บทความนี้เกี่ยวกับสถิติและผลงานในฤดูกาลแข่งขันหนึ่ง สำหรับสถิติไร้พ่ายของอาร์เซนอลในลีก ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2003 ถึงตุลาคม ค.ศ. 2004 ดูที่
ดิอินวินซิเบิล (ฟุตบอล)
ฤดูกาล 2003–04 เป็นฤดูกาลที่ 109 ในประวัติศาสตร์ของสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2003 และสิ้นสุดในวันที่ 30 มิถุนายน 2004 ประกอบด้วยนัดแข่งขันตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงพฤษภาคม สโมสรฯ สิ้นสุดฤดูกาลในพรีเมียร์ลีก โดยเป็นแชมป์ไร้พ่าย (สถิติชนะ 26 นัด และเสมอ 12 นัด) ส่วนในฟุตบอลชิงถ้วย สโมสรฯ ทำผลงานได้ไม่ดีนัก โดยตกรอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพ และลีกคัพ โดยพ่ายต่อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และมิดเดิลส์เบรอ ตามลำดับ และในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แพ้ต่อเชลซี ในรอบก่อนรองชนะเลิศ
ช่วงต้นฤดูกาล อาร์เซนอลซื้อ-ขายนักเตะค่อนข้างน้อย เนื่องจากต้องการเก็บงบประมาณเพื่อโครงการสร้างสนามฟุตบอลแห่งใหม่ นักเตะคนสำคัญที่ย้ายเข้ามา อาทิ ผู้รักษาประตู เย็นส์ เลมัน (ค่าตัว 1.5 ล้านปอนด์) ต่อมามีการซื้อกองหน้า โฆเซ อันโตนิโอ เรเยส ในช่วงซื้อขายฤดูหนาว ส่วนนักเตะเดิมที่มีอยู่ สโมสรฯ สามารถเก็บรักษาไว้ได้ และเจรจาต่อสัญญาฉบับใหม่กับกัปตันทีม ปาทริก วีเยรา และกองกลาง รอแบร์ ปีแร็ส สำเร็จ เนื่องจากสมาชิกนิ่ง จึงมีการมองว่าอาร์เซนอลเป็นตัวเต็งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เช่นเดียวกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและเชลซี ซึ่งเศรษฐีพันล้านชาวรัสเซีย โรมัน อับราโมวิช ซื้อไป
อาร์เซนอลเริ่มต้นฤดูกาลอย่างดี ได้อยู่หัวตารางตั้งแต่สี่นัดแรก แต่นัดที่เสมอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเดือนกันยายนสร้างเรื่องไม่ดีระหว่างสองสโมสร ผู้เล่นของอาร์เซนอลบางคนถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ปรับเงินจากเหตุทะเลาะวิวาทหมู่หลังจบการแข่งขัน ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน อาร์เซนอลชนะดีนาโมคียิว ด้วยประตูเดียว และต่อมามีผลงานน่าประทับใจด้วยการบุกไปยิง 5 ประตูต่ออินเตอร์มิลาน ที่ซานซีโร ถือเป็นการเริ่มต้นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ที่ดี ต่อมาในช่วงปลายปี สโมสรสามารถเก็บชัยได้ถึง 9 นัดติดต่อกัน ทำให้ตำแหน่งจ่าฝูงมั่นคงขึ้น แต่ในสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน สโมสรฯ ตกรอบทั้งเอฟเอคัพและแชมเปียนส์ลีก แต่ในปลายเดือนเดียวกัน สโมสรฯ ก็สามารถรับประกันแชมป์พรีเมียร์ลีก หลังจากที่เสมอ 2–2 กับคู่ปรับท้องถิ่นทอตนัมฮอตสเปอร์
มีผู้เล่น 34 คนลงเล่นให้กับสโมสรฯ ในการแข่งขัน 5 รายการ และมีผู้ทำประตู 15 คน โดยผู้ทำประตูสูงสุดเป็นปีที่สามติดต่อกันคือ ตีแยรี อ็องรี ยิงได้ 39 ประตูใน 51 เกม ทั้งยังได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ จากคะแนนของเพื่อนร่วมอาชีพและรางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอล จากผู้สื่อข่าวฟุตบอล แม้ว่าอาร์เซนอลจะไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลชิงถ้วย แต่นักวิจารณ์หลายคนก็ถือว่าความสำเร็จในลีกเป็นความสำเร็จแล้ว ทีมได้รับฉายา "ดิอินวินซิเบิล " เหมือนกับเพรสตันนอร์ทเอนด์ เคยทำได้ในสมัยฤดูกาลประเดิมของฟุตบอลลีก และหลังจากจบฤดูกาล สโมสรฯ ได้รับถ้วยรางวัลพรีเมียร์ลีกสีทองเมื่อจบฤดูกาล และทีมยังไม่แพ้ทีมใดเป็นจำนวน 49 นัดเป็นสถิติใหม่ ในปี 2012 ทีมอาร์เซนอลชุดฤดูกาล 2003–04 ชนะรางวัล "ทีมยอดเยี่ยม" จากรางวัลพรีเมียร์ลีก 20 ฤดูกาล
ภูมิหลัง
อาร์แซน แวงแกร์ ผู้จัดการของสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล
อาร์เซนอลจบฤดูกาลที่แล้วด้วยอันดับรองชนะเลิศในพรีเมียร์ลีก หลังถูกแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ทำคะแนนแซงในช่วงสิบสัปดาห์สุดท้ายของฤดูกาล[ 3] อย่างไรก็ตาม สโมสรฯ สามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพ โดยชนะเซาแทมป์ตัน 1–0[ 4] และผลจากการเริ่มต้นฤดูกาล 2002–03 ที่ดีนั้น ผู้จัดการทีม อาร์แซน แวงแกร์ บอกเป็นนัยว่าทีมของเขาอาจไม่แพ้ทุกการแข่งขันของฤดูกาล "ใช่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เมื่อเทียบกับที่เอซี มิลาน เคยทำได้ แต่ผมมองไม่ออกเลยว่าทำไมแค่พูดถึงก็น่าตกใจหนักหนา คุณคิดว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล หรือเชลซี ไม่คิดฝันอย่างนี้บ้างหรือ พวกเขาก็เหมือนกัน พวกเขาเพียงไม่พูดเพราะกลัวคนมองว่าน่าตลกขบขัน แต่ไม่มีใครขำขันกับงานแบบนี้หรอก เพราะเรารู้ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้"[ nb 1] [ 6] ทีมของเขาพ่ายต่อเอฟเวอร์ตัน เพียงหนึ่งเดือนหลังประกาศของแวงแกร์ โดยนักเตะดาวรุ่งอย่างเวย์น รูนีย์ เป็นผู้ทำประตูชัย หยุดสถิติไร้พ่าย 30 นัดของอาร์เซนอล[ 7] ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2003 อาร์เซนอลเป็นจ่าฝูง มีแต้มเหนือกว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่ 5 แต้ม แต่เนื่องจากการบาดเจ็บของผู้เล่นคนสำคัญ รวมทั้งกัปตันทีมปาทริก วีเยรา ทำให้ทีมขาดเสถียรภาพ[ 8] อาร์เซนอลเสมอหลายนัดในเดือนเมษายน ประกอบกับแพ้ในบ้านต่อลีดส์ยูไนเต็ด ทำให้อาร์เซนอลหมดโอกาสรักษาแชมป์ลีก[ 3] แวงแกร์หักล้างความคิดเห็นจากสื่อที่กล่าวว่าเป็นฤดูกาลที่ล้มเหลว แวงแกร์กล่าวว่า
แน่นอนเราต้องการแชมป์ลีก แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับสโมสรคือความคงเส้นคงวา และเรามีความคงเส้นคงวาอย่างมาก เราเสียแชมป์ลีกให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งใช้เงินมากกว่า 50% ทุกปี ปีที่แล้วพวกเขาใช้เงินซื้อนักเตะ 30 ล้านปอนด์หลังจากเสียแชมป์ พวกเขาจะทำแบบนี้อีกในปีหน้า และพวกเราสร้างปาฏิหาริย์ที่ต่อกรกับพวกเขา[ 9]
ช่วงปิดฤดูกาล เชลซีถูกขายให้กับเศรษฐีพันล้านชาวรัสเซีย โรมัน อับราโมวิช ด้วยมูลค่า 140 ล้านปอนด์ ถือเป็นการซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอลอังกฤษในช่วงนั้น[ 10] [ nb 2] แดเนียล คิง นักหนังสือพิมพ์ต้อนรับการซื้อกิจการครั้งนี้ โดยแสดงความคิดเห็นว่าสโมสรฯ จะสามารถ "ยุติการผูกขาดแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด-อาร์เซนอล" ในลีกได้ดีขึ้น[ 12] รองประธานสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล เดวิด ดีน รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง และเหน็บอับราโมวิชว่า "จอดรถถังรัสเซียของเขาบนสนามหญ้าของพวกเรา แล้วก็ยิงธนบัตร 50 ปอนด์ใส่เรา"[ 13] กล่าวกันว่าอับราโมวิชประมูลซื้อกองหน้าอาร์เซนอล ตีแยรี อ็องรี แต่ถูกปฏิเสธทันควัน[ 14]
การซื้อขายนักเตะช่วงฤดูร้อนของอาร์เซนอลค่อนข้างเงียบ เนื่องจากงบประมาณที่จำกัดจากโครงการสนามแห่งใหม่ [ 22] [ nb 4] แต่สโมสรก็สามารถรั้งนักเตะคนสำคัญ ๆ ชุดเดิมไว้ได้ และยังเจรจาสัญญาฉบับใหม่กับปาทริส เอวรา และตำแหน่งปีก รอแบร์ ปีแร็ส ได้สำเร็จ[ 25] มีการซื้อตัวนักเตะเพิ่มสำคัญมีเฉพาะผู้รักษาประตูชาวเยอรมัน เย็นส์ เลมัน เขาเข้ามาแทนเดวิด ซีแมน ที่ย้ายไปแมนเชสเตอร์ซิตี [ 26] กองหลังชาวยูเครน ออเลก ลุชนี (Oleh Luzhny) หมดสัญญา 4 ปีกับสโมสรและย้ายไปวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ แบบไม่มีค่าตัว ในขณะที่กองหน้า เกรอัม แบร์เรตต์ ย้ายไปคอเวนทรีซิตี [ 27] กองหน้า ฟรานซิส เจฟเฟอส์ ซึ่งไม่ค่อยมีโอกาสลงเล่นชุดใหญ่ ก็ถูกปล่อยยืมตัวให้กับเอฟเวอร์ตัน สโมสรเก่าของเขา หนึ่งฤดูกาล[ 28] โจฟันนี ฟัน โบรงก์ฮอสต์ ย้ายไปบาร์เซโลนา ในข้อตกลงคล้ายกัน โดยมองว่าอาจย้ายถาวรเมื่อจบฤดูกาล[ 29] สโมสรได้ผู้เล่นเยาวชนจากอะคาเดมีต่างประเทศ ได้แก่ กาแอล กลีชี จากสโมสรกาน และโยฮัน จูรู จากเอตวลการูฌ [ 30] ในเดือนมกราคม 2004 อาร์เซนอลเซ็นสัญญากับกองหน้าชาวสเปน โฆเซ อันโตนิโอ เรเยส (José Antonio Reyes) จากเซบิยา และในเดือนเมษายนบรรลุข้อตกลงซื้อตัวตำแหน่งปีก โรบิน ฟัน แปร์ซี กับไฟเยอโนร์ด [ 31]
ต้นฤดูกาลแวงแกร์ให้ความความสำคัญกับการทวงแชมป์ลีกไว้ว่า "ผมรู้สึกว่าการทำดังนี้สำคัญมากในใจเรา และผมทราบว่าความกระหายที่จะลงมือแรงกล้า" และออกชื่อนิวคาสเซิลยูไนเต็ด กับลิเวอร์พูล รวมไปถึงแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับเชลซี เป็นคู่แข่งหลักในพรีเมียร์ลีก[ 32] [ 33] อดีตกองกลางอาร์เซนอล พอล เมอร์สัน ยืนยันว่าอาร์เซนอลเป็นตัวเต็ง เพราะพวกเขามี "ผู้เล่นยอดเยี่ยม … ถ้าพวกเขามีความพร้อมคงเส้นคงวาแล้วพวกเขาจะไม่แพ้"[ 34] เกล็น มัวร์จาก ดิอินดิเพนเดนต์ เขียนถึงโอกาสของอาร์เซนอลว่า "พวกเขาจะเข้าใกล้แชมป์ แต่จนกว่าแวงแกร์จะให้ความเชื่อมั่นกับเยาวชน และผู้เล่นอย่างเฌเรมี อาลียาเดียร์ (Jérémie Aliadière), เจอร์เมน เพนนันต์ (Jermaine Pennant), ฟีลิป แซนเดอร็อส เล่นคุ้มค่าตอบแทน พวกเขาอาจขาดความสามารถในการรักษาหนทางชิงแชมป์"[ 17] กองหลัง โซล แคมป์เบลล์ เชื่อว่าผู้เล่นชุดนี้ "แข็งแกร่งพอสำหรับลีกและเอฟเอคัพ" แต่ข้องใจกับการคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก [ 35]
สีชุดเหย้าไม่เปลี่ยนจากฤดูกาลที่แล้ว เป็นชุดสีแดง แขนเสื้อ กางเกง และถุงเท้าสีขาว[ 36] ส่วนชุดเยือนสีใหม่ เป็นเสื้อสีเหลืองแนวย้อนยุค ปกเสื้อและกางเกงสีน้ำเงิน ชุดนี้มาจากชุดที่ใส่แข่งขันเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 1979 [ 37] [ 38]
การซื้อขายนักเตะ
ยืมตัว (เข้า)
ยืมตัว (ออก)
ก่อนเปิดฤดูกาล
