ธิษะณา ชุณหะวัณ
ธิษะณา ชุณหะวัณ (เกิด 21 ตุลาคม พ.ศ. 2534) เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขต 2 สังกัดพรรคก้าวไกล ภายหลังการได้รับเลือกตั้งครั้งแรกในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566[1] ต่อมาหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคก้าวไกล จึงได้มาสังกัดพรรคประชาชน[2] ประวัติธิษะณา ชุณหะวัณ เกิดวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2534 เป็นธิดาของไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ธิษะณามีศักดิ์เป็นเหลนของจอมพลผิน ชุณหะวัณ อดีตผู้บัญชาการทหารบกและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเป็นหลานสาวของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี เธอมีน้องสาวหนึ่งคน[3] ด้านชีวิตส่วนตัว ธิษะณาได้หย่ากับคู่สมรส เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2566 และมีบุตร 1 คน [4] ธิษะณา สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ในสาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและกิจการทั่วโลก จากวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล และระดับปริญญาโท ในสาขาวิชากฎหมายมหาชนนานาชาติ ด้านสิทธิมนุษยชน (MA in Public International Law, Human Rights concentration) จากวิทยาลัยบูรพคดีศึกษาและการศึกษาแอฟริกา มหาวิทยาลัยลอนดอน (SOAS university of London)[5] ในส่วนของประสบการณ์ทำงาน ธิษะณา เคยเป็นผู้ช่วยนักการทูต (internship) กองการเมืองและความมั่นคง กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ และผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม “รัฐธรรมนูญก้าวหน้า (CONLAB)" รณรงค์ให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2565 ได้ดำรงตำแหน่งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น[5] รวมถึงเคยทำงานในองค์ไม่แสวงหากำไรหรือมูลนิธิ โดยทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ทีมหุ้นส่วนและทีมสื่อสารองค์กรนานาชาติฟรีแลนด์ (Freeland Foundation) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรด้านการต่อต้านการลักลอบการค้ามนุษย์และสัตว์ป่า อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเลขานุการคณะกรรมการมูลนิธิการศึกษาเพื่อการพัฒนา อันเป็นองค์กรที่ทำงานด้านการศึกษาและการพัฒนาผู้ลี้ภัยและแรงงานข้ามชาติ อยู่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เมื่อปี พ.ศ. 2564 ธิษะณาถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงต่อผู้ร่วมชุมนุมเสื้อแดง ในช่วงปี พ.ศ. 2553 และการมีส่วนร่วมในการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ซึ่งธิษะณาได้ออกมายอมรับและขอโทษต่อการกระทำที่ผ่านมา โดยกล่าวว่าเป็นการขอโทษในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่ผิดพลาดของตนเองในอดีต[6] สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 ธิษะณาได้ลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคก้าวไกล ในเลือกตั้งที่เขต 2 (เขตราชเทวี เขตปทุมวัน เขตสาธร) กรุงเทพมหานคร และได้รับหมายเลข 13[7][8] เนื่องจากพรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่มีอุดมการคล้ายกับของตน[3] อย่างไรก็ตาม ธิษะณาค่อนข้างมีความกังวลในการเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นลงสมัครรับการเลือกตั้งครั้งแรก ยังไม่ผลงาน ประกอบกับการมาจากครอบครัวชุณหะวัณซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นกลุ่มการเมืองเก่า[9] ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าธิษะณาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 2 กรุงเทพมหานคร ด้วยคะแนนเสียง 41,148 คะแนน (44.63%)[1][10] ข้อวิจารณ์ในการทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 26 ระหว่างการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2567 ขณะที่ธิษะณากำลังอภิปรายงบประมาณของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้อ่านตัวเลขงบประมาณผิดหลายครั้ง จนนายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แต่งกลอนให้ในทวิตเตอร์ (X) ของตนว่า "ตัวเลขมันอ่านยาก แสนลำบากไม่อยากเห็น เกิดมาไม่เคยเป็น ไม่เคยเห็นเช่นนี้เลย ปวดหัวค่ะ ?" [11] ซึ่งธิษะณาได้ออกมายอมรับความผิดพลาดของตน โดยให้เหตุผลว่าพักผ่อนน้อย นอนไม่หลับเพราะอาการซึมเศร้า จากการสูญเสียผู้ช่วยของตน[11] ต่อมาในการแถลงนโยบายของรัฐบาลแพทองธาร เมื่อวันที่ 12-14 กันยายน พ.ศ. 2567 ธิษะณาได้อภิปรายในมุมที่เห็นอกเห็นใจชาวเมียนมาร์ที่หนีภัยการสู้รบภายในประเทศเมียนมาร์ เข้ามาในประเทศไทย ควรมีการรับรองอย่างเป็นระบบ เช่น การศึกษาให้เด็กข้ามชาติ รวมถึงการอนุญาตให้ใบอนุญาตชั่วคราวบุคคลกรทางการแพทย์ของเมียนมาร์ ให้เข้ามารักษาเมียนมาร์ในไทย[12] จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในทวิตเตอร์ (X) ผ่านทางแฮชแท็ก "#พรรคประชาชนพม่า" ว่าควรช่วยให้เหมาะสม ไม่กลายมาเป็นภาระของประเทศมากเกินไป[12] จนกระทั่งพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน ได้ให้สัมภาษณ์เพื่ออธิบายกรณีดังกล่าวว่า แม้ประเด็นดังกล่าวจะเป็นประเด็นละเอียดอ่อนและกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนจำนวนไม่น้อย แต่ยืนยันว่าแนวทางของพรรคประชาชน คือ ปัญหาต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนจะต้องหยิบขึ้นมาพูดคุยกันตรงไปตรงมา แม้ว่าจะมีความละเอียดอ่อน โดยการอภิปรายในประเด็นนี้เกิดจากการที่ปัจจุบันไทยมีแรงงานเมียนมาอยู่กว่า 6 ล้านคน ซึ่งเกินครึ่งไม่ได้อยู่ในระบบที่ถูกต้องตามกระบวนการกฎหมาย เกิดปัญหาทุจริตคอรัปชั่น และภาครัฐไม่มีฐานข้อมูลในการบริหารจัดการ ทำให้กำกับดูแลยากขึ้น เพื่อให้บริหารจัดการปัญหานี้อย่างตรงจุด จะต้องดึงแรงงานเมียนมานอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบกฎหมายอย่างถูกต้อง[13] อีกส่วนหนึ่งได้มีการนำเสนอสืบเนื่องมาจากการอภิปรายของธิษะณาถึงข้อดี-ข้อเสียเกี่ยวกับการให้สวัสดิการแก่แรงงานเมียนมาร์[14] ต่อมาในช่วงปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 ธิษะณายังถูกวิจารณ์เนื่องจากมี สส. อีกคนหนึ่งบันทึกภาพเธอขณะกำลังสูบบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งยังไม่มีกฎหมายรองรับในทุกกรณี ถึงแม้จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ จะระบุว่าเธอสูบบุหรี่ในเขตสูบบุหรี่ที่สัปปายะสภาสถานจัดไว้ให้ก็ตาม[15] จากข้อวิจารณ์ทั้ง 3 ข้อข้างต้น ส่งผลให้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาให้ฉายาเธอเป็น "ดาวดับ" ประจำปี พ.ศ. 2567 ร่วมกับพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ[16] เครื่องราชอิสริยาภรณ์
ลำดับสาแหรก
อ้างอิง
|