บทความนี้ได้รับแจ้งให้ปรับปรุงหลายข้อ กรุณาช่วย
ปรับปรุงบทความ หรืออภิปรายปัญหาที่
หน้าอภิปราย
บทความนี้ต้องการเก็บกวาด โดยการตรวจสอบ หรือปรับปรุง ความถูกต้อง ตลอดจนแก้ไขรูปแบบ หรือภาษาที่ใช้
บทความนี้ต้องการพิสูจน์อักษร อาจเป็นด้านการใช้ภาษา การสะกด ไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน หรือการแปลจากภาษาอื่น
บทความนี้ล้าสมัย
Operating system
แมคโอเอส (อังกฤษ : macOS ) ก่อนหน้าเรียกว่า แมคโอเอสเท็น (อังกฤษ : Mac OS X ) ถึงปี 2554 และ โอเอสเทน (อังกฤษ : OS X ) ถึงปี 2559 เป็นระบบปฏิบัติการ รุ่นล่าสุดในตระกูลแมคโอเอสสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2001 ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ แกนกลาง ดาร์วิน (Darwin) ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมการทำงานแบบยูนิกซ์ ที่เป็นโอเพนซอร์ส และส่วนติดต่อผู้ใช้ แบบ อควา (Aqua) ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัทแอปเปิล
แอปเปิลยังได้สร้างแมคโอเอสรุ่นปรับปรุง เพื่อนำไปใช้ในอุปกรณ์ของแอปเปิล 4 ตัวได้แก่ แอปเปิลทีวี ไอโฟน ไอพอดทัช และไอแพด โดยที่ไอโฟน และ ไอพอดทัช นั้นจะใช้รุ่นของแมคโอเอสที่เรียกว่า iOS ซึ่งระบบปฏิบัติการที่แก้ไขนี้จะมีแต่สิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ไดรเวอร์และส่วนประกอบอื่นที่ไม่จำเป็นจะถูกนำออกไป
ข้อมูลของแมคโอเอสเวอร์ชันต่างๆ
เวอร์ชัน
โค้ดเนม
วันเปิดตัว
วันปล่อยสู่สาธารณะอย่างเป็นทางการ
เวอร์ชันล่าสุด
Rhapsody เวอร์ชันสำหรับนักพัฒนา
Grail1Z4 / Titan1U
7 มกราคม 2540
31 สิงหาคม 2540
DR2 (14 พฤษภาคม 2541)
Mac OS X Server 1.0
Hera
ไม่ทราบ
16 มีนาคม 2542
1.2v3 (27 ตุลาคม 2543)
Mac OS X Developer Preview
ไม่ทราบ
11 พฤษภาคม 2541[ 1]
16 มีนาคม 2542
DP4 (5 เมษายน 2543)
Public Beta
Kodiak
15 พฤษภาคม 2543
13 กันยายน 2543
ไม่ทราบ
Mac OS X 10.0
Cheetah
9 มกราคม 2544
24 มีนาคม 2544
10.0.4 (4Q12) (22 มิถุนายน 2544)
Mac OS X 10.1
Puma
18 กรกฎาคม 2544[ 2]
25 กันยายน 2544
10.1.5 (5S60)
(6 มิถุนายน 2545)
Mac OS X 10.2
Jaguar
6 พฤษภาคม 2545[ 3]
24 สิงหาคม 2545
10.2.8 (3 ตุลาคม 2546)
Mac OS X 10.3
Panther
23 มิถุนายน 2546[ 4]
24 ตุลาคม 2546
10.3.9 (7W48) (15 เมษายน 2548)
Mac OS X 10.4
Tiger
4 พฤษภาคม 2547[ 5]
29 เมษายน 2548
10.4.11 (14 พฤศจิกายน 2550)
Mac OS X 10.5
Leopard
26 มิถุนายน 2549[ 6]
26 ตุลาคม 2550
10.5.8 (9L31a)
(5 สิงหาคม 2552)
Mac OS X 10.6
Snow Leopard
9 มิถุนายน 2551[ 7]
28 สิงหาคม 2552
10.6.8 (10K549)(25 กรกฎาคม 2554)
Mac OS X 10.7
Lion
20 ตุลาคม 2553[ 8]
20 กรกฎาคม 2554
10.7.5 (11G6) (19 กันยายน 2555)
OS X 10.8
Mountain Lion