เพื่อเตรียมตัวก่อนเปิดฤดูกาล อาร์เซนอลได้ลงแข่งนัดกระชับมิตรในยุโรปตะวันตก นัดแรกพ่ายต่อปีเตอร์โบโรยูไนเต็ด จากเซคกันด์ดิวิชั่น โดยผู้รักษาประตู สจวต เทย์เลอร์ ถูกไล่ออกจากสนามหลังไปปะทะกับ ลี คลาร์ก ผู้เล่นปีเตอร์โบโรตัวสำรอง ในครึ่งหลัง[ 60] ต่อมาอาร์เซนอลเสมอกับบาร์นิต ซึ่งมียาย่า ตูเร น้องชายของโกโล ตูเร อยู่ในทีมด้วย[ 61] ในการสัมภาษณ์ในปี 2011 แวงแกร์ กล่าวถึงผลงานของยาย่าว่า "กลาง ๆ โดยสิ้นเชิงในเวลานั้น" และสังเกตว่าความใจร้อนทำให้เขาไม่ได้เข้าอาร์เซนอล ตูเรจึงย้ายไปบาร์เซโลนา ก่อนไปแมนเชสเตอร์ซิตี ในปี 2010[ 62] ภายหลังจากการเสมอกับบาร์นิต อาร์เซนอลทัวร์ในประเทศออสเตรีย ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์วุ่นวายฝูงชนในนัดกระชับมิตรที่ไอเซินชตัทเมื่อปีก่อนทำให้ต้องยกเลิก[ 63] วันนั้น แวงแกร์ไม่ได้เข้าร่วมเพราะมีอาการปวดมวนท้อง จึงให้ผู้ช่วยผู้จัดการ แพต ไรซ์ คุมทีมชั่วคราว ในนัดที่พบกับริทซิง เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2003 ทีมยิงตามตีเสมอได้หลังตามอยู่สองประตู เป็นการเสมอนัดกระชัดมิตรนัดที่สองติดต่อกัน[ 64] ไรซ์พอใจการเล่นเกมรับของฟีลิป แซนเดอร็อส และกล่าวว่า "ยังมีอุปสรรคข้างหน้า แต่เขาก็จะดีขึ้นเมื่อได้เล่นร่วมกับมาร์ติน คีโอน และโซล แคมป์เบลล์"[ 64]
อาร์เซนอลชนะนัดแรกช่วงก่อนเปิดฤดูกาลต่อเอาส์ทรีอาวีน โดยแบร์คกัมป์ทำ "ผลงานส่วนตัวได้สุดยอด" โดยยิงประตูแรก แล้วส่งให้เจฟเฟอร์ทำประตูที่สอง[ 65] นัดสุดท้ายของทัวร์พบกับเบชิกทัช ซึ่งต้องมีการรักษาความปลอดภัยหนาแน่นเนื่องจากประวัติศาสตร์ระหว่างแฟนบอลชาวอังกฤษและตุรกี[ 66] ในนัดนั้น อาร์เซนอลได้ประตูชัยจากแบร์คกัมป์ในครึ่งหลังลอดขาของผู้รักษาประตู ออสการ์ กอร์โดบา[ 67] หลังจากนั้น อาร์เซนอลเดินทางกลับอังกฤษ และแข่งขันนัดกระชับมิตรกับเซนต์ออลบันส์ซิตี และชนะ 3–1 จากนั้นชุดหลักเดินทางต่อไปยังประเทศสกอตแลนด์ พบกับเซลติก ในวันที่ 2 สิงหาคม 2003 ผลเสมอ 1–1 มาจากครึ่งหลัง โดยนัดนั้นวีเยรากลับมาลงเล่นอีกครั้งในรอบสามเดือนหลังเจ็บเข่า[ 68] แวงแกร์เปิดเผยภายหลังว่าเขาตั้งใจใช้นัดกระชับมิตรเพื่อทดลองแนวรับ[ 69] เขาจัดวางเซ็นเตอร์แบ็ก แคมป์เบลล์คู่กับตูเร ซึ่งในฤดูกาลก่อนส่วนใหญ่เล่นตำแหน่งกองกลาง [ 68] แวงแกร์พอใจการเล่นของโกโล ตูเร ในนัดพบกับเซลติก เขากล่าวว่า "เขามีคุณภาพ เดิมเขาเป็นกองหลังกลาง และเนื่องจากเราเก็บคลีนชีตได้บ้างในช่วงหลัง และเขาเล่นได้ดี ผมคิดว่าเราควรให้เขาเล่นตำแหน่งนั้นต่อ"[ 69] หลังจากนั้น ชุดหลักเดินทางไปประเทศเบลเยียม เพื่อลงเล่นกับเบเฟอเริน และเสียสองประตูในช่วงห้านาทีสุดท้าย ทำให้เสมอกัน 2–2 และนัดกระชับมิตรนัดสุดท้าย พวกเขาบุกไปชนะเรนเจอส์ 3–0 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2003[ 70]
สัญลักษณ์สี: เขียว = อาร์เซนอลชนะ; เหลือง = เสมอ; แดง = คู่แข่งชนะ
เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์
การแข่งขันเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2003 นัดฟุตบอลอังกฤษประจำปี เป็นการแข่งขันระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กับอาร์เซนอล ที่มิลเลนเนียมสเตเดียม ในคาร์ดิฟฟ์ ในวันที่ 10 สิงหาคม โดยเลมันลงเล่นนัดแรกให้กับอาร์เซนอล และตูเรยังคงเล่นกองหลังกลางคู่กับแคมป์เบลล์[ 72] ยูไนเต็ดได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 15 จากมีกาแอล ซีลแว็สทร์ แต่ไม่นานจากนั้นตีแยรี อ็องรี ก็ตีเสมอให้อาร์เซนอลจากลูกฟรีคิก[ 73] เจฟเฟอส์ถูกไล่ออกจากสนามจากการไปเตะฟิล เนวิล และไม่มีประตูเกิดขึ้นหลังจากนั้น ทำให้ต้องตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ [ 73] ผู้รักษาประตู ทิม ฮาวเวิร์ด เซฟจุดโทษของฟัน โบรงก์ฮอสต์ และปีแร็สทำให้ยูไนเต็ดเป็นฝ่ายชนะ 4–3[ 73] แวงแกร์พาดพิงถึงผู้ชมอาร์เซนอลที่ไปชมการแข่งขันน้อยและเสนอว่ามี "ความกระหายน้อยลงทุกที" สำหรับคอมมิวนิตีชีลด์ [ 74] เขาไม่มีความสุขกับช่วงก่อนเปิดลีกในวันเสาร์ที่จะมาถึง "ผมอยากมีเวลาอีกสักสองสัปดาห์ โดยเฉพาะกับผู้เล่นชาวฝรั่งเศสที่ไปเล่นคอนเฟเดอเรชันส์คัพ พวกเรายังไม่พร้อมเท่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และรู้ว่าผู้เล่นหลายคนยังไม่มีร่างกายพร้อม"[ 74]
พรีเมียร์ลีก
ฤดูกาล 2003–04 ของพรีเมียร์ลีกมี 20 ทีม แต่ละทีมลงเล่น 38 นัด โดยแข่งกับทีมอื่นทุกทีมทีมละ 2 นัด ที่สนามเหย้าของแต่ละฝ่ายครั้งละนัด ถ้าชนะได้สามคะแนน เสมอได้หนึ่งคะแนน และถ้าแพ้จะไม่ได้คะแนน เมื่อจบฤดูกาล 2 ทีมแรกจะได้สิทธิแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ส่วนอันดับที่ 3 และ 4 ต้องเล่นรอบคัดเลือกก่อน[ 75]
มีการออกกำหนดการแข่งขันมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2003 แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในกรณีชนกับการแข่งขันอื่น การแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ ลมฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวยหรือนัดที่เลือกให้แพร่สัญญาณโทรทัศน์ โดย 5 จาก 8 นัดแรกของอาร์เซนอลมีการแร่ะสัญญาณผ่านทางช่องสกายสปอร์ต และในจำนวนนั้น 3 นัดจะอยู่ในรายการหลักของเครือข่ายในรายการ ซูเปอร์ซันเดย์ [ 76]
สิงหาคม–ตุลาคม
รอแบร์ ปีแร็ส ยิงประตูชัยให้อาร์เซนอลในนัดที่พบกับลิเวอร์พูลเมื่อเดือนตุลาคม 2003
นัดเปิดฤดูกาล อาร์เซนอลลงเล่นในบ้านพบกับเอฟเวอร์ตัน ที่ไฮบรี แคมป์เบลล์ถูกไล่ออกในนาทีที่ 25 จากการทำฟาวล์ที่กีดขวางการเล่น (professional foul) ใส่ทอมัส กราเวอเซิน กองกลางเอฟเวอร์ตัน แม้ว่าอาร์เซนอลจะเสียเปรียบจำนวนผู้เล่น แต่ก็นำสองประตูเมื่อเวลา 58 นาที ก่อนที่ตอมัช ราจินสกี จะยิงประตูให้ทีมเยือน[ 77] นัดต่อมาหลังจากนัดแรกหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาไปเยือนมิดเดิลส์เบรอ ที่ริเวอร์ไซด์สเตเดียม จบด้วยชัย 4–0 โดยได้ 3 ประตูจากอ็องรี, ชิลเบร์ตู ซิลวา และซีลแว็ง วีลตอร์ในครึ่งแรก[ 78] สามวันถัดมา อาร์เซนอลชนะแอสตันวิลลา โดยแคมป์เบลล์และอ็องรีทำประตูได้คนละประตู[ 79] อาร์เซนอลยังรักษาช่วงต้นฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมด้วยการบุกไปชนะแมนเชสเตอร์ซิตี เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2003 เมื่อแคมป์เบลล์ถูกพักการเล่น มาร์ติน คีโอน เข้ามาเล่นตัวจริงคู่กับตูเรแทน[ 80] แม้ว่าอาร์เซนอลทำเข้าประตูตัวเองโดยโลแรนในครึ่งแรก และเล่น "45 นาทียอดแย่ที่แฟนคนใดจะจำได้" ตามคำบรรยายของนักหนังสือพิมพ์ แมต ดิกคินสัน แต่ในครึ่งหลังวีลตอร์ตามตีเสมอในครึ่งหลัง ก่อนเฟรดริก ยุงแบร์ย ใช้ข้อผิดพลาดของซีแมนทำประตูชัย[ 80] จบ 4 นัดแรก อาร์เซนอลอยู่อันดับหนึ่ง มีแต้มนำแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อยู่สามแต้ม[ 81]
เนื่องจากกำหนดการแข่งขันทีมชาติ ทำให้สโมสรได้พักสองสัปดาห์ พวกเขากลับมาลงเล่นในบ้านพบกับพอร์ตสมัท ที่เพิ่งเลื่อนชั้น โดยกองหน้า เท็ดดี เชริงงัม ยิงให้ทีมเยือนขึ้นนำก่อน ก่อนที่อาร์เซนอลได้จุดโทษเมื่อปีแร็สถูกเดยัน สเตฟานอวิช กรรมการตัดสินว่าทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ[ 82] อ็องรียิงประตูเข้า และแม้การเล่นของทีมจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในครึ่งหลัง แต่เกมก็จบด้วยผลเสมอ[ 82] ทำให้ผู้จัดการทีมพอร์ตสมัท แฮร์รี เรดแนปป์ บ่นถึงการเสียจุดโทษและรู้สึกว่าปีแร็ส "... กำลังจะได้ใบเหลือง [จากการพุ่งล้ม]"[ 82] แต่ปีแร็สปฏิเสธการกล่าวหาดังกล่าวที่ว่าเขาตบตากรรมการ "ผมไม่ได้พุ่งล้มและผมไม่ได้โกง ไม่ใช่วิธีการเล่นของผม"[ 83]
หนึ่งสัปดาห์ถัดมา อาร์เซนอลไปพบแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด โดยแวงแกร์ให้ปีแร็สและวีลตอร์เป็นสำรอง และให้เรย์ พาร์เลอร์ กับยุงแบร์ยลงเล่นแทน ส่วนแคมป์เบลล์ไม่ได้เดินทางไปด้วย เนื่องจากมีสมาชิกครอบครัวเสียชีวิต[ 84] ในนาทีที่ 80 วีเยราถูกไล่ออกจากสนามจากการได้ใบเหลืองที่สอง โดยเขาพยายามเตะกองหน้า รืด ฟัน นิสเติลโรย ซึ่งผู้ตัดสิน สตีฟ เบนนิตต์ เห็นการกระทำดังกล่าว[ 84] ขณะผลประตู 0–0 ยูไนเต็ดได้จุดโทษในนาทีที่ 90 แต่ลูกยิงของฟัน นิสเติลโรย ไปชนคาน กลับมาเล่นต่อ[ 84] หลังจบเกม ผู้เล่นอาร์เซนอลหลายคนไปล้อมฟัน นิสเติลโรย ซึ่งบานปลายเป็นเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างทั้งสองทีม[ 84] ผู้เล่นของอาร์เซนอล 6 คน (แอชลีย์ โคล , โลแรน, คีโอน, พาร์เลอร์, เลมัน, วีเยรา) ถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (FA) ตั้งข้อหาประพฤติไม่เหมาะสม และสโมสรถูกปรับเงิน 175,000 ปอนด์ ซึ่งเป็นค่าปรับมากที่สุดที่สั่งลงโทษสโมสรใด ๆ[ 85] โลแรนถูกแบน 4 นัด ในขณะที่วีเยรากับพาร์เลอร์ถูกแบนนัดเดียว[ 86]
ในนัดถัดมา อาร์เซนอลชนะนิวคาสเซิลยูไนเต็ด 3–2 โดยได้ประตูชัยจากจุดโทษของอ็องรี[ 87] วีเยราได้รับบาดเจ็บระหว่างเกม ทำให้ลงเล่นไม่ได้สองเดือน[ 88] หลังจากนั้นอาร์เซนอลบุกไปเยือนลิเวอร์พูลที่แอนฟีลด์ ในสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม แต่วีเยราไม่ได้ลงเล่น ทำให้พาร์เลอร์รับหน้าที่เป็นกัปตันทีม แทน ส่วนแคมป์เบลล์ลงเล่นตำแหน่งกองหลังแทนคีโอน[ 89] [ 90] อาลียาเดียร์เล่นกองหน้าคู่กับอ็องรี[ 90] อาร์เซนอลตามหลังในนาทีที่ 11 แต่ก็ตีเสมอได้เมื่อซามี ฮือปิแอ เปลี่ยนทิศทางลูกโหม่งของเอดูโดยไม่ได้ตั้งใจจากฟรีคิกของอาร์เซนอล[ 91] ปีแร็สยิงประตูชัยในครึ่งหลัง ทำให้ทีมยังเป็นจ่าฝูงในตารางลีกอยู่[ 91] [ 92] ผู้สื่อข่าวของเดอะไทมส์ โอลิเวอร์ เคย์ บรรยายการกลับมาชนะของอาร์เซนอลว่า "มุ่งมั่นมาก" และสังเกตข้อแตกต่างของทีมเทียบกับฤดูกาลก่อนว่า[ 91]
