โจ ไบเดิน
โจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดิน จูเนียร์ (อังกฤษ: Joseph Robinette Biden, Jr. /ˈbaɪdən/ by-dən; เกิด 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2485) เป็นนักการเมืองชาวอเมริกัน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 46 ตั้งแต่ พ.ศ. 2564 ถึง 2568 สังกัดพรรคเดโมแครต เคยดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 47 ตั้งแต่ พ.ศ. 2552 ถึง 2560 และสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐจากรัฐเดลาแวร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2516 ถึง 2552 ไบเดินเกิดที่เมืองสแครนตัน ในรัฐเพนซิลเวเนีย และอาศัยอยู่ที่เมืองนี้จนอายุได้ 10 ขวบจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองเดลาแวร์จวบจนปัจจุบัน เขาได้เริ่มศึกษาที่มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ และได้รับปริญญาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ ใน พ.ศ. 2511 ไบเดินประกอบอาชีพเป็นทนายความตั้งแต่ปี 2512 และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในคณะลูกขุนเมื่อปี 2513 ไบเดินเข้ามารับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาครั้งแรกในปี 2515 โดยการเลือกตั้ง ทำให้กลายเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่อายุน้อยที่สุดเป็นอันดับ 5 ที่ได้เข้ามารับตำแหน่งในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ โดยมีอายุเพียง 29 ปี ในสมัยแรก จากนั้น เขาก็ชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2521, 2527, 2533, 2539 และ 2545 นับว่าเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่ครองตำแหน่งมานานที่สุดเป็นอันดับ 6 ในประวัติศาสตร์อีกด้วย ไบเดินเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ต่างประเทศมายาวนานจนเป็นประธานของคณะกรรมการชุดนี้ ศิลปะการเจรจาของเขาเคยนำมาซึ่งความช่วยเหลือทางการทหารของสหรัฐและการเข้าแทรกแซงในสงครามบอสเนีย เขาออกเสียงสนับสนุนนโยบายการแก้ปัญหาสงครามอิรัก แต่ต่อมาได้ประกาศจุดยืนว่าอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ดังกล่าว นอกจากนั้น ไบเดินยังได้ดำรงตำแหน่งประธานของคณะกรรมาธิการศาลยุติธรรมสำหรับสมาชิกวุฒิสภาอีกด้วย โดยมีส่วนในเรื่องของยาเสพติด อาชญากรรม การป้องกันภัย และสิทธิพลเมือง และยังเป็นแกนนำในการเสนอกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาชญากรรมการใช้ความรุนแรงและการบีบบังคับ และกฎหมายว่าด้วยการคุกคามสตรี ไบเดินเคยลงสมัครชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐใน พ.ศ. 2531 และ พ.ศ. 2551 แต่ไม่ประสบความสำเร็จทั้งสองครั้ง แต่ใน พ.ศ. 2551 บารัก โอบามา ผู้สมัครที่ได้ตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตตัดสินใจเลือกไบเดินเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเป็นคู่สมัครในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2551 นี้ และได้รับเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดี ในเดือนมกราคม 2560 ไบเดินได้รับรางวัลเกียรติยศเหรียญอิสรภาพประธานาธิบดีจากประธานาธิบดีโอบามา ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2562 ไบเดินประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐใน พ.