เจ้าลำเจียก ณ ลำพูน
เจ้าลำเจียก ณ ลำพูน หรือ หม่อมลำเจียก เกษมสันต์ ณ อยุธยา (11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2442 – 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2503) เป็นธิดาของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้าย และเป็นหม่อมในหม่อมเจ้าเกียรติประวัติ เกษมสันต์ พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ มีชื่อเสียงในฐานะผู้บุกเบิกการทอผ้าไหมยกดอกลำพูน ประวัติเจ้าลำเจียกเกิดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2442 ที่คุ้มหลวงเก่า ถนนวังชวา นครลำพูน เป็นธิดาคนโตจากทั้งหมดแปดคนของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เกิดแต่เจ้าขานแก้ว ณ ลำพูน ชายาองค์แรก ครอบครัวฝั่งเจ้ายายสืบเชื้อสายจากเจ้าน้อยขัติยะ เจ้าผู้ครองนครตาก[1] นอกจากนี้เจ้าลำเจียกยังสืบเชื้อสายราชวงศ์จักรีจากเจ้ารถแก้วในสายราชสกุลอิศรเสนา[2][ก] และสืบเชื้อสายกะเหรี่ยงแดงจากเจ้าโก๊ะ ธิดาเจ้าฟ้ารัฐกันตรวดี เมื่อนับจากฝั่งบิดา[3] เจ้าลำเจียกสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนวิทยานิคมในจังหวัดลำพูน[4] จนสำเร็จการศึกษาใน พ.ศ. 2458 เจ้าลำเจียกมีรุ่นน้องคนหนึ่งในโรงเรียน คือ เจ้ายอดเรือน ตุงคนาคร เรียนรุ่นเดียวกันกับเจ้าวรรณรา น้องสาว เจ้าลำเจียกมีความสนิทสนมชอบพอกันกับเจ้ายอดเรือนมาก จึงชวนให้มาอยู่ที่คุ้มหลวงด้วยกันเมื่อเจ้ายอดเรือนมีอายุได้ 13 ปี ในเวลาต่อมาเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ได้ทำการสู่ขอเจ้ายอดเรือนเป็นชายาใน พ.ศ. 2463[5] เจ้าลำเจียกสมรสกับหม่อมเจ้าเกียรติประวัติ เกษมสันต์ พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ เมื่อ พ.ศ. 2472[4] จึงย้ายไปอาศัยร่วมกันกับสามีที่จังหวัดพระนคร[6] เจ้าลำเจียกมีธิดาเพียงคนเดียวกับสามี คือ หม่อมราชวงศ์ภาณีพิจิตร ชุณหะมาน[4][6] ในช่วงบั้นปลายเจ้าลำเจียกมีปัญหาสุขภาพเพิ่มขึ้น จึงย้ายกลับไปอาศัยที่จังหวัดลำพูนซึ่งเป็นมาตุภูมิ และเปิดโรงทอผ้าไหมยกดอกขึ้นที่นั่น[4][6] เจ้าลำเจียกป่วยด้วยความดันโลหิตสูงตั้งแต่ พ.ศ. 2495 กระทั่ง พ.ศ. 2501 เจ้าลำเจียกมีอาการเส้นเลือดในสมองแตกทำให้เป็นอัมพาต จึงอยู่ภายใต้การดูแลจากคณะแพทย์อย่างใกล้ชิด จนกระทั่งเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2503 สิริอายุ 60 ปี[4] การทำงานเจ้าลำเจียกมีบทบาทด้านการเรือนภายในคุ้มหลวงอยู่มากในฐานะที่เป็นธิดาคนโตของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ ดังปรากฏในหนังสือจดหมายเหตุของสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวเสด็จตรวจราชการมณฑลพายัพ เมื่อ พ.