... เหตุการณ์ล่าสุดสอนพวกเขาให้จัดสาระก่อนลีลา อาจดูไม่ดึงดูดสำหรับผู้เน้นความถูกต้อง แต่ไม่มีข้อสงสัยว่าแนวทางโผงผางแบบใหม่ของพวกเขาทำให้ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น หนึ่งปีก่อนพวกเขากำลังผลิตฟุตบอลที่มีความงามที่พบเห็นได้น้อยครั้งในประเทศนี้หรือที่อื่น ฤดูกาลนี้ ด้วยความคล่องที่พิสูจน์แล้วว่าลื่นไหล พวกเขากำลังทำผลงานโดยมีประสิทธิภาพเทียบได้กับทิวทอนิก[ 91]
นัดถัดมา อาร์เซนอลสามารถชนะเชลซีได้ในนัดที่สูสี จากความผิดพลาดของผู้รักษาประตู การ์โล กูดีชีนี ในครึ่งหลัง ทำให้อ็องรียิงประตูที่ 7 จาก 9 นัดแรก[ 93] จนถึงขณะนั้นทั้งสองทีมเป็นจ่าฝูงของตารางและไม่แพ้ทีมใด[ 94] แวงแกร์ตั้งข้อสังเกตหลังจบการแข่งขันว่า ทีมของเชลซีที่ใหญ่กว่าจะมีประโยชน์เมื่อฤดูกาลผ่านไป แต่เน้นย้ำว่าทีมเล็กของเขามีเสถียรภาพ "เราอยู่ด้วยกันหลายปีและมีความอุ่นใจที่ทราบว่าเราเคยคว้าแชมป์มาก่อน เมื่อเราถูกท้าทาย เรายิ่งสามัคคีกันมากขึ้น"[ 95] ปลายเดือนตุลาคม อาร์เซนอลเสมอชาร์ลตันแอธเลติก 1–1[ 96] ผ่านไป 10 นัด อาร์เซนอลเก็บได้ 24 แต้ม กลับเป็นจ่าฝูงอีกครั้งหลังจากเสียอันดับให้กับเชลซีชั่วคราว[ 97]
พฤศจิกายน–ธันวาคม
อาร์เซนอลเริ่มต้นเดือนพฤศจิกายนด้วยการเยือนลีดส์ยูไนเต็ด ณ เอลแลนด์โรด ไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นจากเกมที่พบชาร์ลตัน โดยผู้เล่นของลีดส์อย่างเพนนันต์ลงเล่นพบกับสโมสรแม่ของเขาหลังแวงแกร์อนุญาต[ 98] อาร์เซนอลชนะ 4–1 เหมือนกับนัดที่พบกันเมื่อฤดูกาลที่แล้ว[ 99] ในรายงานการแข่งขันของ นิวส์ออฟเดอะเวิลด์ นักข่าว มาร์ติน ซามูเอล ยกให้อ็องรีเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัด และยืนยันว่าอาร์เซนอลคือทีมที่ลุ้นแชมป์เต็มตัว[ 100] นัดถัดมา อาร์เซนอลแข่งดาร์บีลอนดอนเหนือ พบกับทอตนัมฮอตสเปอร์ ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2003 โดยทอตนัมไม่ชนะอาร์เซนอลมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 1999 และชัยของทอตนัมครั้งล่าสุดที่สนามไฮบรีเกิดเมื่อทศวรรษก่อน[ 101] [ 102] นัดนี้ คานู ถูกจัดเป็นตัวจริงคู่กับอ็องรี เนื่องจากวีลตอร์มีกล้ามเนื้อน่องล้า[ 103] อาร์เซนอลเสียประตูเร็วหลังดาร์เรน แอนเดอร์ตันใช้โอกาสที่กองหลังสับสน แต่สามารถยิงสองประตูในช่วงท้ายเกม โดย ดิอับเซิร์ฟเวอร์ อธิบายว่าเป็นการเล่นที่ "ติดขัดอีกครั้ง"[ 102] ผลทำให้อาร์เซนอลนำอันดับที่สองอยู่ 4 แต้มชั่วคราวก่อนเชลซีชนะนิวคาสเซิลในบ้านในหนึ่งวันต่อมา ทำให้แต้มห่างกันเหลือหนึ่งแต้ม[ 104]
ตีแยรี อ็องรี พลาดการลงเล่นเพียงหนึ่งนัดในลีก คือนัดเยือนเลสเตอร์ซิตี
อาร์เซนอลไม่ได้ลงเล่นเป็นเวลาสองสัปดาห์เนื่องจากช่วงพักฟุตบอลระหว่างประเทศ ก่อนบุกไปเยือนเบอร์มิงแฮมซิตี เนื่องจากการพักการแข่งขันมีผลและมีผู้เล่นตัวจริงได้รับบาดเจ็บหลายคน ทำให้แวงแกร์ต้องปรับเปลี่ยนผู้เล่น โดยกลีชีได้ลงเล่นตัวจริงนัดแรก ส่วนปัสกาล ซีก็อง ลงเล่นเป็นนัดแรกของฤดูกาล โดยลงตำแหน่งคู่กับแคมป์เบลล์[ 105] อาร์เซนอลยิงสามประตูจนได้รับชัยชนะเป็นนัดที่สามติดต่อกันของเดือน[ 106] จนถึงขณะนั้นอาร์เซนอลไม่แพ้ทีมใดตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา 13 นัดติดต่อกัน นับเป็นสถิติใหม่ของพรีเมียร์ลีก [ 106] นัดถัดมา ทีมเสมอฟูลัม 0–0 เป็นทีมแรกที่อาร์เซนอลยิงประตูในบ้านไม่ได้ครั้งแรกใน 46 นัดที่ไฮบรี[ 107] เดวิด เลซีย์ ผู้สื่อข่าวของ เดอะการ์เดียน สรุปการเล่นของอาร์เซนอลในวันนั้นว่า "เข้มแข็งในส่วนเครื่องสาย แต่ขาดเครื่องเคาะจังหวะ" และตั้งข้อสังเกตว่าพวกเขากลับไปมีรูปแบบทำประตูสมบูรณ์แบบแทนที่จะเล่นแบบมีประสิทธิภาพ[ 108] ในสัปดาห์เดียวกัน เชลซีชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1–0 ทำให้อาร์เซนอลตกลงมาอยู่อันดับที่ 2 ในวันสุดท้ายของเดือน[ 109]
ในสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม อาร์เซนอลบุกไปเยือนเลสเตอร์ซิตี และพลาดอีก 2 แต้ม ในนัดนั้นอ็องรีไม่ได้ลงเล่นเช่นเดียวกับวีเยรากัปตันทีม อาร์เซนอลได้ประตูขึ้นนำก่อนเมื่อเวลา 60 นาทีจากลูกโหม่งของชิลเบร์ตู แต่ถูกตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ[ 110] นัดนั้นโคลได้รับใบแดงจากการพุ่งเสียบเบน แทตเชอร์โดยใช้สองเท้า ทำให้ลงเล่นไม่ได้อีก 3 นัด[ 111] แวงแกร์กล่าวหลังจากนั้นว่า "ดูเหมือนว่าแอชลีย์ต้องการพุ่งเอาบอล แต่เมื่อมันเป็นการเข้าแย่งสองเท้าที่สูงเกินไป จึงเป็นใบแดงและเราต้องยอมรับ"[ 111] อีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา อาร์เซนอลเปิดบ้านเอาชนะแบล็กเบิร์นโรเวอส์ 1–0 จากประตูของแบร์คกัมป์ เชลซีที่แพ้เมื่อวันก่อนก็ทำให้อาร์เซนอลกลับไปอยู่หัวตารางอีกครั้ง นำหน้าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อันดับที่สองอยู่หนึ่งแต้ม[ 112]
วันที่ 20 ธันวาคม 2003 อาร์เซนอลบุกไปเยือนโบลตันวอนเดอเรอส์ ที่สนามกีฬารีบ็อก ซึ่งเคยมีส่วนทำให้อาร์เซนอลพลาดแชมป์เมื่อแปดเดือนที่แล้ว[ 113] แม้ว่าทีมจะเก็บได้เพียงหนึ่งแต้ม แต่แวงแกร์ยังมองว่ามีประโยชน์ "หากโบลตันยังคงเล่นแบบนั้น เราจะมองย้อนกลับมาดูผลนี้และรู้สึกยินดีมาก ดีมากเท่ากับทีมที่เราเล่น"[ 113] ต่อมาในวันเปิดกล่องของขวัญ อ็องรียิงสองประตูช่วยให้ทีมชนะวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ 3–0[ 114] สามวันถัดมา ทีมพบกับเซาแทมป์ตัน ประตูชัยมาจากครึ่งแรก คือ ลูกส่งผ่านของอ็องรีเข้าเท้าของปีเรส "ที่สไลด์บอลลอดใต้อันต์ตี นิเอมี"[ 115] ผลชนะทำให้อาร์เซนอลไม่แพ้ทีมใดมาครึ่งฤดูกาลแล้ว และ เดอะไทมส์ เขียนว่าทีมเริ่ม "สร้างรัศมีไร้พ่าย"[ 115] อาร์เซนอลจบปีปฏิทินด้วยอันดับที่สอง มี 45 แต้มจาก 19 นัด ตามหลังแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเพียงหนึ่งแต้ม และนำเชลซีอยู่สามแต้ม[ 116]
มกราคม–กุมภาพันธ์
วันที่ 7 มกราคม 2004 อาร์เซนอลพบเอฟเวอร์ตันที่กูดิสันพาร์ก ซึ่งแวงแกร์ได้สับเปลี่ยนผู้เล่นหลายตำแหน่ง ซีก็องถูกเรียกกลับไปเล่นกองหลังกลาง หมายความว่าตูเรถูกเลื่อนเป็นปีกขวาและโลแรนถูกส่งเป็นตัวสำรอง และพาร์เลอร์ลงเป็นตัวจริงแทนชิลเบร์ตูในกองกลาง[ 117] คานูยิงประตูให้อาร์เซนอลขึ้นนำก่อนในครึ่งแรก แต่ราจินสกีทำประตู "ตีเสมอช่วงท้ายเกมอย่างสมควรอย่างยิ่ง" ให้กับเอฟเวอร์ตันในช่วง 15 นาทีสุดท้าย[ 118] คืนเดียวกัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะโบลตันวอนเดอเรอส์ 2–1 ทำให้จ่าฝูงนำห่าง 3 แต้ม[ 119] สามวันถัดมา อาร์เซนอลเปิดบ้านพบมิดเดิลส์เบรอ และทำผลงานที่แวงแกร์อธิบายว่าเป็นนัดยอดเยี่ยมนัดหนึ่งในฤดูกาล เขากล่าวว่า "เราเล่นเกมตามธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง และน่าจะทำประตูได้มากกว่านี้"[ 120] [ 121] โดยนัดนั้นพวกเขาชนะ 4–1 กลับขึ้นไปเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง แม้เป็นการจัดเรียงตามตัวอักษรเท่านั้น เนื่องจากแต้ม ผลต่างประตูได้เสียและประตูได้เท่ากับสถิติของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[ 120] สัปดาห์ถัดมา อาร์เซนอลชนะแอสตันวิลลา 2–0 โดยอ็องรีเป็นผู้ทำประตูทั้งสองลูก[ 122] อย่างไรก็ตาม เกิดกรณีพิพาทในประตูแรกของอ็องรี ซึ่งได้จากลูกฟรีคิกที่ตั้งเร็วซึ่งทำให้ผู้เล่นของวิลลาสับสนและทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อผู้ตัดสิน มาร์ก แฮลซีย์ ซึ่งส่งสัญญาณว่าอนุญาตให้เล่น[ 122] ผ่านไป 22 นัด อาร์เซนอลอยู่อันดับที่ 1 นำแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่สองแต้ม[ 123]
"บางคนยังไม่ยอมชื่นชมอาร์เซนอลยุคใหม่ พวกเขายังเชื่อว่านี่เป็นด้านที่นิก ฮอร์นบีกล่าวว่าเป็นตัวแทนของความน่าเบื่อ ความโชคดี ความสกปรก อารมณ์ร้อน ความรวย และความใจแคบ ความจริงคือมันเป็นเอกสิทธิ์ที่ได้ดูอาร์เซนอลยุคใหม่ พวกเขาเป็นโพรแซก [ยี่ห้อยาต้านซึมเศร้า] แก่ผู้ที่คุ้นเคยกับความน่าเบื่อ"
บันทึกของริก บรอดเบนต์ว่าด้วยนัดที่อาร์เซนอลชนะวุลเวอร์แฮมป์ตัน ในเดอะไทม์ 9 กุมภาพันธ์ 2004[ 124]
อาร์เซนอลยังรักษาสถิติไร้พ่ายตลอดเดือนกุมภาพันธ์ โดยชนะทั้ง 5 นัด เริ่มจากเกมเหย้าที่พบกับแมนเชสเตอร์ซิตี โดยเรเยสลงเล่นนัดแรกให้กับสโมสรโดยลงสนามเป็นตัวสำรองในครึ่งหลัง ส่วนประตูชัย "ดังสนั่นกะอย่างสวยงาม 25 หลา" ได้จากอ็องรี[ 125] ต่อมา ในนัดที่ 24 ของลีก อาร์เซนอลทำสถิติชนะเกมเยือนพบกับวุลเวอร์แฮมป์ตัน ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2004 ทำสถิติไร้พ่ายยาวนานที่สุดตั้งแต่เปิดฤดูกาลของสโมสรนับแต่ทีมของจอร์จ เกรอัมในปี 1990–91[ 126] แวงแกร์กล่าวถึงสถิติไร้พ่ายในการประชุมผู้สื่อข่าวหลังนัด ว่า "คุณต้องการโชคเพียงเล็กน้อยและคุณภาพจิตใจที่ดี"[ 126] สามวันถัดมา อ็องรีทำสถิติส่วนตัวยิงประตูที่ 100 และ 101 ในพรีเมียร์ลีกของเขา นัดที่พบกับเซาแทมป์ตัน [ 127] ผลชนะในนัดนั้นทำให้อาร์เซนอลนำแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอันดับสองอยู่ 5 แต้ม โดยแข่งมากกว่า 1 นัด[ 128]
อ็องรีกลับมาลงเล่นนัดวันเสาร์ช่วงมื้อกลางวันที่พบกับเชลซี เขาไม่ได้ลงในรอบที่ห้าเอฟเอคัพพบกับเชลซีเช่นกัน[ 129] อาร์เซนอลเสียประตูก่อนใน 27 วินาทีแรก แต่ก็กลับมาตีเสมอได้ในนาทีที่ 15 แบร์คกัมป์ "บรรจงส่งลูก" ให้กับวีเยราทางฝั่งซ้าย และยิงบอลผ่านผู้รักษาประตู นีล ซิลลิวัน[ 130] และได้ประตูชัยใน 6 นาทีถัดมา ซัลลิเวนกะลูกเตะมุมของอ็องรีผิด ซึ่งทำให้เอดูยิงเข้าตาข่าย[ 130] ตารางคะแนนตอนนี้ อาร์เซนอลนำห่าง 7 แต้ม ซึ่งแวงแกร์ว่าเป็น "ตำแหน่งที่ดีกว่าทีมใดเคยถือฤดูกาลที่แล้ว"[ 130] เดอะไทม์ เน้นการย้ายตูเรไปเล่นกองหลังว่า