16 กุมภาพันธ์ 2555[ 9]
25 กรกฎาคม 2555[ 10]
10.8.5 (12F2560) (13 สิงหาคม 2558)
OS X 10.9
Mavericks
10 มิถุนายน 2556[ 11]
22 ตุลาคม 2556
10.9.5
(13F1911) (18 กรกฎาคม 2559)
OS X 10.10
Yosemite
2 มิถุนายน 2557
16 ตุลาคม 2557
10.10.5 (14F2511) (19 กรกฎาคม 2560)
OS X 10.11
El Capitan
8 มิถุนายน 2558
30 กันยายน 2558
10.11.6 (15G31) (18 กรกฎาคม 2561)
macOS 10.12
Sierra
13 มิถุนายน 2559
20 กันยายน 2559
10.12.6
(16G2136) (26 กันยายน 2562)
macOS 10.13
High Sierra
6 มิถุนายน 2560
26 กันยายน 2560
10.13.6 (17G14042)
12 พฤศจิกายน 2563)
macOS 10.14
Mojave
4 มิถุนายน 2561
24 กันยายน 2561
10.14.6 (18G9323)
(21 กรกฎาคม 2564)
macOS 10.15
Catalina
3 มิถุนายน 2562
7 ตุลาคม 2562
10.15.7 (19H2026)
(20 กรกฎาคม 2565)
macOS 11.0
Big Sur
22
มิถุนายน 2563
12 พฤศจิกายน 2563
11.7.10 (20G1427)
(11 กันยายน 2566)
macOS 12.0
Monterey
8 มิถุนายน 2564
25 ตุลาคม 2564
12.7.2 (21G1924)
(11 ธันวาคม 2566)
macOS 13.0
Ventura
6 มิถุนายน 2565
24 ตุลาคม 2565
13.6.3 (22G436)
(11 ธันวาคม 2566)
macOS 14.0
Sonoma
6 มิถุนายน 2566
26 กันยาคม 2566
14.2.1 (23C71)
(19 ธันวาคม 2566)
macOS 15.0
Sequoia
11 มิถุนายน 2567
ปลายปี 2567
ชื่อเรียก
ครั้งก่อนในช่วงใช้ชื่อ OS X นั้น โดยตัวอักษร "X" หมายถึงเลขสิบในระบบโรมัน และอ่านออกเสียงว่า "เท็น" (Ten, แปลว่า "สิบ" ในภาษาอังกฤษ) แสดงถึงรุ่นที่ต่อมาจากแมคโอเอสตัวก่อนหน้าคือ แมคโอเอส 9 นอกจากนี้ตัวอักษร X ยังแสดงถึงความเป็นยูนิกซ์ (UNIX) ในตัวระบบปฏิบัติการด้วย
แอปเปิลเองได้มีวิธีการเรียกชื่อแมคโอเอสเท็นถึงสามวิธี
Mac OS X v10.4 บอกเฉพาะเลขรุ่น (หมายเหตุ: ต้องมีอักษร v ด้วยเสมอ)
Mac OS X Tiger บอกเฉพาะรหัสในการพัฒนา
Mac OS X v10.4 "Tiger" บอกทั้งเลขรุ่นและรหัสในการพัฒนา
สังเกตว่ารหัสในการพัฒนานั้นจะเป็นชื่อสัตว์ในตระกูลเสือ มาจนถึง OS X 10.8 "Mountain Lion"
แต่ในตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา OS X จึงได้ใช้ชื่อเรียกจากตระกูลเสือนั้น มาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเริ่มจาก OS X Mavericks ก่อน แล้วใช้แบบนั้นมาจนถึงปัจจุบัน
ต่อจากนั้น ในงาน WWDC 2016 ทางบริษัทแอปเปิล ได้ทำการเปลี่ยนชื่อจาก OS X เป็น macOS ให้สอดคล้องกับ iOS , tvOS , watchOS และสามารถเรียกได้ง่ายขึ้น ซับซ้อนน้อยลง แต่ยังคงใช้โค๊ดเนมในสถานที่ท่องเที่ยวที่ รัฐแคลิฟอร์เนีย อยู่เช่นเคยโดยเริ่มต้นที่ macOS Sierra
แมคโอเอสเท็นรุ่นต่างๆ
เวอร์ชั่น 10.x (ยุคหน่วยประมวลผล PowerPC - อินเทล , Aqua UI)
Mac OS X Public Beta (Kodiak)