ศ. 2563 ในเดือนมิถุนายน 2563 เขามีคุณสมบัติตามเกณฑ์จากคณะผู้ออกเสียงที่จำเป็นเพื่อให้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรค[1] และเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ไบเดินประกาศให้กมลา แฮร์ริส เป็นคู่สมัครรับเลือกตั้ง จนในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ไบเดินได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งเหนือดอนัลด์ ทรัมป์ และเข้าพิธีสาบานตนเพื่อเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2564 ทั้งนี้ ไบเดินเป็นประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นคนแรกจากรัฐเดลาแวร์ และคนแรกที่มีรองประธานาธิบดีเป็นสุภาพสตรี[2] นโยบายเร่งด่วนของไบเดินคือการฟื้นฟูประเทศจากการระบาดของโควิด-19[3] เขาลงนามในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วนซึ่งเป็นการเน้นมาตรการระยะสั้นในการเยียวยาชาวอเมริกันผู้ได้รับผลกระทบ เขายังลงนามในกฎหมายสำคัญอื่น ๆ อาทิ กฎหมายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด และยังรับรองกฎหมายการสมรสของคู่รักเพศเดียวกันและสนับสนุนกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ[4][5] ในวาระดำรงตำแหน่งของเขายังมีเหตุการณ์สำคัญในการแต่งตั้ง เคตันจี บราวน์ แจ็กสัน สตรีผิวดำคนแรกซึ่งดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐ[6] ไบเดินยังมีส่วนร่วมในความตกลงปารีสเพื่อมุ่งเน้นการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เขามีคำสั่งให้ถอนกำลังทหารสหรัฐออกจากอัฟกานิสถานซึ่งเริ่มมีการเจรจามาตั้งแต่สมัยของทรัมป์ ในช่วงเวลาดังกล่าว ได้เกิดเหตุการณ์การรุกของตอลิบาน พ.ศ. 2564 ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดของรัฐบาลสาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน[7] ไบเดินยังร่วมลงนามในออคัส กติกาสัญญาไตรภาคีระหว่างออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐ เพื่อช่วยเหลือออสเตรเลียในการพัฒนาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ เขาตอบโต้การรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย พ.ศ. 2565 ด้วยการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย และช่วยเหลือการส่งมอบอาวุธไปยังยูเครน ต่อมา ในวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2566 ไบเดินประกาศลงสมัครเลือกตั้งเป็นสมัยที่สอง[8][9] แต่หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ได้ประกาศถอนตัว และหันไปสนับสนุนกมลา แฮร์ริส ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งแทน[10] ไบเดินให้การสนับสนุนอิสราเอลในสงครามอิสราเอล–ฮะมาส พ.ศ. 2566 และประณามการกระทำของฮะมาสและกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ ว่าเป็นการก่อการร้าย รองประธานาธิบดี (2552-2560)สมัยแรกไบเดิน กล่าวว่าเขามีความตั้งใจที่จะทำงานให้แตกต่างจากรองประธานาธิบดีในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ซึ่งดำรงตำแหน่งโดยดิก ชีนีย์[11] ไบเดิน ยังได้รับเลือกเป็นผู้นำทีมเปลี่ยนผ่านสมัยประธานาธิบดีของโอบามา และยังเป็นผู้นำที่รับผิดชอบด้านโครงการต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างคุณภาพความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจของชนชั้นกลางอีกด้วย ช่วงต้น พ.ศ. 2552 เขาได้เยี่ยมเยือนผู้นำอิรัก อัฟกานิสถาน และปากีสถาน[12] และต่อมาในวันที่ 20 มกราคม เขาได้เข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งรองประธานาธิบดี ซึ่งเป็นคนแรกจากรัฐเดลาแวร์ และคนแรกที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก[13][14] ภายหลังสมัยรองประธานาธิบดีภายหลังลงจากตำแหน่งรองประธานาธิบดี ไบเดิน ได้กลายเป็นอาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ในขณะเดียวกันเขาก็คอยนำรณรงค์ด้านการรักษาโรคมะเร็ง[15] เขาได้เขียนหนังสือเรื่อง Promise Me, Dad ใน พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นหนังสือชีวประวัติของตัวเอง ซึ่งได้รับความนิยมจนต้องออกเดินทางทัวร์โปรโมตหนังสือ[16] ในระหว่างปี 2560-2561 ไบเดินมีรายได้มากถึง 15 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ[17] ไบเดิน ยังได้รับความสนใจอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยได้คอยสนับสนุนตัวแทนของพรรคฯ และยังคงให้ความเห็นต่าง ๆ ในด้านการเมือง ด้านสิ่งแวดล้อม และเกี่ยวกับประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์[18][19][20] ไบเดินยังเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญในสิทธิของ LGBT ตั้งแต่สมัยรองประธานาธิบดีของเขาเป็นต้นมา ใน พ.