ประกอบกับที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่มีริโอ เฟอร์ดินานด์ [ nb 5] การแจ้งเกิดของโกโล ตูเรในฐานะเซ็นเตอร์ฮาล์ฟผู้มากความสามารถ อาจหมายถึง ทำให้มีคะแนนแกว่งเป็นสิบแต้มในพรีเมียร์ชิป หากตูเรและแคมป์เบลล์ยังฟิตอยู่เรื่อย ๆ อาร์เซนอลน่าจะยิ่งกว่าจะแค่เพียงรักษาผลต่าง 7 แต้ม ส่วนกาแอล กลีชี พวกเขาก็คาดไว้ว่าจะมาแทนแอชลีย์ โคล[ 133]
นัดสุดท้ายของเดือน อาร์เซนอลพบชาร์ลตัน ที่ไฮบรี โดยอาร์เซนอลทำได้สองประตูในสี่นาทีแรก แต่ในช่วงท้ายเกม "ยังรักษาตำแหน่งผู้นำ เหมือนลูกแมวกระวนกระวาย"[ 134] ผ่านไป 27 นัด อาร์เซนอลอยู่อันดับหนึ่ง สะสมได้ 67 แต้ม นำห่างเชลซีและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 9 แต้ม[ 135]
มีนาคม–พฤษภาคม
อาร์เซนอลยังรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีในเดือนมีนาคม โดยอ็องรีและปีแร็สยิงคนละประตูในนัดที่บุกชนะแบล็กเบิร์นโรเวอส์ เป็นการเล่นที่หมั่นเพียรจากจ่าฝูงสมคำกล่าวว่า "... สิ่งเตือนจำของภาษิตโบราณว่าทีมชนะแชมเปียนชิปคือทีมที่เก็บแต้มได้มากที่สุดเมื่อพวกเขาไม่ได้เล่นดี"[ 136] นัดถัดมา อาร์เซนอลเปิดบ้านพบโบลตันวอนเดอเรอส์ โดยในนัดนั้น แวงแกร์ได้จัดตัวแบร์คกัมป์ลงแทนเรเยสอยู่หน้า[ 137] ภาวะลมแรงทำให้เลื่อนการแข่งขัน 15 นาที ปีแร็สยิงประตูขึ้นนำก่อนในเวลาประมาณ 15 นาที[ 138] ต่อมานาทีที่ 24 ผลขยับเป็น 2–0 แม้ว่าโบลตันจะทำผลงานดีขึ้นหลังทำประตูได้ก่อนหมดครึ่งแรกเล็กน้อย แต่ผลสุดท้ายอาร์เซนอลชนะ 9 ติดต่อกัน และรักษาแต้มห่างอันดับที่สอง 9 แต้ม[ 138]
วันที่ 28 มีนาคม 2004 การพบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในบ้านถือเป็นบททดสอบที่ดุดันของอาร์เซนอล เป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งสองทีมหลังเหตุรุนแรงที่โอลด์แทรฟฟอร์ด[ 139] กลีชีได้เป็นผู้เล่นตัวจริงแทนโคลซึ่งบาดเจ็บในเกมแชมเปียนลีกพบกับเชลซีเมื่อกลางสัปดาห์ ส่วนเรเยสได้เป็นตัวจริงแทนแบร์คกัมป์[ 140] อ็องรียิงประตูขึ้นนำให้อาร์เซนอลด้วยลูกยิงระยะไกลที่โค้งผ่านผู้รักษาประตู รอย แคร์รอลล์[ 141] แต่ในห้านาทีสุดท้าย ลูย ซาอา หลบหลีกกองหลังของอาร์เซนอล และทำประตูตีเสมอให้ทีมเยือน[ 141] อาร์เซนอลเกือบได้ประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แต่ผู้รักษาประตูรับลูกยิงของโลแรนได้[ 141] ผลเสมอไม่ดีสำหรับเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งยอมรับโอกาสของทีมเขาภายหลังว่า "ตอนนี้พวกเขา (อาร์เซนอล) กำลังจะเป็นแชมป์ลีก ผมแน่ใจเลย พวกเขาเล่นด้วยความมุ่งมั่นอย่างยิ่ง ... ทีมที่แข็งแกร่ง ฉะนั้นควรชนะลีกจริง ๆ"[ 142] หลังจบนัดนั้น "อาร์เซนอลสร้างสถิติลีกใหม่ตลอดกาลของลีกไม่แพ้ทีมใด 30 นัดติดต่อกันตั้งแต่เริ่มฤดูกาล ซึ่งผู้ถือสถิติเดิม ได้แก่ ลีดส์ และลิเวอร์พูล [ nb 6] [ 147] จบเดือนมีนาคม พวกเขาอยู่อันดับที่หนึ่งของตาราง มีแต้มนำห่างเชลซี 7 แต้มในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 8 นัด[ 148]
กัปตันทีม ปาทริก วีเยรา กับถ้วยรางวัลที่ไฮบรี ในการแข่งขันนัดสุดท้ายของฤดูกาล
หลังตกรอบแชมป์ถ้วยสองรายการห่างกันหนึ่งสัปดาห์ อาร์เซนอลเปิดบ้านรับลิเวอร์พูล ในวันศุกร์ประเสริฐ นัดนั้น ฮูเปีย้ฟยิงประตูขึ้นนำให้ทีมเยือนก่อนตั้งแต่ 5 นาทีแรก ต่อมาอ็องรีก็ยิงประตูตีเสมอหลัง 30 นาทีเล็กน้อย แต่ลิเวอร์พูลก็ขึ้นนำอีกครั้งก่อนหมดครึ่งแรก[ 149] อาร์เซนอลยิงสองประตูพลิกขึ้นนำในเวลา 1 นาที ประตูที่สองของอ็องรีเป็นการหยุดดีทมาร์ ฮามัน ในกลางสนาม เลี้ยงผ่านกองหลัง เจมี แคร์ราเกอร์ และวางบอลผ่านแยชือ ดูแด็ก [ 150] อ็องรีทำแฮตทริก ได้ในนาทีที่ 78 หลังแบร์คกัมป์ช่วยส่งให้[ 149] ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล เฌราร์ อูลีเย เปรียบอาร์เซนอลกับ "สัตว์บาดเจ็บ" หลังการแข่งขันและเชื่อว่าอ็องรีเป็น "ผู้สร้างความแตกต่าง ... เขาตั้งจังหวะการเล่น"[ 149] ต่อมาอาร์เซนอลเสมอ 0–0 กับนิวคาสเซิลในวันจันทร์หยุดธนาคาร และห้าวันถัดมาพบกับลีดส์ยูไนเต็ด[ 151] นัดนั้นอ็องรียิงสี่ประตู และได้รับคำชมจากแวงแกร์ว่าเป็น "กองหน้าดีที่สุดในโลก" อาร์เซนอลต้องการชนะอีกสองนัดก็จะคว้าแชมป์[ 152]
เนื่องจากเชลซีไม่สามารถเก็บแต้มเต็มได้อีกสองนัด อาร์เซนอลจึงทราบตั้งแต่ก่อนนัดที่ไปเยือนทอตนัมว่าผลเสมอจะรับประกันว่าได้แชมป์[ 153] โคลได้กลับมาลงเล่นในดาร์บีนัดนั้น หลังไม่ได้ลงในนัดที่พบลีดส์ เนื่องจากบาดเจ็บข้อเท้า[ 154] อาร์เซนอลได้ประตูขึ้นนำก่อนในจังหวะโต้กลับของวีเยรา[ 2] อาร์เซนอลได้ประตูที่สอง ในช่วงสิบนาทีก่อนพักครึ่ง โดยแบร์คกัมป์ผ่านบอลให้วีเยรา ซึ่งตัดกลับให้ปีแร็สใช้ข้างเท้าเตะเข้า[ 154] แต่ทอตนัมก็ยิงสองประตูตีเสมอในครึ่งหลัง โดยเป็นลูกโทษหนึ่งลูก แต่ไม่หยุดผู้เล่นอาร์เซนอลมิให้เฉลิมฉลองเมื่อเสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน "หน้ากองเชียร์ที่ไวต์ฮาร์ตเลน "[ 2] เป็นครั้งที่สองที่อาร์เซนอลได้แชมป์ลีกที่สนามของคู่แข่ง โดยครั้งแรกเกิดในปี 1971[ 155] แวงแกร์ชื่นชมความสำเร็จของลูกทีม พร้อมกล่าวกับบีบีซี ว่า "พวกเรามีความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่แพ้สักเกม และเราเล่นฟุตบอลมีสไตล์ เราสร้างความบันเทิงให้ผู้รักฟุตบอล"[ 156]
ในเดือนพฤษภาคม อาร์เซนอลเสมอในบ้านสองนัดติดต่อกันต่อเบอร์มิงแฮมซิตี และพอร์ตสมัท ทำให้อาร์เซนอลมี 84 แต้มจาก 36 นัด[ 157] [ 158] [ 159] นัดถัดมา เรเยสยิงหนึ่งประตูช่วยให้ทีมเอาชนะฟูลัมจากความผิดพลาดของผู้รักษาประตู แอ็ดวิน ฟัน เดอร์ซาร์ "ผู้รักษาประตูชาวดัตช์พยายามพุ่งผ่านกองหน้าของอาร์เซนอล แต่ให้อาร์เซนอลได้ครองบอลแทนและเป็นประตูโล่ง ๆ ที่ง่ายที่สุด"[ 160] นัดสุดท้ายของฤดูกาลอาร์เซนอลพบเลสเตอร์ซิตีในบ้าน พวกเขาเสียประตูก่อน แต่ก็พลิกกลับมาชนะจากสองประตูของอ็องรีกับวีเยรา จบฤดูกาล พวกเขาชนะ 26 นัด เสมอ 12 นัด และไม่แพ้สักนัด เป็นทีมแรกที่ไม่แพ้ทีมใดตลอดทั้งฤดูกาลนับตั้งแต่ที่เพรสตันนอร์ทเอนด์ เคยทำได้ในฤดูกาล 1888–89 เมื่อทบทวนนัดและฤดูกาลทั้งหมดแล้ว เอมี โลแรนซ์แห่ง ดิอับเซิร์ฟเวอร์ เขียนว่า "ความสำเร็จของอาร์เซนอลไม่อาจทำให้พวกเขา 'ยิ่งใหญ่' ในความเห็นของทุกคนได้ ผู้ที่นิยามความยิ่งใหญ่เฉพาะจากถ้วยยุโรป แชมป์ติดต่อกันและตีลังกาสามรอบก่อนทำประตูทุกครั้ง แต่มันน่าประทับใจด้วยตัวมันเอง"[ 161]
นัด
ตารางคะแนน
อันดับ
สโมสร
แข่ง
ชนะ
เสมอ
แพ้
ได้
เสีย
คะแนน
ได้รับคัดเลือก หรือ ตกชั้น
1
อาร์เซนอล (C)
38
26
12
0
73
26
+47
90
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2004–05 รอบแบ่งกลุ่ม
2
เชลซี
38
24
7
7
67
30
+37
79
3
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
38
23
6
9
64
35
+29
75
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2004–05 รอบคัดเลือกรอบสาม
4
ลิเวอร์พูล
38
16
12
10
55
37
+18
60
5
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด
38
13
17
8
52
40
+12
56
ยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 2004–05 รอบแรก
แหล่งข้อมูล: [ 162] กฎการจัดอันดับ:
1) คะแนน; 2) ผลต่างประตู; 3) ประตูรวม(C) = ชนะเลิศ; (R) = ตกชั้น; (P) = เลื่อนชั้น; (O) = ผู้ชนะจากรอบคัดเลือก; (A) = ผ่านเข้ารอบต่อไป ใช้ได้เฉพาะเมื่อฤดูกาลยังไม่สิ้นสุด: (Q) = ได้รับคัดเลือกเข้าแข่งขันในระยะของทัวร์นาเมนต์ที่ระบุ; (TQ) = ได้รับคัดเลือกเข้าแข่งขัน แต่ยังไม่อยู่ในระยะที่ระบุ; (DQ) = ถูกตัดสิทธิ์จากทัวร์นาเมนต์
ผลแต่ละรอบ
นัดที่
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
สนาม
H
A
H
A
H
A
H
A
H
A
A
H
A
H
A
H
A
H
A
A
H
A
H
A
H
A
H
A
H
H
H
A
H
A
H
A
A
H
ผล
W
W
W
W
D
D
W
W
W
D
W
W
W
D
D
W
D
W
W
D
W
W
W
W
W
W
W
W
W
D
W
D
W
D
D
D
W
W
อันดับที่
4
1
1
1
1
1
1
1
1
1
2
1
1
2
2
1
1
2
2
2
1
1
1
1
1
1
1
1
1
1
1
1
1
1
1
1
1
1
อ้างอิง: [ 163]
สนาม : A = เยือน; H = เหย้า ผล : D = เสมอ; L = แพ้; W = ชนะ; P = เลื่อนการแข่งขัน
เอฟเอคัพ
เอฟเอคัพเป็นการแข่งขันถ้วย หลักของฟุตบอลอังกฤษ จัดครั้งแรกในปี 1871–72 โดยมี 15 ทีมเข้าแข่งขัน[ 164] การเติบโตของกีฬาฟุตบอลและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการแข่งขันทำให้ในปี 2000 มีกว่า 600 ทีมเข้าร่วม[ 165] สโมสรในพรีเมียร์ลีกเข้าสู่เอฟเอคัพในรอบสามและถูกจับสุ่มออกจากหมวกด้วยสโมสรที่เหลือ หากผลเสมอทั้งสองทีมต้องเล่นใหม่ เดิมเล่นที่สนามของทีมเยือนของเกมแรก ด้วยกำหนดการลีก นัดเอฟเอคัพจึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในกรณีที่เกมได้รับคัดเลือกให้ออกอากาศทางโทรทัศน์และอาจชนกับการแข่งขันอื่นได้[ 166] ในกรณีของอาร์เซนอล มีการออกอากาศการแข่งขันทุกนัดยกเว้นนัดที่เสมอ (รอบที่สี่) ต่อผู้ชมบริติช[ 167] [ 168] [ 169] [ 170]
อาร์เซนอลเข้าสู่ฤดูกาล 2003–04 ในฐานะแชมป์เก่า ทีมไร่พ่ายในการแข่งขันถ้วย 14 นัดนับแต่นัดที่แพ้ลิเวอร์พูล 2–1 ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ 2001 และหวังชนะการแข่งขันเป็นฤดูกาลที่สามติดต่อกัน ซึ่งครั้งสุดท้ายสโมสรแบล็กเบิร์นโรเวอส์เคยทำไว้ตั้งแต่ปี 1884 ถึง 1886[ 171] อ็องรีเชื่อว่ารูปแบบการเล่นที่ดีของอาร์เซนอลในบอลถ้วยแสดงว่าพวกเขา "สนใจ" ในการแข่งขันและหวังว่าความสำเร็จของพวกเขาจะยังอยู่ต่อไป[ 171] เอฟเอคัพอยู่ไม่สูงในรายการลำดับความสำคัญของแวงแกร์ "พรีเมียร์ลีกและแชมเปียนลีกสำคัญกว่า" แต่เขาขยายความว่าไม่ได้หมายความว่าอาร์เซนอลจะละเลยการแข่งขันนี้ "คุณชนะเท่าที่ได้และไปให้ไกลที่สุด"[ 172]