เปิดตัวต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2000 ในราคา $ 29.95 เพื่อที่จะรับฟังความเห็นจากผู้ใช้ เป็นการเปิดตัวอินเตอร์เฟซ Aqua ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก และแอปเปิ้ลได้ทำการเปลี่ยนแปลง UI หลายอย่างจากความคิดเห็นของลูกค้าที่ตอบกลับมา Mac OS X Public Beta หมดอายุและหยุดการทำงานในฤดูใบไม้ผลิ 2001
Mac OS X 10.0 (Cheetah)
เนื้อหาหลักดูที่ : Mac OS X 10.0
วางจำหน่าย 24 มีนาคม พ.ศ. 2544 ได้รับคำชมในเรื่องความเสถียรและความสามารถ แต่มีปัญหาในด้านความเร็วในการทำงาน ราคาจำหน่าย 129 ดอลลาร์
Mac OS X 10.1 (Puma)
เนื้อหาหลักดูที่ : แมคโอเอสเท็น พูม่า
วางจำหน่าย 25 กันยายน พ.ศ. 2544 ไม่ได้วางจำหน่าย แต่แจกเป็นชุดอัพเกรดฟรีสำหรับ Cheetah เพิ่มความเร็วในการทำงาน และความสามารถอื่นๆ เช่น การเล่นดีวีดี
Mac OS X 10.2 (Jaguar)
เนื้อหาหลักดูที่ : Mac OS X 10.2
วางจำหน่าย 23 สิงหาคม พ.ศ. 2545 เพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน หน้าตาแบบใหม่ และความสามารถ เช่น
สนับสนุนเครือข่ายที่เป็นไมโครซอฟท์วินโดวส์
iChat - อินสแตนท์ เมสเซจจิง
Apple Rendezvous - การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบอัตโนมัติ
CUPS (The Common Unix Printing System) - ระบบการพิมพ์'กลาง'ของระบบยูนิกซ์
Mac OS X 10.3 (Panther)
วางจำหน่าย 24 ตุลาคม พ.ศ. 2546 พัฒนาความสามารถด้านอื่นเพิ่มขึ้น โดยได้เพิ่มความสามารถเด่นมีดังนี้
Exposé - การแสดงหน้าต่างทำงานทั้งหมดในหน้าจอเดียว ทำให้ผู้ใช้เปลี่ยนหน้าต่างทำงานได้อย่างรวดเร็ว
Fast User Switching
FileVault
เพิ่มการสนับสนุนซีพียู PowerPC 970 บน Apple Power Mac G5
Mac OS X 10.4 (Tiger)
กำหนดวางจำหน่าย 29 เมษายน พ.ศ. 2548 ความสามารถเด่นมีดังนี้
Spotlight
Dashboard
QuickTime 7
Automator
Front row
โดยเวอร์ชั่นนี้ ได้เพิ่มการรองรับซีพียูบนสถาปัตยกรรม x86-64 ของอินเทล ตั้งแต่เวอร์ชั่น 10.4.4 เป็นต้นไป พร้อมทั้งนี้ เป็นเวอร์ชั่นสุดท้ายที่สนับสนุนซีพียู PowerPC 7xx บน Apple Mac G3
Mac OS X 10.5 (Leopard)
เนื้อหาหลักดูที่ : แมคโอเอสเท็น ลีโอพาร์ด
แมคโอเอสเทน เลเพิร์ด (มักเรียกผิดเป็น ลีโอพาร์ด) วางจำหน่ายในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2550 มีความสามารถเด่นที่ประกาศแล้วดังนี้
Time Machine
Spaces
Core Animation
Quicklook
Stack
Finder ใหม่ที่รวม Cover Flow view เข้าไป
ในตัวระบบปฏิบัติการ รองรับ 64-bit
นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงแอปพลิเคชันที่มีอยู่เดิมอีกด้วย พร้อมทั้งนี้ เป็นเวอร์ชั่นสุดท้ายที่สนับสนุนซีพียู PowerPC 970 บน Apple Power Mac G5 และเป็นรุ่นสุดท้ายที่รองรับซีพียูบนสถาปัตยกรรม PowerPC
Mac OS X 10.6 (Snow Leopard)