ศ. 2562 ไบเดินได้ตำหนิบรูไน ในประเด็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายอิสลามซึ่งอนุญาตให้ทำการประหารชีวิตผู้ที่ผิดประเวณี และคนรักร่วมเพศโดยการปาหินว่า "น่ารังเกียจ และไร้มนุษยธรรม" และยังกล่าวอีกว่า "ไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งทางวัฒนธรรม และประเพณี ที่แสดงออกถึงความเกลียดชัง และความไร้มนุษยธรรมเช่นนี้"[21] ใน พ.ศ. 2562 ไบเดิน และภริยา มีสินทรัพย์รวมกันเพิ่มขึ้นรวมเป็นมูลค่าระหว่าง 2.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ถึง 8 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการปราศรัยต่าง ๆ และสัญญาสำหรับแต่งหนังสืออีกหลายชุด[22] ประธานาธิบดี (2564 - 2568)โจ ไบเดิน ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2564 โดยในขณะเข้ารับตำแหน่ง เขามีอายุถึง 78 ปี ซึ่งถือเป็นผู้รับตำแหน่งประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุด[23]ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก[24] ต่อจากจอห์น เอฟ. เคนเนดี โดยเป็นประธานาธิบดีคนแรกจากรัฐเดลาแวร์[25] ในวันแรกของการทำงาน ไบเดินได้ลงนามในคำสั่งบริหารสำคัญต่าง ๆ เช่น การบังคับให้สวมหน้ากากอนามัยในสถานที่ราชการ การกลับเข้าร่วมในสนธิสัญญาความตกลงปารีส ยกเลิกคำสั่งบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินตามบริเวณชายแดนเม็กซิโก[26] และการกลับไปเข้าร่วมสมาชิกขององค์การอนามัยโลก[27] 100 วันแรกเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ฝ่ายบริหารของไบเดินประกาศว่าสหรัฐกำลังจะยุติการสนับสนุนปฏิบัติการทิ้งระเบิดที่นำโดยซาอุดีอาระเบียในเยเมน[28] เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ซึ่งเป็นวันครบรอบปีแรกของการระบาดทั่วของโควิด-19 ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นโรคระบาดทั่วโลกโดยองค์การอนามัยโลก ไบเดินได้ลงนามในกฎหมายซึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของสหรัฐจากผลกระทบทางเศรษฐกิจและสุขภาพจากการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 รวมถึงการจ่ายเงินโดยตรงให้กับชาวอเมริกันส่วนใหญ่ การขยายผลประโยชน์การว่างงานที่เพิ่มขึ้น กองทุนสำหรับการแจกจ่ายวัคซีนและการเปิดทำการสถานศึกษาอีกครั้ง และการขยายเงินอุดหนุนการประกันสุขภาพ เครดิตภาษีเด็ก รวมถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลกลางเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง แม้ว่าภายหลังสมาชิกรัฐสภาของวุฒิสภาตัดสินใจว่าการเพิ่มร่างกฎหมายกระทบยอดงบประมาณจะเป็นการละเมิดกฎของวุฒิสภา[29] นอกจากนี้ในเดือนมีนาคม ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของผู้อพยพย้ายถิ่นฐานจากเม็กซิโกเข้าสหรัฐ ไบเดินกล่าวกับผู้อพยพว่า "อย่าเข้ามา" ในระหว่างนี้ ผู้อพยพหลายราย "กำลังถูกส่งกลับ" ไบเดินกล่าว โดยอ้างอิงถึงความต่อเนื่องของนโยบายหัวข้อ 42 ของรัฐบาลทรัมป์เพื่อการเนรเทศ ไบเดินประกาศก่อนหน้านี้ว่าฝ่ายบริหารของเขาจะไม่เนรเทศผู้อพยพที่เป็นเด็กซึ่งเดินทางโดยลำพัง โดยการมาถึงของเด็กเหล่านี้เกินความสามารถในการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกและที่พักพิงให้แก่เด็กเหล่านี้ ส่งผลให้ฝ่ายบริหารของไบเดินสั่งการให้สำนักจัดการภาวะฉุกเฉินกลางจัดหาความช่วยเหลือดังกล่าว เมื่อวันที่ 14 เมษายน