ภาพถ่ายเรวี สแตนด์ที่เอลแลนด์โรดปี 2007 ที่ที่อาร์เซนอลพบลีดส์ยูไนเต็ดในรอบที่สาม
อาร์เซนอลถูกจับสลากให้พบกับลีดส์ยูไนเต็ดแบบเยือนในรอบที่สาม มีการเล่นในสุดสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม[ 173] แวงแกร์เปลี่ยนตัวผู้เล่นหกตำแหน่งซึ่งเริ่มที่เซาท์แทมป์ตันในลีก ได้แก่ โคลแทนกลีชีเป็นกองหลังซ้ายหลังโทษพักเล่น 3 นัด หลังผ่านไป 8 นาที ลีดส์ขึ้นนำก่อนเมื่อลูกที่สกัดไม่หลุดของเลมันชนกองหน้า มาร์ก วิดูกา และกระดอนกลับเข้าตาข่าย[ 174] อาร์เซนอลตีเสมอได้ด้วยประตูของอ็องรี ซึ่งเปลี่ยนทิศทางลูกส่งข้ามของยุงแบร์ยจากฝั่งขวาด้วยวอลเลย์[ 174] อาร์เซนอลได้ประตูเพิ่มจากเอดู, ปีแร็ส และตูเร ทำให้อาร์เซนอลชนะ 4–1 ประตูต่อลีดส์เป็นครั้งที่สามติดต่อกันในเอลแลนด์โรด[ 174] ที่บ้านของมิดเดิลสเบรอในรอบที่สี่ แบร์คกัมป์ยิงประตูให้อาร์เซนอลขึ้นนำก่อนหลังการเล่นที่ดีจากพาร์เลอร์;[ 175] โฌแซ็ฟ-เดซีเร ฌอบ ยิงประตูตีเสมอให้ทีมเยือนอีกสี่นาทีถัดมา[ 175] แต่ยุงแบร์ยทำประตูทำให้อาร์เซนอลขึ้นนำอีกครั้งจากลูกยิงนอกกรอบเขตโทษ และยิงประตูที่สองเป็นลูกตรงจากการเตะมุม[ 175] จอร์จ โบอาเท็ง จากทีมเยือนถูกส่งออกจากสนามในนาทีที่ 86 จากใบเหลืองใบที่สอง และตัวสำรอง เดวิด เบนต์ลีย์ ยิงประตูที่สี่ให้อาร์เซนอล โดยชิปบอลข้ามผู้รักษาประตู ชวาร์ทเซอร์ ในนาทีสุดท้ายของเวลาปกติ[ 175]
ในรอบที่ห้า อาร์เซนอลพบเชลซีที่ไฮบรี ห้านาทีก่อนหมดครึ่งแรก กองหน้า อาดรีอัน มูตู ยิงให้เชลซีขึ้นนำก่อนจากลูกยิงระยะ 20 หลา[ 176] เรเยสซึ่งลงมาแทนอ็องรีเป็นตัวจริงในนัดนี้ ยิงไกลเข้าประตูตีเสมอให้กับเจ้าบ้าน[ 176] เขาวิ่งแข่งผู้รักษาประตูซัลลิวันเพื่อยิงประตูที่สองซึ่งเป็นประตูชัยของนัดนี้[ 176] รอบก่อนรองชนะเลิศเป็นการพบกับพอร์ตสมัทที่แฟรตตันพาร์กในวันที่ 6 มีนาคม 2004 อ็องรีเปิดเกมด้วยการทำประตูในนาทีที่ 25 และยิงเข้าอีกประตู และยุงแบร์ยกับตูเรยิงเข้าอีกคนละประตู ผ่านเข้าเป็นสี่ทีมสุดท้ายของการแข่งขัน[ 177] ผู้สื่อข่าว เดอะการ์เดียน เควิน แม็กคารา ผู้ตื่นเต้นกับการเล่นของทีมเยือน ยกย่องเอดูว่า "อาร์เซนอลดำเนินตามปรัชญาของอายักซ์ ที่ผู้เล่นสับเปลี่ยนตำแหน่งและเปลี่ยนจุดบุกเรื่อย ๆ ก่อนสะกดสายตาของเกมรับ"[ 177]
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นคู่แข่งของอาร์เซนอลในรอบรองชนะเลิศ จัดที่วิลลาพาร์กเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2004 ทั้งสองทีมเสมอกันในลีกเมื่อวันอาทิตย์ก่อน แต่เนื่องจากนี่เป็นนัดเพื่อตำแหน่งในรอบชิงชนะเลิศ เดิมพันจึงสูงกว่ามาก กองหลังของยูไนเต็ด แกรี เนวิล อธิบายเกมนี้ว่าเป็นเกม "สำคัญที่สุด" ของทีมเขาในฤดูกาลนี้หลังตกรอบแชมเปียนลีกและเขามองว่า "ตามหลังเกินไป" ในพรีเมียร์ลีก[ 178] แวงแกร์ให้อ็องรีได้พัก เมื่อพิจารณากำหนดการแข่งขันแน่นของทีมในอนาคต แม้อาร์เซนอลเริ่มเกมได้ดีกว่า แต่กองกลางของยูไนเต็ด พอล สโกลส์ เป็นผู้ทำประตูชัยประตูเดียวของเกมนั้นและทำให้ทีมผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ[ 179]
สัญลักษณ์สี: เขียว = อาร์เซนอลชนะ; แดง = คู่แข่งชนะ
ฟุตบอลลีกคัพ
ฟุตบอลลีกคัพเป็นการแข่งขันถ้วยที่เปิดแก่สโมสรในพรีเมียร์ลีกและฟุตบอลลีก แข่งแบบแพ้คัดออกเช่นเดียวกับเอฟเอคัพ โดยยกเว้นรอบรองชนะเลิศซึ่งแข่งสองผลัด ระยะเวลาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมของแวงแกร์ที่อาร์เซนอล เขาใช้การแข่งขันให้ผู้เล่นอายุน้อยและมีชื่อเสียงน้อยกว่าลงเล่น ซึ่งเขาและเฟอร์กูสันถูกวิจารณ์ทีแรกในปี 1997[ 180] แม้เฟอร์กูสันรู้สึกว่าเป็นสิ่งไขว้เขวไม่พึงปรารถนาในขณะนั้น แต่แวงแกร์กล่าวว่า "หากการแข่งขันต้องการอยู่รอด จะต้องให้สิ่งจูงใจเป็นตำแหน่งในยุโรป [การแข่งขันต่าง ๆ ของยูฟ่า]"[ 181] [ 182] ผู้ชนะลีกคัพในฤดูกาล 2003–04 จะได้เข้าไปเล่นยูฟ่าคัพ ยกเว้นได้รับสิทธิแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจากอันดับในลีก[ 183] นัดลีกคัพสามารถเปลี่ยนได้ในกรณีมีการเลือกเกมออกอากาศ ลมฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวย และการแข่งขันชนที่อาจเกิดขึ้น ทุกรอบยกเว้นรอบชิงชนะเลิศเล่นกลางสัปดาห์[ 184]
อาร์เซนอลเข้าสู่ลีกคัพในรอบที่สาม และถูกจับสลากเล่นที่บ้านของรอเทอรัมยูไนเต็ด[ 185] แวงแกร์ให้กองกลาง เซสก์ ฟาเบรกัส ลงเล่นนัดแรกเมืออายุได้ 16 ปี 177 วัน จนถึงปี 2016 เขายังเป็นผู้เล่นอายุน้อยสุดที่ลงเล่นให้สโมสร[ 186] อาร์เซนอลนำตั้งแต่นาทีที่ 11 จากประตูของอาลียาเดียร์ แต่เสียประตูตีเสมอในช่วงท้ายเกมทำให้ต้องต่อเวลา[ 187] ผู้รักษาประตูรอเทอรัม ไมก์ พอลลิตต์ ถูกไล่ออกจากสนามเพราะถือบอลนอกกรอบเขตโทษ ส่วนตัวสำรอง แกรี มอนต์กอเมอรี ป้องกันประตูชัยของวีลตอร์ได้ เนื่องจากไม่มีทีมใดยิงประตูเพิ่มได้ จึงตัดสินด้วยจุดโทษซึ่งอาร์เซนอลชนะ 9–8[ 187] อาร์เซนอลชนะคู่แข่งจากดิวิชันวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ ในรอบที่สี่ วีเยราซึ่งไม่ได้ลงเล่นจากอาการบาดเจ็บในเดือนกันยายนและตุลาคม กลับมาลงเล่นให้ทีมครั้งแรกและเล่นเต็มเวลา[ 188]
ในรอบที่ห้า อาร์เซนอลเดินทางไปเดอะฮอว์ทอนส์ พบกับเวสต์บรอมมิชอัลเบียน แวงแกร์เพิ่มนักฟุตบอลมากประสบการณ์เป็นตัวสำรองเพื่อลงแทนเยาวชน โดยมีชื่อของพาร์เลอร์, เอดู, คานู และคีโอน อาร์เซนอลขึ้นนำในนาทีที่ 25 จากคานู ลูกยิงข้ามจากฝั่งขวามือของโลแรนถูกเปลี่ยนทิศทางสู่คานู[ 189] ผู้รักษาประตู รัสเซลล์ โฮลต์ ป้องกันลูกโหม่งของเขา แต่ไม่สามารถรับลูกยิงที่กระดอนมาเข้าตาข่าย อาลียาเดียร์ทำประตูที่สองของอาร์เซนอลในนัดนี้หลัง โฮลต์เตะลูกทิ้งไม่ดี[ 189]
อาร์เซนอลออกจากการแข่งขันในรอบรองชนะเลิศที่พบกับมิดเดิลส์เบรอ ที่ไฮบรีอันเป็นที่แข่งขันผลัดแรก ฌูนิญญูยิงประตูเดียวในนัดนั้น[ 190] ความพยายามผ่านเข้ารอบของอาร์เซนอลยากขึ้นเมื่อคีโอนถูกไล่ออกจากสนามในผลัดสอง และเบาเดอไวน์ แซ็นเดิน ยิงประตูเพิ่มให้มิดเดิลส์เบรอ แม้เอดูจะยิงประตูตีเสมอให้อาร์เซนอลในคืนนั้น แต่การทำเข้าประตูตัวเองของเรเยสทำให้มิดเดิลส์เบรอชนะ[ 191] แวงแกร์ออกความเห็นถึงผลการแข่งขันว่า "ผมไม่คิดว่าเราสมควรแพ้ แม้เมื่อเราเหลือผู้เล่น 10 คน เราก็กำลังเล่นเกม"[ 191]
สัญลักษณ์สี: เขียว = อาร์เซนอลชนะ; เหลือง = เสมอ; แดง = คู่แข่งชนะ
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นการแข่งขันฟุตบอลสโมสรของทวีปยุโรปที่ยูฟ่า จัด ก่อตั้งในคริสต์ทศวรรษ 1950 ในชื่อ "ยูโรเปียนแชมเปียนคลับส์คัพ" การแข่งขันเปิดให้กับสโมสรแชมเปียนของแต่ละประเทศและจัดแบบทัวร์นาเมนต์แพ้คัดออก[ 192] การเติบโตของสิทธิโทรทัศน์ทำให้มีการเปลี่ยนรูปแบบใหม่ในคริสต์ทศวรรษ 1990 ให้รวมรอบแบ่งกลุ่มและอนุญาตให้ประเทศหนึ่งมีสโมสรเข้าแข่งขันได้หลายสโมสร[ 192] [ 193] อาร์เซนอลผ่านเข้าไปเล่นในแชมเปียนส์ลีกทุกฤดูกาลตั้งแต่ฤดูกาล 1998–99 แต่สโมสรไม่เคยไปไกลเกินรอบก่อนรองชนะเลิศ[ 194] ก่อนการแข่งขัน แวงแกร์ประเมินว่าทีมเขาจำเป็นต้องทำผลงานในเกมเหย้าว่า "เราโตพอแล้ว และเราต้องเพิ่มประกายเล็กน้อยเพื่อสร้างความแตกต่าง"[ 194]
รอบแบ่งกลุ่ม
ประกาศนอกไฮบรีแจ้งนัดที่อาร์เซนอลจะพบกับอินเตอร์มิลาน
อาร์เซนอลถูกจับสลากอยู่กลุ่มบี ร่วมกับสโมสรอิตาลีอินเตอร์มิลาน , โลโกโมติฟมอสโก แห่งรัสเซียและดีนาโมคียิว ของยูเครน[ 195] แวงแกร์เชื่อว่าการเดินทางไปยุโรปตะวันออกคุกคามโอกาสชนะพรีเมียร์ลีกของทีม "ทีมอังกฤษอื่นมีกลุ่มที่สบายกว่าเรา การไปรัสเซียมันยาก ผมบอกเสมอถ้าคุณต้องเดินทางมากกว่าสองชั่วโมงมันยาก บางทีผู้เล่นจ่ายราคาแพงในเกมหลังนัดแชมเปียนส์ลีก"[ 196]
อาร์เซนอลประเดิมแชมเปียนส์ลีกด้วยการแพ้ 3–0 ต่ออินเตอร์มิลานซึ่งได้ประตูจากฮูลิโอ ริการ์โด กรุซ, แอ็นดี ฟัน เดอร์ไมเดอ และโอบาเฟมี มาร์ตินส์ ในครึ่งแรกทั้งหมด ทำให้อาร์เซนอลได้สถิติแพ้ในบ้านในแชมเปียนส์ลีกเป็นนัดที่หกติดต่อกัน[ 197] แวงแกร์กล่าวหลังจากนั้นว่า "เราสามารถบ่นและร้องไห้ได้ทั้งคืน แต่มันจะไม่เปลี่ยนแปลงผล สิ่งเดียวที่เราทำได้คือโต้ตอบ"[ 198] ทีมอาร์เซนอลซึ่งไม่มีแคมป์เบลล์และวีเยราเสมอในนัดที่ไปเยือนโลโคโมติฟมอสโก แต่ยังอยู่ท้ายตาราง[ 199] อาร์เซนอลแพ้ดีนาโมคียิวในปลายเดือนตุลาคม การตัดสินใจของแวงแกร์เปลี่ยนจากรูปขบวน 4–4–2 ที่เขานิยมทำให้ทีมเล่นแคบกว่าปกติ[ 200] โคลทำประตูชัยในนัดเล่นที่ไฮบรีพบดีนาโมคียิว ลูกยิงข้ามจากวีลตอร์ถูกอ็องรีปักไปทางโคลที่กำลังพุ่งเข้ามา แล้วโหม่งบอลข้ามผู้รักษาประตู ออเลคซันดร์ ชอฟคอฟสกีย์[ 201]
ทีมทำประตูได้สี่ประตูในครึ่งหลังที่พบกับอินเตอร์มิลานและชนะ 5–1 แวงแกร์รู้สึกว่าผลนี้แสดงถึง "...ความเข้มแข็งทางจิตใจเป็นพิเศษในทีม" ส่วนโคลเปรียบเทียบว่าเหมือนชัยของอังกฤษต่อเยอรมนีในปี 2001 แต่เสริมว่า "นี่ดีกว่าอีก"[ 202] อาร์เซนอลชนะโลโคโมติฟมอสโก 2–0 เป็นแชมป์กลุ่มบี เจค็อบ เล็กเกโท ถูกไล่ออกจากสนามในนาทีที่ 8 ทำให้ทีมเยือนแข่งในเวลาที่เหลือด้วยผู้เล่นสิบคน[ 203]
สัญลักษณ์สี: เขียว = อาร์เซนอลชนะ; เหลือง = เสมอ; แดง = คู่แข่งชนะ
รอบแพ้คัดออก
รอบ 16 ทีมสุดท้าย
อาร์เซนอลถูกจับคู่พบเซลตา เด บิโก ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และผลัดแรกจัดที่บาลาอิโดส [ 204] แม้เสียสองประตูจากลูกตั้งเตะ แต่อาร์เซนอลทำประตูคืนได้สามประตูทำให้ชนะนัดนั้น ทำให้ทีมอยู่ในสถานะได้เปรียบตามกฎประตูทีมเยือน [ 205] นัดถัดมาในวันที่ 10 มีนาคม 2004 อาร์เซนอลผ่านเข้ารอบโดยชนะ 2–0 ที่อ็องรีเป็นผู้ทำประตูทั้งสองลูก[ 206]
สัญลักษณ์สี: เขียว = อาร์เซนอลชนะ; เหลือง = เสมอ; แดง = คู่แข่งชนะ