แมคโอเอส สโนว์ เลเพิร์ด ได้วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552 โดยหยุดการสนับสนุนสถาปัตยกรรม PowerPC และมีความสามารถพิเศษเพิ่มเติมดังนี้
Dock Exposé
QuickTime X
Grand Central Dispatch
Safari 4
เขียนภาษาจีน โดยใช้ Trackpad ได้
ติดตั้งเร็วขึ้น 45%
ใช้พื้นที่น้อยลง 6GB
ปรับปรุงโค้ดกว่า 90%
เปลี่ยนเป็นระบบปฏิบัติการ 64 บิต อย่างสมบูรณ์
โปรแกรมทั้งหมดเปลี่ยนเป็น 64 บิต
Mac OS X 10.7 (Lion)
แมคโอเอส เท็น ไลออน ราคาจำหน่าย 29.99 ดอลลาร์สหรัฐ และแจกจ่ายไม่คิดเงินสำหรับผู้ซื้อรุ่น 10.6 ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2554 หรือหลังจากนั้น ซึ่งไม่ได้รับ แมคโอเอส เท็น รุ่น 10.7[ 12]
OS X 10.8 (Mountain Lion)
โอเอสเท็น เมาท์เท่น ไลอออน ราคาจำหน่าย 19.99 ดอลลาร์สหรัฐ และแจกจ่ายให้ผู้ซื้อแมคตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2555 หรือหลังจากนั้นที่ไม่ได้รับแมคโอเอสเท็น 10.8[ 14]
Game Center
แอพ Messages ใหม่ รองรับ iMessage
iCal เปลี่ยนเชื่อเป็น Calendar
แยกรายการที่ต้องทำออกมาจาก iCal เป็นแอพใหม่ชื่อ Reminders
รองรับ Documents in the Cloud ของ iWork
เพิ่มระบบ Notification Center แจ้งเตือนและสถานที่รวมการแจ้งเตือนทั้งหมด
รองรับบริการของประเทศจีน เช่น เพิ่ม Baidu ในเซิร์ชเอนจินของซาฟารี
เพิ่ม QQ, 163.com เข้าไปในระบบ Mail, Contacts และ Calendar
เพิ่ม Youku, Tudou, Sina Weibo เข้าไปใน share sheet
OS X 10.9 (Mavericks)
โอเอสเท็น 10.9 มาเวอริก แจกฟรีสำหรับผู้ใช้แมคที่ใช้ Mac OS X 10.6 Snow Leopard ขึ้นไป
แยกระบบหนังสือออกมาจาก iTunes เป็นแอพ iBooks และให้เปิดอ่านหนังสือจาก iBooks Store บน Mac ได้
เพิ่มแอพ Maps ระบบแผนที่ของแอปเปิล
iCloud Keychain ระบบเก็บรหัสผ่านของเว็บต่างๆ, บัตรเครดิต, รหัส Wi-Fi และส่งไปถึงอุปกรณ์ที่คุณใช้ทุกเครื่อง
ปรับปรุงระบบทำงานหลายหน้าจอ
การแจ้งเตือนแบบใหม่ สามารถจัดการงานต่างๆ ผ่านการแจ้งเตือนได้เลย เช่น ตอบข้อความ, รับสาย FaceTime, ลบอีเมล
เพิ่มระบบแท็บและแท็กให้ Finder ทำให้จัดการไฟล์ต่างๆ ได้สะดวกกว่าเดิม[ 15]
OS X 10.10 (Yosemite)
โอเอสเท็น 10.10 โยซิมิตี้ แจกฟรีสำหรับผู้ใช้แมคที่ใช้ Mac OS X 10.6 Snow Leopard ขึ้นไป
เปลี่ยนหน้าตาใหม่เหมือน iOS 7 ที่มีหน้าตาสวย ทันสมัย
เพิ่ม Today ใน Notification Center และสามารถใส่ widget เพิ่มได้ โดยสามารถดาวน์โหลด widget เพิ่มได้ที่ Mac App Store
Spotlight คลิกแล้วจะมาอยู่ตรงกลางหน้า desktop พร้อมค้นหาได้หลายที่ เช่น Wikipedia, App Store, iTunes Store, iBooks Store, เว็บไซต์ดังๆ, เวลาแสดงหนัง
iCloud Drive ทำให้เข้าถึงไฟล์บน iCloud ได้จากทุกที่ ทั้ง Mac, iPhone, iPad และ Windows
Safari ใช้ระบบเข้าเว็บแบบส่วนตัวเป็นรายหน้าต่างได้แล้ว, เพิ่มระบบค้นหา DuckDuckGo ที่จะไม่เก็บประวัติการค้นหาของผู้ใช้