ไบเดินประกาศว่าสหรัฐจะชะลอการถอนทหารทั้งหมดออกจากสงครามอัฟกานิสถานไปจนถึงวันที่ 11 กันยายน ซึ่งส่งสัญญาณถึงการยุติการมีส่วนร่วมทางทหารโดยตรงของประเทศในอัฟกานิสถานหลังจากผ่านไปเกือบ 20 ปี[30] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้ทำข้อตกลงกับกลุ่มตอลิบานเพื่อถอนกำลังทหารสหรัฐออกทั้งหมดภายในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ในวันที่ 22–23 เมษายน ไบเดินจัดการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศซึ่งเขาประกาศว่าสหรัฐจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50%–52% ภายใน พ.ศ. 2573 เทียบกับระดับ พ.ศ. 2548[31][32] เมื่อวันที่ 28 เมษายน ก่อนวาระดำรงตำแหน่งครบ 100 วัน ไบเดินกล่าวปราศรัยครั้งแรกต่อการประชุมร่วมของรัฐสภา[33] นโยบายภายในประเทศเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ไบเดินได้ลงนามในพระราชบัญญัติวันประกาศอิสรภาพแห่งชาติฉบับที่ 10 มิถุนายน ซึ่งได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นวันหยุดของรัฐบาลกลาง Juneteenth เป็นวันหยุดของรัฐบาลกลางครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1986[34] ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 ท่ามกลางการชะลอตัวของอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในประเทศและการแพร่ระบาดของไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์เดลตา ไบเดินกล่าวว่าประเทศมี "โรคระบาดสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน" และ ดังนั้นจึงเป็นเรื่อง "สำคัญอย่างยิ่ง" สำหรับชาวอเมริกันที่จะต้องได้รับการฉีดวัคซีน เศรษฐกิจไบเดินเข้ารับตำแหน่งเป็นเวลาเก้าเดือนหลังจากการฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโควิด-19 และปีแรกในการดำรงตำแหน่งของเขา มีผลงานโดดเด่นด้วยเร่งอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งทางจีดีพี ซึ่งรวมถึงการเพิ่มอัตราจ้างงาน การขึ้นค่าจ้าง และผลตอบแทนจากตลาดหุ้น ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างมาก ทว่าอัตราจีดีพีของสหรัฐยังขยายตัวร้อยละ 5.9 ซึ่งเป็นอัตราที่เป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบ 37 ปี[35] อัตราการว่างงานลดลงในอัตราที่เร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงระหว่างปี[36][37] ภายในสิ้นปี 2564 อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปีที่ร้อยละ 7.1 ซึ่งถูกชดเชยบางส่วนด้วยค่าจ้างและการเติบโตของเงินเดือนที่สูงที่สุดในรอบอย่างน้อย 20 ปีเช่นกัน[38][39] ในเดือนที่สามที่เขาดำรงตำแหน่ง ไบเดินได้ลงนามในคำสั่งผู้บริหารให้เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำสำหรับผู้รับเหมาของรัฐบาลกลางเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 37% คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับแรงงาน 390,000 คนในเดือนมกราคม 2565[40] อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อและราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น คะแนนความนิยมของไบเดินลดลงจนแตะตัวเลขติดลบลบในต้น พ.ศ. 2565[41][42] หลังจากการเติบโต 5.9 เปอร์เซ็นต์ใน พ.ศ. 2564 การเติบโตของอัตราจีดีพีกลับลดลงในปีที่สองของการบริหารของเขาเหลือ 2.1% หลังจากการเติบโตติดลบเล็กน้อยในครึ่งปีแรกกระตุ้นให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอย การสร้างงานและการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงมีแนวโน้มที่ดีตลอดทั้งปี เนื่องจากอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 53 ปีที่ร้อยละ 3.5 ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงสุดที่ร้อยละ 9.1 ในเดือนมิถุนายนก่อนที่จะลดลงเหลือร้อยละ 3.2 ภายในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 ปี 2565 ถือว่ามีราคาหุ้นมีปีที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551[43] ก่อนที่จะฟื้นตัว แม้จะมีการคาดการณ์อย่างกว้างขวางถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ใกล้จะเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2565 และ พ.