รอบก่อนรองชนะเลิศ
ในรอบก่อนรองชนะเลิศ อาร์เซนอลพบสโมสรอังกฤษร่วมชาติเชลซี ผลจับสลากทำให้รองประธานดีนผิดหวัง เขาว่า "ความยินดีของการเล่นในยุโรปอย่างหนึ่งคือการเล่นกับทีมจากต่างประเทศ และการได้เล่นกับเชลซีสามครั้ง เป็นการชะลอความตื่นเต้นไปบ้าง"[ 207] ผลัดแรกแข่งที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ยุติด้วยการเสมอเมื่อกวึดยอนแซนและปีแร็สทำประตูให้สโมสรของตน อาร์เซนอลไม่สามารถใช้ข้อได้เปรียบจากการไล่มาร์แซล เดอซายี ออกในครึ่งหลัง แต่แวงแกร์รู้สึกว่าทีมเขาอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะผ่านเข้ารอบ "เป้าหมายหลักของเราจะเป็นการชนะเกมที่ไฮบรี และเรารู้ว่าเราทำได้"[ 208]
อ็องรีซึ่งพักสำหรับนัดรองชนะเลิศเอฟเอคัพ ลงเป็นตัวจริงคู่กับเรเยสในผลัดสอง เรเยสทำประตูให้อาร์เซนอลขึ้นนำในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก แต่แฟรงก์ แลมพาร์ด ทำประตูตีเสมอให้เชลซีในนาทีที่ 51 และสามนาทีก่อนหมดเวลา กองหลัง เวย์น บริดจ์ ทำประตูได้ทำให้อาร์เซนอลตกรอบ[ 209]
สัญลักษณ์สี: เขียว = อาร์เซนอลชนะ; เหลือง = เสมอ; แดง = คู่แข่งชนะ
สถิติผู้เล่น
อาร์เซนอลใช้ผู้เล่นทั้งหมด 34 คนระหว่างฤดูกาล 2003–04 และมีผู้ทำประตูได้ 15 ประตู นอกจากนี้ยังมีสมาชิกทีมสามคนที่ไม่ได้ลงเป็นตัวจริงเลยตลอดฤดูกาล ทีมเล่นในรูปขบวน 4–4–2 ตลอดฤดูกาล โดยมีกองกลางกว้าง 2 คน ตูเรลงเล่น 55 นัด มากกว่าผู้เล่นอาร์เซนอลคนอื่นทุกคนในฤดูกาลและเลมันลงเป็นตัวจริงทั้ง 38 นัดในลีก
ทีมทำประตูได้รวม 114 ประตูในทุกการแข่งขัน อ็องรีทำประตูได้มากสุด 39 ประตู รองลงมาคือ ปีแร็สทำได้ 19 ประตู ประตูของอาร์เซนอลสามประตูในฤดูกาล 2003–04 (ของอ็องรีต่อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูล, ของวีเยราต่อท็อตนัมฮอตสเปอร์) อยู่ในรายการประตูแห่งฤดูกาลที่จัดโดยผู้ชม เดอะพรีเมียร์ชิป ของไอทีวี[ 210] มีผู้เล่นอาร์เซนอลถูกไล่ออกจากสนามห้าคนในฤดูกาลนี้ ได้แก่ เจฟเฟอส์, วีเยรา, แคมป์เบลล์, โคล และคีโอน
สัญลักษณ์
= ใบเหลือง
= ใบแดง
ตัวเลขในวงเล็บหมายถึงการลงเล่นเป็นตัวสำรอง ผู้เล่นที่มีเครื่องหมายขีดและ † หมายถึง ผู้เล่นที่ออกจากสโมสรระหว่างฤดูกาล
แหล่งข้อมูล: [ 211]
รางวัล
ในการยอมรับความสำเร็จของทีม แวงแกร์ได้รับรางวัลผู้จัดการแห่งปีของบาร์คลีย์การ์ด โฆษกของคณะกรรมการรางวัลกล่าวถึงการตัดสินว่า "อาร์แซน แวงแกร์เป็นผู้รับรางวัลนี้ที่คู่ควรอย่างยิ่ง และส่งทีมเขาสู่หนังสือประวัติศาสตร์ อาร์เซนอลเล่นฟุตบอลเชิงรุกที่น่าตื่นเต้นตลอดฤดูกาลและการจบฤดูกาลโดยไร้พ่ายเป็นปรากฏการณ์ที่อาจไม่ได้เห็นไปอีก 100 ปี"[ 212] อ็องรีได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ จากเพื่อนร่วมอาชีพ และนักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอล เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน เขาเป็นผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นทั้งผู้เล่นแห่งปีของโลกฟีฟ่า 2003 และบาลงดอร์ 2003[ 213]
ผู้เล่นอาร์เซนอลสามคนได้รับรางวัลผู้เล่นพรีเมียร์ลีกประจำเดือน อ็องรีได้ในเดือนมกราคมและเมษายน 2004 และแบร์คกัมป์และเอดูได้รางวัลร่วมกันในเดือนกุมภาพันธ์ 2004 หลังผู้ตัดสิน "รู้สึกว่าเหมาะสมที่เราจะให้รางวัลร่วม"[ 214] แวงแกร์เป็นผู้จัดการพรีเมียร์ลีกประจำเดือนสิงหาคม 2003 และกุมภาพันธ์ 2004[ 215]
ผลพวงและมรดก
ผู้เล่นและแฟนของอาร์เซนอลเฉลิมฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกในแห่รถโดยสารประจำทางเปิดประทุน
หนึ่งวันหลังนัดที่พบกับเลสเตอร์ซิตี อาร์เซนอลจัดการแห่ถ้วยรางวัลพรีเมียร์ลีกบนรถโดยสารประจำทางเปิดประทุนต่อหน้าแฟนกว่า 250,000 คน[ 216] แห่ฉลองชัยเริ่มต้นจากไฮบรีไปสิ้นสุดที่ศาลากลางเมืองอิสลิงตัน ในเฉลียงของศาลากลาง วีเยรากล่าวต่อฝูงชนว่า "มันเป็นฤดูกาลวิเศษ เราทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือสำเร็จ แต่เราไม่สามารถทำได้หากปราศจากแฟน"[ 217] ในการสัมภาษณ์กับบีบีซี ดีนเสริมว่า "เราเห็นประวัติศาสตร์ถูกสร้าง และผมจะแปลกใจหากมันเกิดขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเอกสิทธิ์จริง ๆ ที่ได้ชมอาร์เซนอลฤดูกาลนี้"[ 217]
พรีเมียร์ลีกสั่งทำถ้วยรางวัลทองเดียวเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จของอาร์เซนอล
ความสำเร็จไร้พ่ายของอาร์เซนอลตลอดฤดูกาลลีกได้รับการยกย่องจากผู้เกี่ยวข้องในวงการฟุตบอล เดริก ชอว์ (Derek Shaw) ประธานสโมสรเพรสตัน กล่าวแสดงความยินดีเมื่ออาร์เซนอลทำสถิติไร้พ่ายตลอดฤดูกาลเช่นเดียวกับสโมสรของเขาทำไว้เมื่อ 115 ปีก่อน[ 218] ชาวบราซิล โรแบร์ตู การ์ลุส เปรียบเทียบลีลาการเล่นของอาร์เซนอลกับ "ฟุตบอลแซมบา" ส่วนมีแชล ปลาตีนีปรบมือให้กับ "ความสามารถและสปิริตยิ่งใหญ่" ของทีม อดีตผู้จัดการทีมอาร์เซนอล จอร์จ เกรอัม ยกความสำเร็จให้การการปรับปรุงเกมรับ เนื่องจากความผิดพลาดในฤดูกาลที่แล้วมีราคาแพงและอดีตกองหน้า อลัน สมิท รู้สึกว่าทีมชุดนี้ "ดีที่สุดเท่าที่ไฮบรีเคยเห็นแน่นอน"
"ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการไม่แพ้ตลอดฤดูกาลเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สุดของผม หากคุณชนะแชมป์คุณรู้สึกว่าบางคนสามารถเข้ามาแทนและทำได้ดีกว่าคุณ เป็นฝันของผมที่ไม่แพ้ตลอดฤดูกาลตลอดมาเพราะคนอื่นล้มมันได้ไม่มาก"
–อาร์แซน แวงแกร์ , กันยายน 2009[ 219]
สื่อบริติชยกย่องความสำเร็จของอาร์เซนอลเป็นเอกฉันท์เมื่อใกล้จบฤดูกาล นิวส์ออฟเดอะเวิลด์ เขียนว่าทีมนี้เป็น "อมตชน" ส่วน เดอะซันเดย์ไทมส์ ขึ้นพาดหัว "อาร์เซนอลไร้พ่ายทีมใหม่"[ 220] ในการสะท้อนทางบวกของฤดูกาลอาร์เซนอล เกล็น มัวร์ เขียนใน ดิอินดิเพนเดนต์ ว่า "ฉะนั้นอาจมีความจริงบ้างในประกาศของอาร์แซน แวงแกร์ว่าความสำเร็จของอาร์เซนอลเป็นชัยยิ่งใหญ่กว่าชนะแชมเปียนส์ลีก การเฉลิมฉลองยาวนานของอาร์เซนอลสะท้อนขนาดของหลักหมุดนี้ กระนั้นเมื่อพวกเขาสะท้อนในช่วงพักฤดูร้อน ผู้เล่นกี่คนจะเห็นด้วยกับแวงแกร์"[ 221]
หลังจากนั้นพรีเมียร์ลีกสั่งทำถ้วยรางวัลถอดแบบสีทองครั้งเดียว มีการมอบให้อาร์เซนอลก่อนเกมเหย้าเกมแรกในฤดูกาลถัดมา[ 222] [ 223] ทีมยังทำลายสถิติไม่แพ้ในลีก 42 นัด (ของน็อตติงแฮมฟอร์เรสต์) ต่อแบล็กเบิร์นโรเวอส์ และเล่นอีกเจ็ดนัดก่อนแพ้ ในนัดเยือนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเดือนตุลาคม 2004[ 224] แม้อาร์เซนอลได้แชมป์เอฟเอคัพจากแข่งยิงจุดโทษกับยูไนเต็ด แต่พวกเขาได้ที่สองตามหลังเชลซีในลีก[ 225] การย้ายไปเอมิเรตส์สเตเดียม ในปี 2006 ตรงกับระยะเปลี่ยนผ่านของสโมสร ตัวจริงมากประสบการณ์หลายคนถูกเปลี่ยนตัวเป็นเยาวชนและลีลาการเล่นเปลี่ยนไปเน้นครองบอลมากขึ้น[ 226] นับแต่นั้นอาร์เซนอลไม่เคยคว้าแชมป์ลีกอีก กระนั้นยังมีตำแหน่งในแชมเปียนส์ลีกทุกปีภายใต้การคุมทีมของแวงแกร์[ 227]
การคว้าแชมป์ที่ไวต์ฮาร์ตเลนอยู่อันดับสามในรายการ 50 ขณะยิ่งใหญ่ที่สุดของอาร์เซนอล และผลงานที่ซานซีโรอยู่ในอันดับที่ 10;[ 228] ในปี 2012 ทีมอาร์เซนอลฤดูกาล 2003–04 ชนะหมวด "ทีมยอดเยี่ยม" ในรางวัล 20 ฤดูกาลพรีเมียร์ลีก[ 229]
เชิงอรรถ
↑ ก่อนเริ่มฤดูกาลลีก แวงแกร์บอกผู้สื่อข่าวว่า "ไม่มีใครจะจบอันดับเหนือกว่าเราในลีก มันจะไม่ทำให้ผมประหลาดใจถ้าพวกเราไม่แพ้ตลอดฤดูกาล"[ 5]
↑ ในปี 2005 ตระกูลเกลเซอร์ได้ซื้อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยมูลค่า 800 ล้านปอนด์[ 11]
↑ ตำแหน่งที่ทำนายเฉลี่ยของผู้เขียนริชาร์ด วิลเลียมส์, เควิน แม็กคาร์รา, ไมเคิล วอล์กเกอร์, แดเนียล เทย์เลอร์, ดอมินิก ฟิฟีลด์, จอน บรอดกิน, และรอน แอตคินสัน
↑ เกิดความลำบากในการระดมเงินสด อาร์เซนอลจึงริเริ่มแผนพันธบัตรในฤดูร้อนปี 2003 ซึ่งให้ผู้สนับสนุนมีสิทธิซื้อตั๋วรายปี (season ticket) ที่ไฮบรีและที่สนามกีฬาใหม่ เช่นเดียวกับการมีสิทธิได้รับเงินปันผลไม่เกิน 100 ปอนด์ต่อฤดูกาลขึ้นอยู่กับความสำเร็จของอาร์เซนอลในอีกห้าปีข้างหน้า มีการออกพันธบัตร 3,000 พันธบัตรราคาตั้งแต่ 3,500 ถึง 5,000 ปอนด์ อาร์เซนอลเคยมีแผนคล้ายกันในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 เพื่อเพิ่มรายได้สำหรับเทอร์เรสนอร์ทแบงก์ปรับปรุงใหม่ที่ไฮบรี ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าคิดราคาแพงจนผู้ไม่ร่ำรวยดูเกมไม่ได้ แผนครั้งแรกประสบความสำเร็จพอสมควรโดยสามารถขายพันธบัตรได้หนึ่งในสามของทั้งหมด อาร์เซนอลระดมเงินได้หลายล้านปอนด์ผ่านแผนครั้งที่สอง แม้ไม่เปิดเผยจำนวนผู้ซื้อ นอกจากนี้ยังไม่เคยเจาะจงว่าใช้เงินนี้กับทีมหรือจัดหาเงินทุนแก่สนามกีฬา[ 24]
↑ เฟอร์ดินานด์ถูกพบว่ามีความผิดฐานประพฤติมิชอบหลังไม่ผ่านการทดสอบสารเสพติด ในเดือนธันวาคม 2003 เขาถูกห้ามลงแข่งฟุตบอลทุกประเภทแปดเดือน[ 131] การอุทธรณ์คำสั่งห้ามของยูไนเต็ดในอีกหลายเดือนต่อมาไม่สำเร็จ ต่อมาเฟอร์กูสันอ้างว่าการขาดเฟอร์ดินานด์เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทีมไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก[ 132]
↑ สองสโมสรดังกล่าวสร้างสถิติไม่แพ้ทีมใดในฤดูกาลลีก 42 และ 40 นัดตามลำดับ[ 143] [ 144] [ 145] แม้เพรสตันนอร์ทเอนด์เป็นฝั่งอังกฤษทีมแรกที่จบฤดูกาลโดยไม่แพ้ แต่ฤดูกาลนั้นเล่นเพียง 22 นัด[ 146]
อ้างอิง
↑ 1.0 1.1 "Arsenal first team line up (2003–04)" . The Arsenal History . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-11-05. สืบค้นเมื่อ 19 March 2013 . Note: Information is in the section 2003–04. Attendances of friendlies not taken into account in average.