Mail เพิ่มระบบ Markup ที่ไว้เซ็นหรือเขียนข้อความบนรูปภาพหรือไฟล์ PDF ได้จากในแอพ Mail, Mail Drop ระบบที่มีไว้เพื่อส่งไฟล์ที่ใหญ่แต่ต้องไม่เกิน 5GB
ระบบ Continuity ทำให้การทำงานระหว่าง iOS และ OS X ราบรื่น ซึ่งจะทำงานได้บน iOS 8 และ/หรือ OS X Yosemite ขึ้นไปเท่านั้น[ 16]
OS X 10.11 (El Capitan)
โดยเน้นปรับปรุงตรงที่ประสบการณ์การใช้งาน (Experience) และ ประสิทธิภาพ (Proformance)
เคอเซอร์จะใหญ่ขึ้น หากขยับเมาส์ไปเร็วๆ
Mail เพิ่ม gesture ปัดซ้าย-ขวาที่รายการอีเมล , เพิ่มเขียนเมลหลายแท็บ
Safari สามารถสั่ง pin site ได้ โดยการลากแท็บเข้ามาชิดขอบซ้ายมือ , เพื่มการควบคุมแท็บที่เปิดเสียงอยู่ ในขณะเล่นผ่านเสียง
Spotlight เพิ่มข้อมูลหลายอย่าง เช่น ผลกีฬา สภาพอากาศ
เพิ่มการจัดการหน้าต่าง , เพิ่มสามารถทำ split view (2 หน้าต่างพร้อมกัน) ได้บน Full Window
ปรับปรุงประสิทธิภาพ ดังนี้
โหลดแอปพลิเคชัน เร็วขึ้น 1.4 เท่า
สลับแอปพลิเคชัน เร็วขึ้น 2 เท่า
โหลดเขียนอีเมลครั้งแรก เร็วขึ้น 2 เท่า
เปิดไฟล์เอกสาร (PDF ) บนพรีวิว เร็วขึ้น 4 เท่า
เพิ่ม Metal API มาใช้แทนที่ OpenCL และ OpenGL โดยจะเพิ่ม
ประมวลผลภาพบนซีพียู เร็วขึ้น 50%
ประมวลผลภาพบนซีพียู ประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้น 40%
เรนเดอร์ภาพบนจีพียู เร็วกว่า 10 เท่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้กราฟิค[ 17]
macOS Sierra (10.12)
เวอร์ชั่นนี้ เป็นเวอร์ชั่นแรกที่เปลี่ยนซื่อจาก OS X เป็น macOS เพื่อให้มีการจัดระเบียบซื่อตาม iOS , watchOS และ tvOS
เพิ่มความสามารถบนระบบ Continuity
ความสามารถปลดล็อกอัตโนมัติ (Auto Unlock)
ความสามารถคัดลอกแบบข้ามอุปกรณ์ (Universal Clipboard)
iCloud Drive สามารถซิงค์เดสก์ท็อปได้ ไฟล์ต่างๆได้
ปรับปรุงการจัดการพื้นที่โดย
ย้ายไฟล์เก่าๆ ขึ้น iCloud โดยอัตโนมัติ
ลบไฟล์ที่ไม่ใช้งานโดยอัตโนมัติ เช่น แคช , ไฟล์อยู่ในถังขยะนานเกิน 60 วัน
เพิ่ม Apple Pay ให้ใช้จ่ายบนในเว็บได้
เพิ่มแท็บ เพื่อจัดการหน้าต่างของแอพต่างๆ
เพิ่ม Picture in Picture แสดงวิดีโอจากเว็บเป็นกรอบขนาดเล็ก เล่นอยู่ที่มุมจอ สามารถเคลื่อนย้ายตำแหน่งได้ง่าย
เพิ่ม Siri
macOS High Sierra (10.13)
เนื้อหาหลักดูที่ : แมคโอเอส ไฮ ซีเอรา
ซึ่งได้เปิดตัวมาในงาน WWDC 2017 ในวันที่ 6 มิถุนายน 2560 โดยเน้นปรับปรุงในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ โดยปรับปรุงแอพบน Safari , Mail Photos และอื่น ๆ พร้อมทั้งนี้ ยังใช้ฟอร์แมทฮาร์ดดิสก์ Apple File System (APFS) เป็นค่าเริ่มต้น , รองรับวิดีโอ ที่เข้ารหัสแบบ HEVC (H.265) , Metal API เป็นเวอร์ชัน 2
macOS Mojave (10.14)
เนื้อหาหลักดูที่ : แมคโอเอส โมฮาวี