ศ. 2566 แต่ตัวชี้วัดภายในปลาย พ.ศ. 2566 ก็แสดงให้เห็นการเร่งตัวทางเศรษฐกิจ การเติบโตของจีดีพีอยู่ที่ 4.9% ในไตรมาสที่สองของปี 2566[44] ในช่วงห้าวันของเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 เกิดวิกฤติการณ์กับธนาคารขนาดเล็กถึงขนาดกลางของสหรัฐสามแห่ง ส่งผลให้ราคาหุ้นของธนาคารทั่วโลกลดลงอย่างรวดเร็ว และการตอบสนองอย่างรวดเร็วของหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดทั่วโลกที่อาจเกิดขึ้น หลังจากที่ธนาคารซิลิคอนแวลลีย์ล่มสลาย ไบเดินแสดงท่าทีคัดค้านการให้เงินช่วยเหลือจากผู้เสียภาษี[45] ในตอนต้นของการประชุมสภาคองเกรสครั้งที่ 118 ไบเดินและผู้แทนพรรครีพับลิกันในรัฐสภาขัดแย้งกันรุนแรงหลังจากที่สหรัฐมีภาระถึงขีดจำกัดซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้[46] ไบเดินและประธานสภาผู้แทนราษฎร เควิน แม็กคาร์ธี ได้ทำข้อตกลงเพื่อเพิ่มวงเงินหนี้ ซึ่งก็คือรัฐบัญญัติความรับผิดชอบทางการคลัง อันมีบทบัญญัติในการระงับวงเงินหนี้จนถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2568 ไบเดินลงนามเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ มีการมองว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นผลดีต่อไบเดิน ตุลาการไบเดินลงนามคำสั่งแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งฝ่ายตุลาการเพิ่มเติม 40 รายภายในสิ้น พ.ศ. 2564 ซึ่งถือเป็นสถิติที่มากที่สุดในการดำรงตำแหน่งปีแรกนับตั้งแต่สมัยของโรนัลด์ เรแกน ไบเดินให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางเพศและเชื้อชาติในการดำรงตำแหน่งทางตุลาการมากกว่าประธานาธิบดีคนอื่นในประวัติศาสตร์สหรัฐ โดยผู้ได้รับการแต่งตั้งส่วนใหญ่เป็นสตรีและคนผิวสี รวมถึงการแต่งตั้ง เคตันจี บราวน์ แจ็กสัน สตรีผิวสีคนแรกผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐ ทั้งนี้ สืบเนื่องจากในเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 สตีเฟน เบรเยอร์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งเป็นกลุ่มเสรีนิยมสายกลางที่ได้รับการเสนอชื่อโดยบิล คลินตัน ได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะลาออกจากศาลฎีกา ในระหว่างการหาเสียงใน พ.ศ. 2563 ไบเดินให้คำมั่นว่าจะเสนอชื่อสตรีผิวสีคนแรกต่อศาลฎีกาหากมีตำแหน่งว่างเกิดขึ้น ภายในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 มีรายงานว่าไบเดินแต่งตั้งผู้พิพากษาดำรงตำแหน่งในรัฐบาลกลางได้มากกว่า 150 รายซึ่งรวมถึงสตรีมากถึง 100 ราย[47] โครงสร้างพื้นฐานและสภาพภูมิอากาศในช่วงปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 ไบเดินเสนอแผน อเมริกันจอบส์แพลน ซึ่งเป็นโครงการมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อจัดการกับประเด็นต่าง ๆ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐานที่อยู่อาศัย โรงเรียน การผลิต การวิจัย และการพัฒนาแรงงาน ภายหลังการเจรจาระหว่างไบเดินและฝ่ายนิติบัญญัติเป็นเวลาหลายเดือน ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 วุฒิสภาได้ผ่านร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานของสองฝ่ายมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่เรียกว่าพระราชบัญญัติการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและงาน[48][49] ในขณะที่สภาผู้แทนราษฎรก็อนุมัติร่างกฎหมายดังกล่าวเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ในลักษณะสองฝ่ายเช่นกัน