มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกคือมะเร็งที่เกิดขึ้นจากปากมดลูก[2] ในเนื้อมะเร็งจะมีเซลล์ที่เจริญผิดปกติและสามารถรุกรานอวัยวะข้างเคียงหรือแพร่กระจายไปส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้[12] ในระยะแรกมักไม่มีอาการ[2] เมื่อลุกลามมากขึ้นอาจมีอาการเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ปวดอุ้งเชิงกราน ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์[2] และเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์ได้[13] สาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกราว 90% เกิดจากการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนปาปิลโลมา หรือ ไวรัสเอชพีวี[5][6] แต่ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดมะเร็ง[3][14] ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ การสูบบุหรี่ ภูมิคุ้มกันต่ำ การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย และการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคน ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้มีผลน้อยมากเมื่อเทียบกับการติดไวรัส[2][4] ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีรอยโรคก่อนเป็นมะเร็งที่ค่อยๆ ใช้เวลาราว 10-20 ปีก่อนที่จะพัฒนากลายเป็นมะเร็ง[3] มะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่ประมาณ 90% เป็นมะเร็งชนิดเซลล์สความัส อีกประมาณ 10% เป็นมะเร็งชนิดเซลล์ต่อม และยังมีชนิดอื่นๆ อีกเล็กน้อย[4] การวินิจฉัยทำได้โดยการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและตามด้วยการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ[2] หลังจากนั้นจึงใช้การตรวจภาพรังสีทางการแพทย์เพื่อประเมินว่ามะเร็งลุกลามไปหรือไม่เพียงใด[2] มีวัคซีนเอชพีวีสามารถป้องกันเชื้อไวรัสได้ 2-7 สายพันธุ์ แล้วแต่ชนิด โดยสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้เกือบ 90%[9][15][16] ทั้งนี้แม้รับวัคซีนนี้แล้วก็ยังมีโอกาสเกิดมะเร็งได้อยู่ จึงยังคงแนะนำให้เข้ารับการตรวจคัดกรองตามรอบเช่นเดิม[9] การป้องกันวิธีอื่นๆ อาจทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคน และการใช้ถุงยางอนามัย[8] การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการทดสอบแปปหรือการตรวจด้วยกรดอะซิติกสามารถตรวจพบรอยโรคก่อนเป็นมะเร็งได้ เมื่อได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะนี้ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งได้[17] การรักษาอาจทำได้โดยการผ่าตัด การใช้ยาเคมีบำบัด การใช้รังสี หรือหลายวิธีประกอบกัน[2] อัตรารอดชีวิตที่ห้าปีในสหรัฐอยู่ที่ 68%[18] อย่างไรก็ดีผลลัพธ์ของการรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็งขณะที่วินิจฉัยได้[4] ข้อมูลจากทั่วโลกพบว่ามะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับ 4 ในบรรดามะเร็งทั้งหมด และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งในสตรีที่พบบ่อยเป็นอันดับ 4[3] ในปี พ.ศ. 2555 มีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ประมาณ 528,000 คน และมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกประมาณ 266,000 คน[3] คิดเป็น 8% ของผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งทุกชนิดรวมกัน[19] ผู้ป่วย 70% และผู้เสียชีวิต 90% อยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา[3][20] โรคนี้ยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งอันดับต้นๆ ในประเทศที่มีรายได้ต่ำ[17] ในขณะที่ในประเทศพัฒนาแล้วซึ่งมีโครงการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างทั่วถึงจะมีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกลดลงมาก[21] สาเหตุของมะเร็งปากมดลูกการเกิดมะเร็งปากมดลูก มีปัจจัยหลายอย่างที่มีความสัมพันธ์ที่อาจจะทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกขึ้นได้ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย, มีบุตรมาก, มีประวัติเป็นกามโรค เป็นต้น แต่จากสถิติและการศึกษาค้นคว้าพบว่า มะเร็งปากมดลูกมีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมาหรือเชื้อเอชพีวี (Human papilloma virus – HPV ) บริเวณอวัยวะเพศ โดยเฉพาะที่บริเวณปากมดลูก (รวมทั้งอวัยวะเพศภายนอก) แม้การติดเชื้อไวรัส HPV ที่ปากมดลูกเป็นสาเหตุที่พบมากที่สุดในการเกิดมะเร็งปากมดลูก โครงสร้างของปากมดลูกมดลูกเป็นอวัยวะที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเป็นผนังหนา ซึ่งเป็นที่ฟูมฟักการเจริญเติบโตของทารกช่วงที่อยู่ในครรภ์ โดยปกติจะมีขนาดยาว 3 นิ้ว รูปร่างคล้ายลูกแพร์ หรือ ชมพู่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 –3 นิ้ว ที่บริเวณช่วงบนมีปากมดลูกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ระหว่างตั้งครรภ์มดลูกจะขยายใหญ่ออก มดลูกแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ ตัวมดลูก (body) และปากมดลูก หรือคอมดลูก บริเวณรอยต่อของทั้งสองส่วนคือ อิสธ์มัส (isthmus) ปากมดลูกจะไม่ไวต่อผิวสัมผัส แต่จะไวต่อการกดบริเวณปากมดลูกจะมีช่องเปิดเรียกว่า ช่องปากมดลูก (os) ภายในโพรงมดลูกจะกว้างแตกต่างกันในแต่ละส่วน ผนังมดลูกมี 3 ชั้น ชั้นนอกมีลักษณะบาง เรียกว่า เพอริมีเทรียม (perimetrium) ส่วนกลางเป็นกล้ามเนื้อที่หนา เรียกว่า มัยโอมีเทรียม (myometrium) และชั้นในมีเส้นเลือดและต่อมอยู่มากมาย เรียกว่า เอ็นโดมีเทรียม (endometrium) ผนังมดลูกชั้นในนี้เป็นส่วนสำคัญในการมีประจำเดือนและการเจริญเติบโตของตัวอ่อน (embryo) มะเร็งในระยะเริ่มแรกเซลล์ที่ประกอบเป็นปากมดลูกจะประกอบไปด้วยเซลล์ squamous cells and glandular มะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่จะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ทั้งสองชนิด การเปลี่ยนแปลงของเซล์จะค่อยเปลี่ยนจนเกิดเป็นลักษณะที่เรียกว่า Precancerous ซึ่งมีด้วยกัน คือ cervical intraepithelial neoplasia (CIN), squamous intraepithelial lesion (SIL), and dysplasia.
มะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่เป็นชนิด Squamous cell ประมาณร้อยละ 80%ถึง 90% ส่วนที่เหลือประมาณร้อยละ 20 จะเป็นชนิด Adenocarcinomas การเปลี่ยนแปลงจาก Precancerous เป็นมะเร็งใช้เวลาเป็นปี การรักษาตั้งแต่ยังไม่เป็นมะเร็งจะป้องกันมิให้เกิดมะเร็ง การตรวจมะเร็งแรกเริ่มเป้าหมายของการค้นหามะเร็งเริ่มแรกคือการค้นหาการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ ก่อนที่จะเกิดอาการของโรค การวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูกแรกเริ่มโดยมากมาจากการตรวจปากมดลูกประจำปี ในการตรวจภายในแพทย์ จะตรวจ มดลูก ช่องคลอด ท่อรังไข่ รังไข่ หลังจากนั้นแพทย์จะใช้อุปกรณืถ่างช่องคลอดเพื่อทำ pap smear ช่วงที่เหมาะสมในการตรวจภายในคือ10-20 วันหลังประจำเดือนวันแรก และก่อนการตรวจ 2 วันไม่ควรสวนล้าง ยาฆ่า sperm หรือยาสอด ปัจจุบันการรายผลจะใช้ Low หรื High grade SIL มากกว่า class1-5 แต่อย่างไรก็ตามควรให้แพทย์อธิบายผลให้ฟังอย่างละเอียด ผู้หญิงวัยเจริญพันธ์ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไปควรตรวจภายในประจำปี อาการของมะเร็งปากมดลูกมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกจะไม่มีอาการอะไร แต่เมื่อเป็นมะเร็งแล้วจะมีอาการเลือดออกหลังจากการตรวจภายใน หรือหลังร่วมเพศ หรือมีตกขาว
มะเร็งปากมดลูกแบ่งออกเป็น 5 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 0 – เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งยังไม่กระจายตัว มีวิธีรักษามะเร็งปากมดลูกระยะที่ 0 คือการผ่าตัดเล็ก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 15 นาที และตรวจร่างกายติดตามอาการต่อไป การรักษาในระยะนี้ได้ผลเกือบ 100% ระยะที่ 1 – เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งอยู่ที่ปากมดลูกแล้ว การรักษามะเร็งปากมดลูกในระยะที่ 1 คือการผ่าตัดใหญ่ เป็นการผ่าตัดมดลูก เลาะต่อมน้ำเหลืองในเชิงกราน ผลการรักษาได้ผลดีถึง 80% ระยะที่ 2 – เซลล์มะเร็งกระจายออกจากปากมดลูกโดยยังไม่ได้ลุกลามไปไกลมาก แต่ก็ไม่สามารถผ่าตัดได้แล้ว การรักษา มะเร็งปากมดลูกในระยะที่ 2 นี้ ต้องทำการรักษาด้วยการฉายรังสี และการให้เคมีบำบัด (คีโม) ระยะที่ 3 – ระยะที่เซลล์มะเร็งกระจายชิดเชิงกราน การรักษาในระยะที่ 3 คือใช้รังสีรักษา และการให้เคมีบำบัดเช่นเดียวกันระยะที่ 2 แต่การรักษาระยะนี้จะได้ผลเพียงประมาณ 20 – 30% เท่านั้นค่ะ ระยะที่ 4 – เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งกระจายทั่วร่างกายแล้ว การรักษามะเร็งปากมดลูกในระยะที่ 4 ยังคงเป็นการให้คีโม และรักษาตามอาการเท่านั้น โดยหวังผลได้เพียงประมาณ 5-10% และมีโอกาสรอดน้อยมาก แต่ก็ไม่แน่มีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกบางรายสามารถอยู่ต่อได้นานถึง 1 – 2 ปี แล้วจึงเสียชีวิต ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูกปัจจัยเสี่ยงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงใดใดที่เกิดขึ้นแล้วทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น มะเร็งแต่ละชนิดจะมีปัจจัยเสี่ยงต่างกัน ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลุกได้แก่
การวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูกจากการทำการตรวจปากมดลูก pap test ทำให้ทราบว่ามีเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูกแพทย์จะทำการตรวจ Colposcopy โดยการส่องกล้องแล้วเอา iodine ป้ายบริเวณปากมดลูก เซลล์ปกติจะเป็นสีน้ำตาล ส่วนเซลล์ผิดปกติจะเป็นสีขาวหลังจากนั้นแพทย์จะเอาชิ้นเนื้อปากมดลูกไปตรวจซึ่งมีวิธีตรวจต่างๆตามแต่แพทย์จะเห็น การรักษามะเร็งปากมดลูกวิธีการรักษามะเร็งปากมดลูกขึ้นกับระยะของมะเร็ง ความต้องการมีบุตรของผู้ป่วย และโรคทางนรีเวชอื่น ๆ ที่เป็นร่วมด้วย การรักษาในระยะก่อนเป็นมะเร็งหรือระยะก่อนลุกลาม มีวิธีการติดตามและรักษาได้หลายวิธี ได้แก่ การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า การจี้ปากมดลูกด้วยความเย็น การจี้ด้วยเลเซอร์ การตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยด้วยมีด หลังจากนั้นควรตรวจติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยการตรวจภายในและทำแปปสเมียร์ หรือตรวจด้วยกล้องขยาย ทุก 4 – 6 เดือน โดยรอยโรคขั้นต่ำบางชนิดสามารถหายไปได้เองภายใน 1 – 2 ปี การรักษามะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม การเลือกวิธีรักษาขึ้นกับโรคประจำตัวของผู้ป่วย ระยะของมะเร็ง และความพร้อมของโรงพยาบาลหรือแพทย์ผู้ดูแลรักษา
วัคซีนโรคมะเร็งปากมดลูกในการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกนั้น แท้จริงแล้วสามารถทำได้หลายระดับ โดยระดับแรกในการป้องกันนั่นก็คือการฉีดวัคซีน ซึ่งเชื่อว่าในวิธีนี้นั้นสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ 70 เปอร์เซนต์ และนอกจากนี้การตรวจแพปสเมียร์ก็เป็นวิธีการป้องกันขั้นพื้นฐาน ซึ่งการตรวจแพปสเมียร์นั้นยังคงเป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากถ้าตรวจพบในระยะแรกเริ่มก็สามารถรักษาได้ทันท่วงที ไม่ทำให้มะเร็งปากมดลูกนั้นลุกลามจนเกินที่จะแก้ไขได้ ทั้งนี่มีคำแนะนำจากจากคณะกรรมการภูมิคุ้มกันแห่งสหรัฐอเมริกา ว่าในเด็กและหญิงสาวที่มีอายุต่ำกว่า 26 ซึ่งหญิงสาวและเด็กเหล่านี้ ที่ยังไม่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาก่อนนั้น สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อ HIV ซึ่งโดยทั่วไปผู้หญิงที่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้วนั้น ควรที่จะตรวจหา มะเร็งปากมดลูก หรือแพปสเมียร์ก่อน เพราะในกลุ่มคนเหล่านี้มีความเสี่ยงอย่างมากที่จะตรวจพบมะเร็งปากมดลูก หรือสุ่มเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติ ซึ่งด้วยเหตุนี้จะต้องทำการรักษาให้หายเสียก่อน จึงจะรักษาด้วยการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกได้ในเวลาต่อมา ส่วนวัยที่อยู่ในช่วงความเหมาะสมในการรับวัคซีนเพื่อป้องกันนั้นอยู่ในผู้หญิงอายุ 9-26 ปี ซึ่งช่วงวัยนี้จะสามารถป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูกถึงแม้ว่ามะเร็งปากมดลูกจะฟังดูน่ากลัว แต่ก็ยังสามารถป้องกันได้และยังสามารถลดความเสี่ยงได้ วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูก - ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดดลูก โดยจะสามารถลดโอกาสการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ 70 % - งดการสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อับที่มีคนสูบบุหรี่ประจำ - กินผักผลไม้ให้มาก - ไม่ใส่ชุดชั้นในซ้ำๆติดๆกันเป็นเวลานาน - รักษาความสะอาดช่องคลอดอย่างสม่ำเสมอ - ทำการตรวจคัดกรองเพื่อหาเซลล์มะเร็งปากมดลูก เป็นประจำทุกๆปี อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
<references /http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/cancer/cervixcancer.htm#.VPmUEnysX7k> <references /http://www.iosociety.com. <references /https://www.bumrungrad.com/th/womens-center-obgyn-thailand/cervical-cancer?gclid> |