macOS Mojave ได้เปิดตัวในงาน WWDC 2018 ในวันที่ 4 มิถุนายน 2561 โดยมีการเพิ่ม Dark Mode , แอปที่มีใน iOS สามารถใช้กับ macOS ได้ (เบื้องต้นมี 4 แอปพลิเคชันคือ News, Stock, Voice Memo และ Home) , รองรับ Group FaceTime , ปรับปรุงหน้าจอ Mac App Store ใหม่ , ปรับปรุงการบันทึกหน้าจอ และสามารถบันทึกหน้าจอเป็นวีดีโอได้ ในเวอร์ชันนี้จะเป็นเวอร์ชันสุดท้ายที่รองรับแอพแบบ 32 บิต[ 18]
macOS Catalina (10.15)
macOS Catalina ได้เปิดตัวในงาน WWDC 2019 ในวันที่ 3 มิถุนายน 2562 โดยได้เพิ่มฟิวเจอร์ดังต่อไปนี้
ได้ทำการแยก iTunes แตกออกเป็น 3 แอพ (โดยมี Apple Music , Podscast และ Apple TV ส่วนตัวจัดการ iPhone ไปอยู่ในที่ Finder)
รองรับ SideCar (คือการนำเอา iPad มาเป็นหน้าจอที่สองของ macOS)
เพิ่มฟีเจอร์สำหรับคนพิการ
เพิ่มแอพ Find My โดยสามารถค้นหาเครื่องแมคได้ แม้ว่าเครื่องแมคนั้นปิดอยู่ หรือเครื่องจะออฟไลน์อยู่ก็ตาม พร้อมเพิ่มความสามารถ Acitivation Lock
เพิ่ม Screen Time เพื่อช่วยจัดการใช้งานในเวลาหน้าจอ
มาพร้อม API ใหม่ ที่สามารถนำแอพจาก iPad มาทำเป็น macOS ได้ง่ายขึ้น ในที่มีชื่อว่า Project Catalyst[ 19] [ 20]
เวอร์ชั่น 11 เป็นต้นไป (ยุคหน่วยประมวลผลแอปเปิลซิลิคอน)
macOS Big Sur (11)
เนื้อหาหลักดูที่ : แมคโอเอส บิ๊กเซอร์
ในงาน WWDC 2020 ในวันที่ 23 มิถุนายน 2563 ได้มีการเปิดตัว macOS Big Sur ซึ่งเป็นรุ่นแรกได้ใช้เป็นเวอร์ชัน 11 โดยได้ทำการเปลี่ยนการออกแบบการเชื่อมต่อผู้ใช้ครั้งใหญ่ เพิ่มความปลอดภัยจากการเข้าใช้งานจากเบราว์เซอร์ Safari และปรับปรุงแอปพลิเคชันในแมคโอเอส นอกจากนั้น ยังเป็นรุ่นแรก ที่รองรับซีพียูบนสถาปัตยกรรม ARM แอปเปิลซิลิคอน อย่างเป็นทางการ
macOS Monterey (12)
ในวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ได้เปิดตัว macOS Monterey โดยได้เพิ่มโหมดโฟกัส และสามารถกำหนดหรือเปิดโหมดโฟกัสได้ทุกอุปกรณ์ , เพิ่มคำสั่งลัด (Shortcuts) , เพิ่มแสดงจุดสีเหลืองใน Control Center หากมีการใช้ไมโครโฟนอยู่ และสามารถตั้งค่าให้ไมโครโฟน โฟกัสที่ไหนได้ , เพิ่มโหมดภาพถ่ายบุคคล , Safari เพิ่มกลุ่มแท็บใหม่ และเพิ่มการซ่อนที่อยู่ไอพีของตัวเครื่อง ทำให้ผู้ให้บริการ และเจ้าของเว็บไซต์ไม่สามารถติดตามตัวได้[ 21] [ 22]
หลังจากการเปิดตัวเวอร์ชั่นนี้ ได้มีการปรับดีไซน์ของ Safari ใหม่ให้เหลือแท็บเดียว หรือ Compact (จากเดิมที่แยก URL Bar กับ Tab Bar กัน) แต่พบว่าฝั่งผู้ใช้ และผู้ทดสอบที่ใช้ในรุ่นเบต้า กลับถูกพิพากวิจารณ์ในการปรับดีไซน์ ทำให้ต้องย้อนกลับไปเป็นแบบเดิม แต่สามารถเปิดโหมดกะทัดรัด (Compact) ได้เช่นเดิม[ 23]
ภาษา
แมคโอเอสได้มีรุ่นภาษาอื่นดังต่อไปนี้
อ้างอิง
↑ Davis, Jim (May 11, 1998). "OS X is the future for Apple" . CNET . สืบค้นเมื่อ July 17, 2013 .