ซึ่งครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง สาธารณูปโภค และการสื่อสาร[50] ไบเดินลงนามร่างกฎหมายดังกล่าวเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564[51] ไบเดินสนับสนุนร่างกฎหมายการใช้จ่ายทางสังคมมูลค่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ที่ขยายเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม และรวมถึงบทบัญญัติหลักเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ[52][53] ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคริพับลิกัน ดังนั้นพรรคเดโมแครตจึงพยายามส่งผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านการลงคะแนนเสียงของพรรคการเมืองผ่านการกระทบยอดงบประมาณ แต่พยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสมาชิก โจ แมนชิน แม้ว่าจำนวนเงินจะลดลงเหลือ 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ก็ตาม[54] ไบเดินมีส่วนร่วมในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2564 ไบเดินส่งเสริมข้อตกลงที่ให้สหรัฐและสหภาพยุโรปลดการปล่อยก๊าซมีเทนลงหนึ่งในสามภายใน พ.ศ. 2573 และพยายามเพิ่มประเทศอื่น ๆ หลายสิบประเทศเข้าร่วมในความพยายามนี้[55] โดยพยายามโน้มน้าวให้ประเทศใหญ่อย่างจีนและออสเตรเลียมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันมากขึ้น[56][57] เขาได้จัดการประชุมออนไลน์สำหรับประเทศเศรษฐกิจหลักด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อกดดันประเทศอื่น ๆ ให้เสริมสร้างนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของตน[58] ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 เมื่อคลื่นความร้อนโจมตีสหรัฐ ไบเดินได้ประกาศมาตรการหลายประการเพื่อปกป้องประชากร และกล่าวว่าคลื่นความร้อนมีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ[59] ประเด็นนโยบายภายในประเทศด้านอื่น ๆเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ฝ่ายบริหารของไบเดินประกาศว่าจะเพิ่มพื้นที่และระยะห่างบนชายแดนเม็กซิโก–สหรัฐ ในรัฐแอริโซนาใกล้กับเมืองยูมา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีทางเดินที่พลุกพล่านที่สุดสำหรับการข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมาย ในระหว่างการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ไบเดินให้คำมั่นที่จะยุติการก่อสร้างกำแพงชายแดนทั้งหมดในอนาคต ในช่วงฤดูร้อน พ.ศ. 2565 มีกฎหมายอื่น ๆ อีกหลายฉบับที่ไบเดินสนับสนุนผ่านสภาคองเกรส อาทิ กฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการปฏิรูปปืน ภายหลังเหตุกราดยิงที่โรงเรียนประถมศึกษาในเมืองยูแวลดี รัฐเท็กซัส บทบัญญัติควบคุมอาวุธปืนของพระราชบัญญัตินี้ประกอบด้วยการตรวจสอบประวัติเพิ่มเติมสำหรับผู้ซื้อปืนที่มีอายุต่ำกว่า 21 ปี การชี้แจงข้อกำหนดใบอนุญาตอาวุธปืนของรัฐบาลกลาง การให้เงินทุนสำหรับกฎหมายธงแดงของรัฐ และโครงการแทรกแซงในภาวะวิกฤตอื่น ๆ การกำหนดความผิดทางอาญาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการค้าอาวุธ[60] ไบเดินลงนามร่างกฎหมายเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2565[61] รัฐบัญญัติ Honoring our PACT พ.ศ. 2565 เปิดตัวใน พ.