เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
เจ้าพระยาพระคลัง (พ.ศ. 2290 – พ.ศ. 2348) นามเดิมว่า หน เป็นเสนาบดีกรมคลังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นเป็นกวีคนสำคัญคนหนึ่งในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ประวัติเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นบุตรของเจ้าพระยาสุรบดินทร์สุรินทร์ฦๅไชย (บุญมี)[1] เจ้าเมืองกำแพงเพชรในสมัยกรุงธนบุรี ซึ่งเป็นต้นสกุล"บุญ-หลง" มารดาคือท่านผู้หญิงเจริญ เกิดเมื่อใดไม่ปรากฏ เข้าใจว่าเกิดในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ราวปี พ.ศ. 2290[2]: 14 เจ้าพระยาสุรบดินทร์ฯ (บุญมี) นั้น เป็นบุตรของพระยาเพชรบุรี (เรือง)[1] เจ้าเมืองเพชรบุรีในช่วงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ซึ่งมีเชื้อสายจีน[1] พระยาเพชรบุรี (เรือง) เป็นพระญาติของกรมพระเทพามาตย์ (นกเอี้ยง)[1] พระราชมารดาในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ในพ.ศ. 2309 สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์มีพระราชโองการให้พระยาตาก (สิน) และพระยาเพชรบุรี (เรือง) ยกออกไปตั้งที่วัดใหญ่ชัยมงคลเพื่อสกัดทัพเรือพม่า พระยาเพชรบุรี (เรือง) ถูกพม่าล้อมและถูกสังหารถึงแก่กรรมในที่รบ นอกจากนี้ พระยาเพชรบุรี (เรือง) ยังมีบุตรอีกคนคือเจ้าพระยาพิชัยราชา[1] ซึ่งเป็นพี่น้องของเจ้าพระยาสุรบดินทร์ฯ (บุญมี) และเป็นแม่ทัพผู้มีบทบาทสำคัญในสมัยธนบุรี เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ปรากฏรับราชการครั้งแรกในสมัยธนบุรีเป็นหลวงสรวิชิต[3] นายด่านเมืองอุทัยธานี ในพ.ศ. 2318 สงครามอะแซหวุ่นกี้ สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชโองการตั้งกองคอยรักษาเส้นทางเสบียงที่นครสวรรค์โดยมีหลวงสรวิชิต (หน) เป็นกองหน้า[4] ในเหตุการณ์กบฏพระยาสรรค์เมื่อสิ้นสุดยุคกรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพออกไปตีเมืองกัมพูชา ได้มอบหมายให้พระสุริยอภัย (ทองอิน ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์) ยกทัพจากนครราชสีมาเข้ามาระงับเหตุที่ธนบุรี หลวงสรวิชิต (หน) ได้ช่วยเหลือพระสุริยอภัย และได้ส่งหนังสือออกไปแจ้งข่าวเหตุการณ์ในธนบุรีแก่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกที่ด่านพระจารึก[1] เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพกลับมายังธนบุรีหลวงสรวิชิต (หน) เดินทางออกไปรับสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกที่ทุ่งแสนแสบ[4] พ.ศ. 2325 เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงแต่งตั้งพระยาพิพัฒโกษา (สน) เป็นพระยาพระคลัง และทรงแต่งตั้งหลวงสรวิชิต (หน) เป็นพระยาพิพัฒโกษา ปลัดทูลฉลองกรมคลัง ดังปรากฏในคำปรึกษาตั้งข้าราชการว่า;
ต่อมาในปีเดียวกัน[4] พระยาพระคลัง (สน) เดินทางออกไปส่งสำเภาหลวงที่สมุทรปราการ กราบทูลขอบายศรีศีรษะสุกร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯรับสั่งว่าพระยาพระคลัง (สน) นั้นเลอะเลือน[3] จึงมีพระราชโองการให้ถอดพระยาพระคลัง (สน) ออกจากตำแหน่งลงเป็นพระยาศรีอัครราช ช่วยราชการกรมท่า แล้วทรงแต่งตั้งพระยาพิพัฒโกษา (หน) ขึ้นเป็นพระยาพระคลัง เสนาบดีกรมคลัง ลำดับที่สองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในพ.ศ. 2328 สงครามเก้าทัพ พระยาพระคลัง (หน) และพระยาอุไทยธรรม (บุนนาค) ได้ติดตามพระเจ้าหลานเธอ กรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ เสด็จยกทัพไปตั้งรับพม่าทางด้านเหนือ[5] พระยาพระคลัง (หน) ยกทัพไปตั้งที่ชัยนาท เพื่อรับทัพพม่าที่มาทางเมืองระแหง (ตาก) ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯมีพระราชโองการให้พระเจ้าหลานเธอ กรมหลวงเทพหริรักษ์ พร้อมทั้งพระยาพระคลัง (หน) เสด็จยกทัพไปตั้งรับพม่าที่กำแพงเพชร กรมหลวงเทพหริรักษ์มีพระบัญชาให้พระยาพระคลัง (หน) ยกเป็นทัพหน้าไปรบกับพม่าที่เมืองตาก แต่ทัพพม่าที่ตากนั้นล่าถอยกลับไปก่อน[5] พ.ศ. 2330 สงครามตีเมืองทวาย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จยกทัพไปตีเมืองทวายทางด่านวังปอ เมืองกลิอ่อง พระยาพระคลัง (หน) เป็นเกียกกายทัพ[5] ต่อมาในช่วงปลายรัชกาลที่ 1 พระยาพระคลัง (หน) ได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาพระคลัง เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ถึงแก่อสัญกรรมในรัชกาลที่ 1 เมื่อปีฉลู พ.ศ. 2348[3] ซึ่งในปีเดียวกันนั้นมีเจ้าพระยากรุงรัตนโกสินทร์ถึงแก่อสัญกรรมสามคนคือ เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) และเจ้าพระยาพระคลัง (หน)[3] เจ้าพระยาพระคลัง (หน) มีบุตรมาก แต่ไม่ได้รับราชการ[3] บุตรชายที่ปรากฏได้แก่ นายเกตและนายพัด ซึ่งเป็นกวีและครูพิณพาทย์ ธิดาที่ปรากฏได้แก่ เจ้าจอมมารดานิ่มในรัชกาลที่ 2 (พระมารดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร) และเจ้าจอมพุ่มในรัชกาลที่ 2 เจ้าพระยาพระคลัง (หน) มีพี่ชายชื่อ ชิด เป็นที่หลวงสรวิชิต ต่อมาเป็น พระสุวรรณภักดี มีเหลนชื่อพระหมายมั่นราชกิจสุรฤทธิฤๅไชย (ชุ่ม) เป็นต้นสกุล หมายมั่น[6] สืบลงมาทางพระศรีราชอักษร์ (แช่ม) บุตร และพระยาพิทักษนคราธำรง (มั่น) พอกรุงแตกย้ายไปอยู่อุบลราชธานี และมีน้องชายชื่อ หลง ต่อมาเป็น พระยาพิไชยบุรินทรา ต่อมาได้เป็น เจ้าพระยาพลเทพ (หลง) รับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นสกุล"บุญ-หลง" ผลงานประพันธ์ในสมัยธนบุรี
ประพันธ์ในสมัยรัตนโกสินทร์
ยศและบรรดาศักดิ์
ตำแหน่งราชการ
อ้างอิง
|