↑ 2.0 2.1 2.2 McCarra, Kevin (26 April 2004). "Unbeaten champions earn a place in history" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 7 August 2013 .
↑ 3.0 3.1 Fletcher, Paul (4 May 2003). "Ten weeks that turned the title" . BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 11 February 2012 .
↑ Wilson, Paul (18 May 2003). "Pires aim is true for muted Gunners" . The Observer . London. สืบค้นเมื่อ 23 June 2012 .
↑ Clavan, Anthony (18 August 2002). "We won't lose a game". Sunday Mirror . London. p. 80.
↑ "Arsenal can go unbeaten all season, says Wenger" . CNNSI.com. Associated Press. 20 September 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-10-04. สืบค้นเมื่อ 18 July 2010 .
↑ Fifield, Dominic (21 October 2002). "Youngest goalscorer gets into the habit of wrecking records" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 16 June 2012 .
↑ Burt, Jason (4 May 2003). "United the champions as Arsenal collapse" . The Independent . London. สืบค้นเมื่อ 8 July 2016 .
↑ Arsenal boss Arsène Wenger (Radio). London: BBC. 4 May 2003.
↑ "Russian businessman buys Chelsea" . BBC News. 2 July 2003. สืบค้นเมื่อ 18 July 2010 .
↑ Burt, Jason (2 March 2013). "Arsenal poised to be subjected to £1.5bn takeover bid from Middle East consortium within the next few weeks" . The Sunday Telegraph . London. สืบค้นเมื่อ 30 June 2013 .
↑ King, Daniel (19 July 2003). "Can football ever be the same now Chelsea have this Russian's fortune to spend?". Daily Mail . London. pp. 114–115.
↑ Fifield, Dominic (2 February 2011). "Arsène Wenger blasts Chelsea for hypocrisy over £75m transfer spree" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 30 June 2013 .
↑ Hart, Michael; Dyer, Ken (19 July 2003). "Hands off Henry". Evening Standard . London. pp. 63–64.
↑ "Guardian writers predict the season's winners and losers" . The Guardian . London. 16 August 2003. สืบค้นเมื่อ 14 August 2013 .
↑ Ingle, Sean; Murray, Scott; Harper, Nick; Rookwood, Dan (15 August 2003). "The amazing (and probably inaccurate) Guardian Unlimited Premiership predictor" . theguardian.com . สืบค้นเมื่อ 30 June 2013 .
↑ 17.0 17.1 Moore, Glenn (16 August 2003). "Liverpool have the team to lift the crown". The Independent . London. p. S1.
↑ Hayes, Alex (10 August 2003). "Bolt from the Blues: Chelsea enrich the Premiership picture". The Independent on Sunday . London. p. S7.
↑ "Special review: Predictions". The Observer . London. 10 August 2003. p. S7.
↑ "Arsenal". The Sunday Times . 10 August 2003. p. S12.
↑ "Preview". Sunday Tribune . Dublin. 10 August 2003. p. S6–7.
↑ Cass, Simon (29 July 2003). "I won't be bringing in anyone else, says Wenger". Daily Mail . London. p. 68.
↑ Simons, Raoul (7 May 2003). "Arsenal fans give bond plan cold reception". Evening Standard . London. p. 70.
↑ Kempson, Russell (13 August 2003). "Vieira and Pires put end to speculation" . The Times . สืบค้นเมื่อ 20 August 2009 . (ต้องรับบริการ)
↑ Melling, Joe (19 July 2003). "Of course, it can as Fergie knows". Mail on Sunday . London. p. 111.
↑ "Team-by-team guide to the Premiership". The Independent . London. 16 August 2003. pp. 13–15.
↑ 28.0 28.1 "Jeffers joins Everton" . BBC Sport. 1 September 2003. สืบค้นเมื่อ 4 August 2010 .
↑ Hodges, Andy (27 August 2003). "Wenger goes Dutch in forward planning". The Independent . London. p. 26.
↑ "Fussball". Tages-Anzeiger . Zurich. 19 July 2003. p. 37.
↑ Edgar, Bill (29 April 2004). "Wenger goes Dutch in forward planning". The Times . p. 51.
↑ Booth, Martin (24 August 2003). "Wenger: Title is top priority". Sunday Mirror . London. p. 93.
↑ Hart, Michael (8 August 2003). "I've no reason to be pessimistic". Evening Standard . London. pp. 74–75.
↑ "Title rivals have their say" . BBC Sport. 11 August 2003. สืบค้นเมื่อ 18 July 2010 .
↑ Paskin, Tony (28 July 2003). "Europe is out of our league says Campbell". Daily Express . London. p. 61.
↑ "Arsenal home kits" . Arsenal F.C. 22 กุมภาพันธ์ 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 30 กรกฎาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2016 .
↑ "Shades of 1971 for Arsenal". Evening Standard . London. 14 July 2003. p. 68.
↑ "Arsenal away kits" . Arsenal F.C. 10 กรกฎาคม 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 30 กรกฎาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2016 .
↑ "Arsenal sign Swiss defender" . BBC Sport. 20 December 2002. สืบค้นเมื่อ 4 August 2010 .
↑ Martin, Neil (26 July 2003). "Lehmann ends Arsenal's goalkeeper search". The Guardian . London. p. S6.
↑ "Djourou reveals his desire to get nasty and cement a first-team place" . The Guardian . London. 31 December 2008. สืบค้นเมื่อ 13 August 2010 .
↑ "Arsenal sign Clichy" . BBC Sport. 4 August 2003. สืบค้นเมื่อ 3 August 2010 .
↑ "Football: Young Gunner". Daily Mirror . London. 20 August 2003. p. 51.
↑ "Reyes passes Arsenal medical" . BBC Sport. 28 January 2004. สืบค้นเมื่อ 13 August 2010 .
↑ "Arsenal sign Van Persie" . BBC Sport. 28 April 2004. สืบค้นเมื่อ 13 August 2010 .
↑ Madill, Rob (30 May 2003). "Football: Bright move Graham". Coventry Evening Telegraph . p. 80.
↑ "Seaman to join Man City" . BBC Sport. 4 June 2003. สืบค้นเมื่อ 4 August 2010 .
↑ Halford, Brian (22 July 2003). "Luzhny can't wait to start". Birmingham Evening Mail . p. 45.
↑ "In brief: Warmuz leaves Arsenal for Dortmund". The Independent . London. 28 July 2003. p. 24.
↑ "Window shopping". Daily Mail . London. 17 January 2004. p. 93.
↑ "Cercle Bruges set to become feeder club for Blackburn". The Independent . London. 27 February 2004. p. 61.
↑ "Window of opportunity – The Premiership's arrivals and departures this summer". The Independent . London. 2 September 2003. p. 24.
↑ "Juan, details and stats" . Soccerbase. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-05-01. สืบค้นเมื่อ 14 August 2010 .
↑ 54.0 54.1 "Sebastian Svärd, details and stats" . Soccerbase. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2007-08-07. สืบค้นเมื่อ 14 August 2010 .
↑ "Fulham's volz deal". Daily Mirror . London. 8 August 2003. p. 69.
↑ "Phillips takes pay cut to join Saints". Daily Mail . London. 15 August 2003. p. 91.
↑ "Pennant completes Leeds switch" . BBC Sport. 20 August 2003. สืบค้นเมื่อ 4 August 2010 ."Pennant extends Leeds stay" . BBC Sport. 19 April 2004. สืบค้นเมื่อ 4 August 2010 .
↑ "Van Bronckhorst moves". The Irish Times . Dublin. 27 August 2003. p. 25.
↑ "Transfers – January 2004" . BBC Sport. 18 January 2004. สืบค้นเมื่อ 13 August 2013 ."Target Srnicek". Daily Mirror . London. 17 February 2004. p. 55.
↑ Carrick, Charles (12 July 2003). "Scare for Arsenal". The Daily Telegraph . London. p. S5.
↑ "Barnet 0–0 Arsenal" . BBC Sport. 19 July 2003. สืบค้นเมื่อ 1 August 2013 .
↑ Hayward, Paul (16 August 2011). "Manchester City midfielder Yaya Toure the one who got away for Arsenal manager Arsene Wenger" . The Daily Telegraph . London. สืบค้นเมื่อ 1 August 2013 .
↑ Stiles, Adrian (6 July 2003). "Arsenal in rapid return". Daily Star . London. p. 73.
↑ 64.0 64.1 Stammers, Steve (23 July 2003). "Wenger takes sick leave as Gunners scrape a draw". Evening Standard . London. p. 60.
↑ "Football: Dennis is a Happy Kamper". Daily Mirror . London. 26 July 2003. p. 68.
↑ Stammers, Steve (29 July 2003). "Vieira poised to play after topping the foreign legion". Evening Standard . London. p. 56.
↑ Sheehan, Pat (30 July 2003). "Wenger: My underdogs". The Sun . London. p. 61.
↑ 68.0 68.1 Driscoll, Matt (3 August 2003). "Pat's magic". News of the World . London. p. S6.
↑ 69.0 69.1 Irvine, Neil (3 August 2003). "Vieira returns to fray". The Sunday Telegraph . London. p. S6.
↑ Reynolds, Lee (6 August 2003). "Vieira all the range". Daily Mirror . London. p. 45.
↑ "0:2 gegen die Gunners" . FK Austria Wien (ภาษาเยอรมัน). 25 July 2003. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 30 July 2003. สืบค้นเมื่อ 19 February 2012 .
↑ Bradley, Nick (11 August 2003). "Howard's way is spot on as Reds lift Shield". Irish News . Dublin. p. 19.
↑ 73.0 73.1 73.2 "Man Utd win Community Shield" . BBC Sport. 10 August 2003. สืบค้นเมื่อ 13 August 2013 .
↑ 74.0 74.1 Grant, Alistair (11 August 2003). "Less appetite for Shield – Wenger". Coventry Evening Telegraph . p. 47.
↑ "Frequently asked questions about the F.A. Premier League" . Premier League. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 4 October 2003. สืบค้นเมื่อ 27 July 2013 .
↑ "TV Games". The Sun . London. 26 July 2003. p. 40.
↑ "Campbell off in Arsenal win" . BBC Sport. 16 August 2003. สืบค้นเมื่อ 2 July 2013 .
↑ McCarra, Kevin (25 August 2003). "Arsenal get back to full power" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 2 July 2013 .
↑ McCarra, Kevin (28 August 2003). "Arsenal clamber back to the summit" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 2 July 2013 .
↑ 80.0 80.1 Dickinson, Matt (1 September 2003). "Wenger's blast lifts Arsenal". The Times . p. S13.
↑ "English Premier League table, 31-08-2003" . Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 5 July 2013. สืบค้นเมื่อ 2 July 2013 .
↑ 82.0 82.1 82.2 Malam, Colin (14 September 2003). "Portsmouth pass quality test". The Sunday Telegraph . London. p. S2.
↑ "Pires: I am not a cheat" . BBC Sport. 15 September 2003. สืบค้นเมื่อ 2 July 2013 .
↑ 84.0 84.1 84.2 84.3 "Deadlock at Old Trafford" . BBC Sport. 21 September 2003. สืบค้นเมื่อ 4 July 2013 .
↑ "Eight charged after bust-up" . BBC Sport. 24 September 2003. สืบค้นเมื่อ 2 July 2013 .
↑ "Arsenal players banned" . BBC Sport. 30 October 2003. สืบค้นเมื่อ 14 April 2014 .
↑ "Arsenal down battling Newcastle" . BBC Sport. 26 September 2003. สืบค้นเมื่อ 4 July 2013 .
↑ Ley, John (2 December 2003). "Vieira back for Arsenal after injury 'nightmare' " . The Daily Telegraph . London. สืบค้นเมื่อ 4 July 2013 .
↑ Lynam, Des (presenter) (5 October 2003). The Premiership [Liverpool 1–2 Arsenal ] (Television production). ITV Sport. เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ 09:27:07 am to 09:37:46 am.
↑ 90.0 90.1 "Owen injured in Arsenal win" . BBC Sport. 4 October 2003. สืบค้นเมื่อ 26 July 2013 .
↑ 91.0 91.1 91.2 91.3 Kay, Oliver (6 October 2003). "Arsenal up for a fight". The Times . p. S11.
↑ "English Premier League table, 05-10-2003" . Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 31 พฤษภาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2013 .
↑ Dickinson, Matt (20 October 2003). "Cudicini slip keeps Arsenal in control". The Times . p. S10.
↑ "English Premier League table, 20-10-2003" . Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 31 พฤษภาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2013 .
↑ Winter, Henry (20 October 2003). "Mixed-up Chelsea crumble in the face of Arsenal unity" . The Daily Telegraph . London. สืบค้นเมื่อ 26 July 2013 .
↑ Edgar, Bill (27 October 2003). "Henry to the rescue again for Arsenal". The Times . p. S12.
↑ "English Premier League table, 26-10-2003" . Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 31 กรกฎาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2013 .
↑ Thomson, Paul (31 October 2003). "Pennant: I will not go easy on Cole". Evening Standard . London. p. 83.
↑ Broadbent, Rick (3 November 2003). "Beauty tames Reid's beast" . The Times . สืบค้นเมื่อ 28 July 2013 . (ต้องรับบริการ)
↑ Samuel, Martin (2 November 2003). "So poor for Reid". News of the World . London. p. 53.
↑ Cross, John (8 November 2003). "Sol: Spurs is just another game..I've moved on". Daily Mirror . London. p. 77.
↑ 102.0 102.1 Wilson, Paul (9 November 2003). "Freddie flatters Gunners" . The Observer . London. สืบค้นเมื่อ 28 July 2013 .
↑ "Match Report – Arsenal v Tottenham Hotspur" . Arsenal F.C. 21 พฤษภาคม 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 9 สิงหาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 8 กรกฎาคม 2016 .
↑ "Chelsea thump sorry Magpies" . BBC Sport. 9 November 2003. สืบค้นเมื่อ 14 August 2013 ."English Premier League table, 09-11-2003" . Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2 มีนาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2013 .
↑ "Arsenal stay top" . BBC Sport. 22 November 2003. สืบค้นเมื่อ 14 August 2013 .
↑ 106.0 106.1 Szczepanik, Nick (24 November 2003). "Arsenal kept flying at altitude by Bergkamp". The Times . p. S8.
↑ Szczepanik, Nick (1 December 2003). "Van Der Sar ensures Highbury hangover". The Times . p. S8.
↑ Lacey, David (1 December 2003). "Van der Sar puts brake on Arsenal juggernaut" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 28 July 2013 .
↑ Dickinson, Matt (1 December 2003). "Money men at Chelsea make a quick profit". The Times . p. S12.
↑ Townsend, Nick (7 December 2003). "Hignett makes the Gunners pay for self-inflicted wound". The Independent on Sunday . London. p. S2.
↑ 111.0 111.1 "Cole apologises for dismissal" . BBC Sport. 6 December 2003. สืบค้นเมื่อ 29 July 2013 .
↑ Moore, Glenn (15 December 2003). "Tired Arsenal are indebted to Bergkamp". The Independent . London. p. 32.
↑ 113.0 113.1 Caulkin, George (22 December 2003). "Allardyce lifting the spirit". The Times . p. S10.
↑ "Arsenal 3–0 Wolves" . BBC Sport. 26 December 2003. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013 .