ศ. 2564 และลงนามในกฎหมายโดยไบเดินเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2565 พระราชบัญญัตินี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและเงินทุนสำหรับทหารผ่านศึกที่ได้รับสารพิษ รวมถึงการบาดเจ็บจากไฟในระหว่างการรับราชการ ร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับการรายงานข่าวจากสื่อจำนวนมาก เนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของนักแสดงตลกอย่าง จอน สจ๊วต[62] เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ไบเดินได้อภัยโทษให้กับชาวอเมริกันทุกคนที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานครอบครองกัญชาจำนวน "เล็กน้อย" ตามกฎหมายของรัฐบาลกลาง สองเดือนต่อมา เขาได้ลงนามในพระราชบัญญัติการสมรสเท่าเทียม ซึ่งยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันการสมรส และกำหนดให้รัฐบาลกลางต้องยอมรับความถูกต้องของการสมรสระหว่างเพศเดียวกันและการแต่งงานระหว่างเชื้อชาติ เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2565 ในการกล่าวสุนทรพจน์ในฟิลาเดลเฟียที่ออกอากาศทั่วประเทศ ไบเดินเรียกร้องให้มี "การต่อสู้เพื่อจิตวิญญาณของชาติ" เขาเรียกผู้สนับสนุนทรัมป์ว่า พวก "กึ่งฟาสซิสต์" ซึ่งถูกประนามโดยพรรคริพับลิกัน[63] นโยบายต่างประเทศในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 ไบเดินเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดี โดยประเทศแรก ๆ ได้แก่ เบลเยียม สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร เขายังเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม 7, การประชุมสุดยอดองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือในกรุงบรัสเซลส์ , ได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำแห่งสหภาพยุโรป รวมถึงการเข้าพบวลาดีมีร์ ปูติน[64] ไบเดินสนับสนุนกติกาสัญญาความมั่นคงไตรภาคีระหว่างประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐ ภายใต้กติกาสัญญานี้ สหรัฐและสหราชอาณาจักรตกลงที่จะช่วยเหลือออสเตรเลียในการพัฒนาและใช้งานเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ โดยเป็นการเพิ่มบทบาททางการทหารของชาติตะวันตกในภูมิภาคแปซิฟิก[65] ไบเดินให้ความร่วมมือในความตกลงโดฮา กองทัพสหรัฐเริ่มถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถานใน พ.ศ. 2563 กลุ่มตอลิบานเริ่มโจมตีเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม[66] ภายในต้นเดือนกรกฎาคม ทหารอเมริกันส่วนใหญ่ในอัฟกานิสถานได้ถอนกำลังออกไปแล้ว ไบเดินกล่าวถึงการถอนตัวในเดือนกรกฎาคมว่า "ความน่าจะเป็นที่กลุ่มตอลิบานจะยึดครองทุกสิ่งทุกอย่างและการเป็นเจ้าของทั้งประเทศนั้นไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง" การยึดกรุงคาบูล (พ.ศ. 2564) ภายใต้การรุกของกลุ่มตอลิบาน ส่งผลให้ประธานาธิบดีอัชราฟ ฆานีหลบหนีออกนอกประเทศ[67] ไบเดินตอบโต้ด้วยการสั่งการให้กองทัพสหรัฐส่งทหาร 6,000 นายช่วยเหลือการอพยพลเมืองชาวรอเมริกันและพลเรือนพันธมิตรในอัฟกานิสถาน[68] เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ไบเดินกล่าวยอมรับถึงสถานการณ์ที่ “วุ่นวาย” โดยรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และยอมรับว่าสถานการณ์ “คลี่คลายเร็วกว่าที่เราคาดไว้”[69] การโจมตีท่าอากาศยานในคาบูล พ.ศ. 2564 สังหารทหารสหรัฐจำนวน 13 ราย และชาวอัฟกัน 169 ราย เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม[70] เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม โดรนของสหรัฐเข้าโจมตีโจมตีบริเวณความไม่สงบ ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิต 10 ราย รวมถึงเด็ก 7 ราย ในทีแรก กระทรวงกลาโหมสหรัฐอ้างว่าการโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นจากฝีมือของมือระเบิดฆ่าตัวตายของกลุ่มไอเอสที่พยายามคุกคามสนามบินคาบูล ภายหลังได้ออกมายอมรับว่าการสังหารพลเรือนดังกล่าวเป็นความผิดพลาดอันน่าสลดใจ ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 หลังจากได้รับคำเตือนเป็นเวลาหลายสัปดาห์ว่าการโจมตีกำลังจะเกิดขึ้น ไบเดินเป็นผู้นำการตอบโต้ของสหรัฐต่อการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย โดยกำหนดมาตรการคว่ำบาตรอย่างรุนแรงต่อรัสเซีย และอนุญาตให้มีการขนส่งอาวุธมูลค่ากว่า 8 พันล้านดอลลาร์ไปยังยูเครน เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2565 ไบเดินขอเงินสนับสนุนจากสภาคองเกรสเป็นเงินจำนวน 33,000 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือยูเครน ต่อมาฝ่ายนิติบัญญัติได้เพิ่มงบประมาณเป็นประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์[71] เขากล่าวโทษปูตินสำหรับวิกฤตพลังงานและอาหารที่กำลังอุบัติขึ้น[72] โดยกล่าวว่า "สงครามของปูตินทำให้ราคาอาหารสูงขึ้นเพราะยูเครนและรัสเซียเป็นแหล่งผลิจและส่งออกข้าวสาลีและข้าวโพดรายใหญ่ของโลก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พื้นฐานสำหรับอาหารมากมายทั่วโลก"[73] เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 สี่วันก่อนวันครบรอบการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย ไบเดินไปเยือนเคียฟ และเข้าพบกับประธานาธิบดีวอลอดือมือร์ แซแลนสกึย และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งออแลนา แซแลนสกา[74] ไบเดินให้คำมั่นแก่ยูเครนว่าจะสนับสนุนด้านกำลังทหารและอาวุธแก่ยูเครนมากขึ้น พร้อมทั้งประณามการกระทำของปูตินและรัสเซีย ความกล้าหาญของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมหาสมุทรแปซิฟิก ยังคงเป็นความท้าทายสำหรับไบเดิน สนธิสัญญาความมั่นคงแห่งหมู่เกาะโซโลมอน-จีนทำให้เกิดความตื่นตระหนก เนื่องจากจีนสามารถสร้างฐานทัพทหารทั่วแปซิฟิกใต้ ไบเดินพยายามกระชับความสัมพันธ์กับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์หลังจากข้อตกลงดังกล่าว ในขณะที่แอนโทนี แอลบานีส ประสบความสำเร็จในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย และรัฐบาลของจาซินดา อาร์เดิร์น ก็ยึดแนวทางอิทธิพลของจีนที่เข้มงวดมากขึ้น[76] ในการให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 ไบเดินกล่าวว่ากองกำลังสหรัฐจะปกป้องไต้หวันในกรณีที่ชาวจีน "โจมตีอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน" ซึ่งตรงกันข้ามกับนโยบายของสหรัฐที่มีมายาวนานในเรื่อง "ความคลุมเครือทางยุทธศาสตร์" ที่มีต่อ จีนและไต้หวัน[77][78] ความคิดเห็นในเดือนกันยายนนี้ เกิดขึ้นหลังจากความคิดเห็นสามครั้งก่อนหน้าของไบเดินที่ว่าสหรัฐจะปกป้องไต้หวันในกรณีที่มีการรุกรานของจีน[79] แม้ความสัมพันธ์กับจีนจะกลับสู่ภาวะตึงเครียด ทว่าไบเดินและรัฐมนตรีไม่มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนแปลงจุดยืนในการสนับสนุนไต้หวัน[80] ในช่วงปลาย พ.ศ. 2565 ไบเดินได้ออกคำสั่งผู้บริหารและกฎเกณฑ์ของรัฐบาลกลางหลายฉบับเพื่อชะลอการเติบโตทางเทคโนโลยีของจีน และรักษาความเป็นผู้นำของสหรัฐในด้านคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีชีวภาพ และพลังงานสะอาด[81] การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2567ใน พ.ศ. 2566 หลังจากการคาดเดาเป็นเวลาหลายเดือน[82][83] ไบเดินประกาศว่าเขาจะลงสมัครรับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งเมื่อวันที่ 25 เมษายน โดยมีแฮร์ริสเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีอีกครั้ง[84] อย่างไรก็ตามในการโต้อภิปรายระหว่างเขากับดอนัลด์ ทรัมป์ ในเดือนมิถุนายนปีถัดมา ไบเดินกลับถูกมองว่าทำผลงานได้ย่ำแย่[85][86][87] สมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคนขอให้เขาถอนตัว[88] ในตอนแรกไบเดินยืนกรานว่าเขาจะยังคงเป็นผู้สมัครต่อไป[89] แต่ที่สุดในวันที่ 21 กรกฎาคม เขาประกาศถอนตัวจากการลงเลือกตั้ง และสนับสนุนแฮร์ริสเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแทนเขา[90] ไบเดินเป็นประธานาธิบดีสหรัฐที่ยังดำรงตำแหน่งในสมัยที่หนึ่งคนแรกที่ไม่ลงสมัครในสมัยที่สอง นับตั้งแต่ลินดอน บี. จอห์นสัน และเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ถอนตัวหลังจากชนะการเลือกตั้งขั้นต้นแล้ว[91][92] อ้างอิง
|