่กับเอ็กเบิร์ท ลาเคิร์ท[22] นายกรัฐมนตรีเมื่อ 23 กันยายน พ.ศ. 2563 เดอ โกร และมาแญ็ต (พรรคสังคมนิยม) ได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งรัฐบาล[23] และต่อมาในวันที่ 30 กันยายน ได้มีข่าวว่าเดอ โกร จะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากซอฟี วีลแม็ส[24] รัฐบาลของเดอ โกร ประกอบด้วยสัดส่วนของสตรีมากกว่าบุรุษ โดยมีรัฐมนตรีที่เป็นสตรีถึงครึ่งหนึ่ง[25] ซึ่งมากกว่าสมัยอื่น ๆ ในอดีต อ้างอิง
|