↑ 115.0 115.1 Broadbent, Rick (30 December 2003). "Arsenal's French connection keep the pressure on United". The Times . p. 36.
↑ "English Premier League table, 29-12-2003" . Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 3 ธันวาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2013 .
↑ "Everton 1–1 Arsenal" . Arsenal F.C. 4 January 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 5 December 2004. สืบค้นเมื่อ 14 April 2014 .
↑ Fifield, Dominic (8 January 2004). "Radzinski checks Arsenal's stride" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 28 July 2013 .
↑ "Bolton 1–2 Man Utd" . BBC Sport. 6 January 2004. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013 .
↑ 120.0 120.1 Lawrence, Amy (11 January 2004). "Henry enjoys toying with satanic Mills" . The Observer . London. สืบค้นเมื่อ 28 July 2013 .
↑ Samuel, Martin (11 January 2004). "Trouble at mills". News of the World . London. p. S2.
↑ 122.0 122.1 McCarra, Kevin (19 January 2004). "Henry's speed of thought catches Villa cold" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013 .
↑ "English Premier League table, 19-01-2004" . Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 14 เมษายน 2014. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2013 .
↑ Broadbent, Rick (9 February 2004). "Artistic Arsenal leave Wolves on the canvas". The Times . p. S8.
↑ McCarra, Kevin (2 February 2004). "Anelka spoils the portrait of Arsenal's three ages" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013 .
↑ 126.0 126.1 Thomas, Russell (9 February 2004). "They break records, they win games. But is it enough for Arsenal?" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013 .
↑ Winter, Henry (11 February 2004). "Henry puts Arsenal in clear" . The Daily Telegraph . London. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013 .
↑ "English Premier League table, 10-02-2004" . Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 11 พฤษภาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2013 .
↑ Clarke, Richard (21 February 2004). "Chelsea 1–2 Arsenal" . Arsenal F.C. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 5 December 2004. สืบค้นเมื่อ 29 July 2016 .
↑ 130.0 130.1 130.2 McCarra, Kevin (23 February 2004). "Gunners turn ugly and hit new heights" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013 .
↑ "Ferdinand banned for eight months" . BBC Sport. 19 December 2003. สืบค้นเมื่อ 5 August 2013 .
↑ Wallace, Sam (18 September 2004). "Ferguson still sore at loss of Ferdinand" . The Daily Telegraph . London. สืบค้นเมื่อ 4 August 2013 .
↑ Dickinson, Matt (23 February 2004). "Ranieri heads for exit". The Times . p. S10.
↑ Mitchell, Kevin (29 February 2004). "Henry stars for leading lights" . The Observer . London. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013 .
↑ "English Premier League table, 29-02-2004" . Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 7 เมษายน 2014. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2013 .
↑ Wilson, Paul (14 March 2004). "Henry graft pushes Gunners on" . The Observer . London. สืบค้นเมื่อ 4 August 2013 .
↑ Harris, Chris (20 March 2004). "Arsenal 2–1 Bolton Wanderers" . Arsenal F.C. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 5 December 2004. สืบค้นเมื่อ 29 July 2016 .
↑ 138.0 138.1 Dickinson, Matt (22 March 2004). "Arsenal get the jitters". The Times . p. S8.
↑ Lawton, James (27 March 2004). "Old Trafford was Arsenal's turning point". The Independent . London. p. 77.
↑ "Arsenal 1–1 Manchester United" . Arsenal F.C. 28 March 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 5 December 2004. สืบค้นเมื่อ 21 August 2016 .
↑ 141.0 141.1 141.2 Winter, Henry (29 March 2004). "Arsenal let United off the hook" . The Daily Telegraph . London. สืบค้นเมื่อ 5 August 2013 .
↑ Keys, Richard (presenter); Tomlinson, Clare (interviewer) (28 March 2004). Ford Super Sunday: Arsenal vs. Manchester United [Post match thoughts of Manchester United manager, Sir Alex Ferguson ] (Television production). Sky Sports.
↑ "Arsenal's unbeaten run" . Evening Standard . London. 9 May 2004. สืบค้นเมื่อ 21 August 2016 .
↑ "Season 1973–74" . Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation (RSSSF). สืบค้นเมื่อ 21 August 2016 .
↑ "Season 1987–88" . Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation (RSSSF). สืบค้นเมื่อ 21 August 2016 .
↑ "First unbeaten football Premier League season" . Guinness World Records . สืบค้นเมื่อ 21 August 2016 .
↑ McCarra, Kevin (29 March 2004). "Saha accepts a rare gift as United steal Arsenal's thunder" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 5 August 2013 .
↑ "English Premier League table, 28-03-2004" . Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2 สิงหาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 5 สิงหาคม 2013 .
↑ 149.0 149.1 149.2 Winter, Henry (10 April 2004). "Henry reignites Arsenal" . The Daily Telegraph . London. สืบค้นเมื่อ 6 August 2013 .
↑ "Arsenal 4–2 Liverpool" . BBC Sport. 9 April 2004. สืบค้นเมื่อ 5 August 2013 .
↑ "Newcastle 0–0 Arsenal" . BBC Sport. 11 April 2004. สืบค้นเมื่อ 5 August 2013 .
↑ Brodkin, Jon (17 April 2004). "Henry's awesome foursome caps a broadside from the Gunners" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 6 August 2013 .
↑ Thompson, Georgie (narrator) (15 May 2004). The Premiership Years (Television production). Sky Sports. 89:52 นาที.
↑ 154.0 154.1 Clarke, Richard (20 พฤษภาคม 2004). "Tottenham 2–2 Arsenal" . Arsenal F.C. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 21 สิงหาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2016 .
↑ Winter, Henry (26 April 2004). "Champions revel in title success" . The Daily Telegraph . London. สืบค้นเมื่อ 7 August 2013 .
↑ "Wenger hails Arsenal unity" . BBC Sport. 25 April 2004. สืบค้นเมื่อ 7 August 2013 .
↑ Brodkin, Jon (3 May 2004). "Arsenal coasting to the line and their place in history" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 14 August 2013 .
↑ "Portsmouth 1–1 Arsenal" . BBC Sport. 4 May 2004. สืบค้นเมื่อ 14 August 2013 .
↑ "English Premier League table, 04-05-2004" . Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 3 ธันวาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2013 .
↑ Burnton, Simon (10 May 2004). "Reyes puts Arsenal within one step of heaven" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 14 August 2013 .
↑ Lawrence, Amy (16 May 2004). "Vintage Bergkamp uncorks Wenger's premier crew" . The Observer . London. สืบค้นเมื่อ 20 August 2009 .
↑ "Arsenal – 2003–04" . Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 24 กันยายน 2015. สืบค้นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2011 .
↑ "Arsenal – 2003–04" . Statto Organisation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 24 กันยายน 2015. สืบค้นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2011 .
↑ "On This Day: 'FA Challenge Cup' born on 20 July 1871" . The FA. 20 July 2014. สืบค้นเมื่อ 13 September 2016 .
↑ "The Cup's magic returns" . BBC Sport. 25 October 2000. สืบค้นเมื่อ 13 September 2016 .
↑ "Rules of The FA Cup Challenge Cup" . The FA. สืบค้นเมื่อ 13 September 2016 .
↑ "Gunners make it four-midable". The Sun . London. 3 January 2004. p. 74.
↑ "FA Cup Fifth Round on BBC One" . BBC Press Office. 5 February 2004. สืบค้นเมื่อ 9 September 2013 .
↑ "FA Cup Quarter-finals live on BBC One" . BBC Press Office. 17 February 2004. สืบค้นเมื่อ 9 September 2013 .
↑ Nancarrow, Keith (3 April 2004). "Giggs fits the bill to put one over Gunners". The Sun . London. p. 68.
↑ 171.0 171.1 Davies, Christopher (1 January 2004). "Arsenal finish first half with a zero from hero" . The Daily Telegraph . London. สืบค้นเมื่อ 12 August 2013 .
↑ McCarra, Kevin (3 January 2004). "Hat-trick stimulus raises the stakes for Wenger's men" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 12 August 2013 .
↑ "FA Cup third round draw" . BBC Sport. 17 December 2003. สืบค้นเมื่อ 1 May 2012 .
↑ 174.0 174.1 174.2 "Leeds 1–4 Arsenal" . BBC Sport. 4 January 2004. สืบค้นเมื่อ 2 May 2012 .
↑ 175.0 175.1 175.2 175.3 "Arsenal 4–1 Middlesbrough" . BBC Sport. 24 January 2004. สืบค้นเมื่อ 2 May 2012 .
↑ 176.0 176.1 176.2 "Arsenal 2–1 Chelsea" . BBC Sport. 15 February 2004. สืบค้นเมื่อ 4 May 2012 .
↑ 177.0 177.1 McCarra, Kevin (8 March 2004). "Arsenal conjure up images of Ajax" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 26 June 2013 .
↑ Neville, Gary (3 April 2004). "Now for the match United dare not lose" . The Times . สืบค้นเมื่อ 4 September 2013 . (ต้องรับบริการ)
↑ McCarra, Kevin (5 April 2004). "Scholes shows United's fight and Arsenal's fallibility" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 8 September 2013 .
↑ Parkes, Ian (15 October 1997). "Graham sees no benefit in fielding below-par teams". The Independent . London. p. 32.
↑ "United kids needed cup says Albiston" . The Independent . London. 16 October 1997. สืบค้นเมื่อ 15 August 2013 .
↑ Irwin, Mark (14 October 1997). "The Joker-Cola Cup; Wenger and Fergie leave out 19 stars to spark league fury". The Mirror . London. pp. 4, 37.
↑ Soleim, Markus (15 February 2016). "England 2003–04" . Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation (RSSSF). สืบค้นเมื่อ 8 July 2016 .
↑ "Rules" . English Football League. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 10 กรกฎาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2016 .
↑ "Carling Cup draw" . BBC Sport. 27 September 2003. สืบค้นเมื่อ 29 July 2016 .
↑ "Appearances/Attendances" . Arsenal F.C. สืบค้นเมื่อ 30 January 2012 .
↑ 187.0 187.1 "Arsenal 1–1 Rotherham" . BBC Sport. 28 October 2003. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013 .
↑ Haylett, Trevor (3 December 2003). "Arsenal's reserves of strength" . The Daily Telegraph . London. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013 .
↑ 189.0 189.1 Winter, Henry (17 December 2003). "Referee helps the Arsenal second string finish first" . The Daily Telegraph . London. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013 .
↑ Brodkin, Jon (21 January 2004). "Juninho gives Middlesbrough a leg up" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013 .
↑ 191.0 191.1 Walker, Michael (4 February 2004). "Boro have history within their grasp" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013 .
↑ 192.0 192.1 "Football's top club competition" . UEFA.com . สืบค้นเมื่อ 19 August 2016 .
↑ "Wenger predicts even bigger Champions' League" . Hürriyet Daily News . Istanbul. 22 October 1997. สืบค้นเมื่อ 19 August 2016 .
↑ 194.0 194.1 McCarra, Kevin (17 September 2003). "Home has to be sweet for Arsenal" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 19 August 2016 .
↑ "Man Utd face Rangers" . BBC Sport. 28 August 2003. สืบค้นเมื่อ 3 November 2013 .
↑ Rodgers, Martin (30 August 2003). "Man to Mann" . Daily Mirror . London. สืบค้นเมื่อ 3 November 2013 .
↑ "Inter stun Gunners" . BBC Sport. 17 September 2003. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013 .
↑ "Wenger defiant in defeat" . BBC Sport. 18 September 2003. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013 .
↑ Brodkin, Jon (1 October 2003). "Cole header keeps Arsenal afloat" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013 .
↑ Scott, Matt (22 October 2003). "Arsenal back on the right track" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013 .
↑ McCarra, Kevin (6 November 2003). "Cole header keeps Arsenal afloat" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013 .
↑ Winter, Henry (26 November 2003). "Goal blitz re-ignites Arsenal's campaign" . The Daily Telegraph . London. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013 .
↑ McCarra, Kevin (11 December 2003). "Stylish Arsenal cruise through" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013 .
↑ Lawrence, Amy (22 February 2004). "History on the side of Antic" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 8 July 2016 .
↑ Brodkin, Jon (25 February 2004). "Spanish hoodoo banished by Pires" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013 .
↑ "Arsenal 2–0 Celta Vigo" . BBC Sport. 10 March 2004. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013 .
↑ "English clubs to meet" . BBC Sport. 12 March 2004. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013 .
↑ "Wenger targets victory" . BBC Sport. 24 March 2004. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013 .
↑ McCarra, Kevin (7 April 2004). "Chelsea tear heart out of Gunners" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013 .
↑ Lynam, Des (presenter) (15 May 2004). The Premiership [Goal of the Season competition ] (Television production). ITV Sport. เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ 00:08.25 am to 00:13:00 am.
↑ "Arsenal squad statistics – 2003/04" . ESPN FC . สืบค้นเมื่อ 10 April 2004 .
↑ Pearson, James (17 May 2004). "Gunners duo land more awards" . Sky Sports. สืบค้นเมื่อ 14 January 2012 .
↑ "Nedved: Henry deserved to win" . Evening Standard . London. 23 December 2003. สืบค้นเมื่อ 5 October 2013 .
↑ "Arsenal treble". Evening Times . Glasgow. 13 March 2004. p. 40.
↑ "Manager profile, Arsene Wenger" . Premier League. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2016-09-18. สืบค้นเมื่อ 10 July 2016 .
↑ Brodkin, Jon (17 May 2004). " 'I would love to win title and Champions League together' " . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013 .
↑ 217.0 217.1 "Arsenal savour title glory" . BBC Sport. 16 May 2004. สืบค้นเมื่อ 25 August 2010 .
↑ "Preston applaud Arsenal" . BBC Sport. 17 May 2004. สืบค้นเมื่อ 25 August 2010 .
↑ "Wenger has 'no plans to retire' " . BBC Sport. 24 September 2009. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013 .
↑ "Media praise for "Invincibles" " . BBC Sport. 17 May 2004. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013 .
↑ Moore, Glenn (17 May 2004). "Wenger's invincibles need European success" . The Independent . London. สืบค้นเมื่อ 14 August 2010 .
↑ "Arsenal given 'special trophy' " . Daily Mail . London. 18 May 2004. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013 .
↑ Hytner, David (24 August 2004). "Gunners spirit is untouchable". Daily Express . London. p. 61.
↑ McCarra, Kevin (26 August 2004). "Henry launches Arsenal to record mark" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 14 August 2010 .
↑ Hughes, Rob (22 พฤษภาคม 2005). "Time for Wenger to ring changes" . The Sunday Times . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 3 July 2013. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013 . (ต้องรับบริการ)
↑ Williams, Richard (28 May 2009). "Barcelona's triumph holds hope for Arsène Wenger's brand of football" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013 .
↑ Fifield, Dominic (29 April 2016). "Arsène Wenger reveals he rejected Real, Barcelona and Manchester City" . The Guardian . London. สืบค้นเมื่อ 10 July 2016 .
↑ "Greatest 50 Moments" . Arsenal F.C. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013 .
↑ "Arsenal's 'Invincibles' voted greatest Premier League team" . BBC Sport. 15 May 2012. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013 .
บรรณานุกรม
แหล่งข้อมูลอื่น