ศ. 2463 ความว่า "...มีบุตรสาวของเจ้าผู้ครองนครจังหวัดชื่อลำเจียกคนหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่แม่บ้านคล้ายกับเจ้าศรีนวลบุตรสาวเจ้าลำปาง กับมีบุตรสาวคนเล็กอีกคนหนึ่งซึ่งยังสาว ชายาเป็นชายาคนใหม่ เป็นคนสาวเท่ากับบุตรสาวคนเล็ก ดูท่าทางแกออกจะเกณฑ์ให้เป็นเด็กฟังบังคับบัญชา บุตรสาวคนใหญ่คือเจ้าลำเจียกนั้นเสมอ..."[5] ก่อนหน้านี้เจ้าดารารัศมี พระราชชายา ซึ่งเป็นเจ้าหญิงนครเชียงใหม่ที่เสด็จลงไปรับราชการฝ่ายในที่กรุงเทพมหานคร ทรงสนพระทัยการทอผ้า และคิดประดิษฐ์ลวดลายการทอผ้าใหม่ ๆ[7] โดยได้รับอิทธิพลมาจากสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ที่ทรงสันทัดด้านการเขียนลายผ้าทอยกดอกเป็นจำนวนมาก[6] เจ้าดารารัศมีคิดนำรูปแบบมาจากผ้ายกทองของราชสำนักกรุงเทพฯ มาประยุกต์เป็นซิ่นผ้าไหมแบบภาคเหนือ เดิมมีไว้ใช้ส่วนพระองค์เป็นสำคัญ แต่ต่อมาได้ถ่ายทอดกรรมวิธีแก่เจ้าส่วนบุญ ชายาองค์ที่สามของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ และเจ้าลำเจียก พระธิดาคนโตของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ ก่อนนำไปเผยแพร่แก่คนในคุ้ม แล้วแพร่กระจายไปยังชุมชนชาวยอง เกิดเป็นลวดลายผ้าที่สวยงามและประณีตยิ่งขึ้นไป[7] เจ้าลำเจียกเป็นผู้บุกเบิกการทำผ้าไหมยกดอก ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในนครลำพูน การทอผ้าไหมเกิดขึ้นครั้งแรกที่คุ้มธิดาเจ้าหลวงของเจ้าลำเจียก[6] ส่วนตัวเจ้าลำเจียกเองมีความสามารถในการประดิษฐ์ลวดลายการทอผ้ายกได้อย่างวิจิตรงดงาม แปลกตากว่าผู้อื่น จนเป็นที่เลื่องลือเรื่อยมา[4] หลังเจ้าลำเจียกได้กลับมาอาศัยอยู่ที่จังหวัดลำพูนเนื่องจากปัญหาสุขภาพ[6] ก็ได้ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมทอผ้า และประกอบอาชีพนี้เรื่อยมาจนกระทั่งสิ้นชีวิต[4] โดยมีหม่อมราชวงศ์ภาณีพิจิตรสืบทอดกิจการอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำตลอด[6] เจ้าลำเจียกจึงได้ฝากฝังให้จิตต์จง ณ ลำพูน และเจ้าพงศ์แก้ว ณ ลำพูน ซึ่งเจ้าพงศ์แก้วยินดีสืบทอดการทอผ้าไหมยกดอกต่อจากเจ้าลำเจียก[6] นอกจากผ้าไหมยกดอกที่เลื่องชื่อแล้ว เจ้าลำเจียกทอผ้าพันคอที่ทำจากเส้นฝ้ายแจกจ่ายแก่ลูกหลานทุกฤดูหนาว[6] ความสนใจเจ้าลำเจียกมีความสนใจและฝักใฝ่ในศาสนาพุทธ ด้วยมีศรัทธาในการอุปสมบทพระภิกษุและสามเณรอยู่เนืองนิตย์[4] ลำดับสาแหรก
อ้างอิง
ก ใน อนุสรณ์ในงานเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพ หลวงพิสูจน์พาณิชยลักษณ์ (หม่อมหลวงเพิ่มยศ อิศรเสนา) ระบุว่าหม่อมเจ้าสัตบุศ อิศรเสนา มีโอรส 4 องค์ และธิดา 7 องค์ เกิดแต่หม่อมสองท่าน ซึ่งไม่มีนามของเจ้ารถแก้วอยู่แต่อย่างใด[9]
|