↑ "Apple Previews Next Version of Mac OS X" (Press release). Apple . July 18, 2001. สืบค้นเมื่อ March 11, 2010 .
↑ "Apple Previews "Jaguar", the Next Major Release of Mac OS X" (Press release). Apple . May 6, 2002. สืบค้นเมื่อ March 11, 2010 .
↑ "Apple Previews Mac OS X "Panther" " (Press release). Apple . June 23, 2003. สืบค้นเมื่อ March 11, 2010 .
↑ "Steve Jobs to Kick Off Apple's Worldwide Developers Conference 2004 with Preview of Mac OS X "Tiger" " (Press release). Apple . สืบค้นเมื่อ March 11, 2010 .
↑ "Apple Executives to Preview Mac OS X "Leopard" at WWDC 2006 Keynote" (Press release). Apple . สืบค้นเมื่อ March 11, 2010 .
↑ "Apple Previews Mac OS X Snow Leopard to Developers" (Press release). Apple . June 9, 2008. สืบค้นเมื่อ March 11, 2010 .
↑ "Apple Gives Sneak Peek of Mac OS X Lion" (Press release). Apple . October 20, 2010. สืบค้นเมื่อ October 20, 2010 .
↑ "Apple Releases OS X Mountain Lion Developer Preview with Over 100 New Features" (Press release). Apple . February 16, 2012. สืบค้นเมื่อ February 16, 2012 .
↑ "Mountain Lion Available Today From Mac App Store" (Press release). Apple . July 25, 2012. สืบค้นเมื่อ July 25, 2012 .
↑ "Live From Apple's WWDC 2013 Keynote" (Press release). TechCrunch . June 10, 2013. สืบค้นเมื่อ June 10, 2013 .
↑ OS X Lion and Lion Server Up to Date Program
↑ Mac App Store
↑ Mountain Lion Releases; Apple Sends 'Used' Codes For Free Upgrade Customers
↑ NewsroomOpen Newsroom navigation Newsroom Latest News
↑ Latest News
↑ แอปเปิลเปิดตัว OS X El Capitan มาพร้อมกับฟีเจอร์แบ่งหน้าจอ Split Screen, Metal for Mac
↑ "เปิดตัว macOS ใหม่ "Mojave" พร้อมกับ Dark Mode และอื่นๆ" (Map). Beartai . สืบค้นเมื่อ 5 มิถุนายน 2562 .
↑ "Apple เผยตัวอย่าง macOS Catalina" . Apple . สืบค้นเมื่อ 5 มิถุนายน 2562 .
↑ "WWDC 2019 : macOS 10.15 Catalina มาแล้วพร้อมลูกเล่นใหม่เพียบ" . Sanook . สืบค้นเมื่อ 5 มิถุนายน 2562 .
↑ Crew, iMod (2021-10-26). "macOS Monterey มาแล้ว! มีอะไรเด็ดบ้างไปชมกัน" . iMoD .
↑ "แอปเปิลออกแบบหน้าจอ Safari ใหม่ รองรับ extension ทุกแพลตฟอร์ม | Blognone" . www.blognone.com . สืบค้นเมื่อ 2024-06-12 .{{cite web }}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์ )
↑ "แอปเปิลเปลี่ยนใจ ปรับดีไซน์แท็บ Safari ของ macOS 12 กลับมาใช้ดีไซน์เดิม | Blognone" . www.blognone.com . สืบค้นเมื่อ 2024-06-12 .{{cite web }}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์ )
ดูเพิ่ม