กลุ่มธรรมนัสกลุ่มธรรมนัส เป็นกลุ่มแยกการเมืองที่ก่อตั้งโดยร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ โดยมีสมาชิกในกลุ่มส่วนใหญ่เคยอยู่ในสังกัดพรรคพลังประชารัฐ และส่วนมากเคยอยู่ในสังกัดพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน หรือ พรรคเพื่อไทย มาก่อน ซึ่งในปัจจุบันสมาชิกในกลุ่มธรรมนัสเกือบทั้งหมดอยู่ในสังกัดของพรรคกล้าธรรม ภูมิหลังพรรคพลังประชารัฐก่อตั้งในปี พ.ศ. 2561[1] โดยรัฐมนตรีบางส่วนในรัฐบาลประยุทธ์ 1 เป็นแกนนำพรรคในยุคแรก[2][3] เดือนธันวาคมปีเดียวกัน ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกสมาคมชาวพะเยาเพื่อชาวพะเยา ประกาศลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคพลังประชารัฐ[4] ในการเลือกตั้งปีต่อมาพรรคได้เสนอชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เขาได้รับมติจากที่ประชุมร่วมของรัฐสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง ต่อมาประยุทธ์ได้แต่งตั้งธรรมนัสซึ่งเป็น ส.ส. สมัยแรกในการเลือกตั้งดังกล่าว เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลประยุทธ์ 2 ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความเหมาะสม[5] เดือนมกราคม พ.ศ. 2563 พรรคพลังประชารัฐมีมติเลือกพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่ม 3 ป. อันประกอบด้วยพลเอกประวิตร พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา และพลเอกประยุทธ์ อีกทั้งยังเคยทำงานร่วมกับพลเอกประยุทธ์ตั้งแต่รัฐบาลชุดแรก เป็นหัวหน้าพรรค
ความขัดแย้งกับพรรคพลังประชารัฐครั้งที่หนึ่ง (พ.ศ. 2565)19 มกราคม พ.ศ. 2565 ผู้สื่อข่าวการเมืองรวมถึงสายทหารหลายราย ได้ออกรายงานตรงกันว่า ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดพะเยา พร้อมด้วยสมาชิกในสังกัดอีก 20 คน ได้พร้อมใจกันยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐทั้งหมดถูกเรียกประชุมด่วนที่มูลนิธิป่ารอยต่อหลังจากประชุมสภาล่มเมื่อเวลา 17.45 น.[6] จนในเวลา 20.21 น. มีรายงานว่า ร.อ.ธรรมนัส พร้อม สส. ในสังกัดอีก 20 คน ได้เปลี่ยนไปยื่นขอมติขับออกจากพรรคแทนการลาออก เพื่อให้ตนและ สส. สามารถสังกัดพรรคการเมืองใหม่ได้ใน 60 วัน ตามกฎหมาย และคณะกรรมการพร้อมสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ มีมติ 78 เสียง ให้ขับ ร.อ.ธรรมนัส พร้อม สส. ในสังกัดอีก 20 คน ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคทันที ฐานสร้างความขัดแย้งและแตกแยกในพรรค[7] ความตอนหนึ่ง พลเอกประวิตร กล่าวว่า "ยอม ๆ ไปเหอะ ถ้าอยากออกก็ให้ออกไป จะได้สงบ พรรคจะได้เดินต่อ"[8] เอกรัฐ ตะเคียนนุช ผู้สื่อข่าวช่องวัน 31 ณ ขณะนั้น คาดการณ์บนแฟนเพจส่วนตัวว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นชนวนความขัดแย้งตั้งแต่ครั้งที่พลเอกประยุทธ์ ใช้คำสั่งปลดร้อยเอกธรรมนัสออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำให้ฝ่ายร้อยเอกธรรมนัสกับฝ่ายพลเอกประยุทธ์ไม่ลงรอยกันนับตั้งแต่นั้น และใจจริง ธรรมนัส และสมาชิกทั้งหมด "จะลาออก" เพื่อให้ตัวเองขาดคุณสมบัติการเป็น สส. ซึ่งจะเป็นผลให้รัฐบาลขาดความเสถียรภาพจากที่ไม่ค่อยเสถียรภาพอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประวิตรไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเจรจากับธรรมนัสให้อยู่ต่อเพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล ผลสุดท้าย ธรรมนัสขอเปลี่ยนจากลาออกเป็นขอมติขับออกจากพรรคแทน[9] หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ ร.อ.ธรรมนัส พร้อม สส. ทั้ง 20 คน จะย้ายไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย โดยมีข่าวลือที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าจะมี วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ซึ่งเป็นคนสนิทใกล้ชิดของประวิตร เป็นหัวหน้าพรรค[10] ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2565 เกิดความขัดแย้งระหว่างพลเอกประวิตรและพลเอกประยุทธ์ในพรรคพลังประชารัฐ[11] และต่อมาพลเอกประยุทธ์ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในช่วงต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2566[12] เวลาต่อมาธรรมนัสได้กลับเข้าพรรคพลังประชารัฐ[13] รายชื่อ สส. ที่พรรคมีมติขับออกจากพรรค[14]ย้ายไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย
ย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย
ครั้งที่สอง (พ.ศ. 2567)ความขัดแย้งระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับกลุ่มของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีการส่งรายชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีแพทองธาร ปรากฎว่าไม่มีชื่อของร้อยเอกธรรมนัส และตำแหน่งรัฐมนตรีเดิมของธรรมนัสถูกแทนที่ด้วยชื่อของ สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขในคณะรัฐมนตรีเศรษฐา โดยพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นผู้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ด้วยตนเองเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว[15] ต่อมาเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ร้อยเอกธรรมนัสได้แถลงต่อสื่อมวลชน โดยประกาศแยกทางกับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ[16] จากนั้นมีการรวบรวม สส.พรรคพลังประชารัฐที่เข้าร่วมกับร้อยเอกธรรมนัส 29 คน และ สส.จากพรรคเล็กอีก 5 คน เพื่อยื่นชื่อรัฐมนตรีในสัดส่วนของตนในวันถัดไป[17] แต่ในเวลาต่อมา มีสมาชิกกลุ่มธรรมนัสถอนตัวออกจากกลุ่ม ทำให้มีสมาชิกกลุ่มเหลือ 20 คน สัปดาห์ถัดมา กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยมีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากคณะรัฐมนตรีแพทองธารตามความเห็นของที่ประชุม สส. ของพรรค[18] ต่อมาร้อยเอกธรรมนัสพร้อมกับไผ่ ลิกค์, อรรถกร ศิริลัทธยากร, บุญยิ่ง นิติกาญจนา, สัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ และบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ได้ลาออกจากกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ[19] ต่อมาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2567 คณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐมีมติขับ สส. กลุ่มธรรมนัสทั้ง 20 คนออกจากพรรค เนื่องจากกลุ่มธรรมนัสมีแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกับคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐและสมาชิกพรรคคนอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง เกินกว่าจะแก้ไขและทำความเข้าใจให้เป็นไปแนวทางเดียวกันได้[20] วันเดียวกัน นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรคกล้าธรรม ให้สัมภาษณ์หลังมีการขับ สส.กลุ่มธรรมนัส ออกจากพรรค และมีการคาดว่าจะสังกัดพรรคกล้าธรรมนั้น โดยกล่าวว่า "พร้อมแล้วค่ะ" และยังกล่าวอีกว่า หลัง สส.กลุ่มดังกล่าว เข้าสังกัดพรรคกล้าธรรมแล้ว ยังไม่สามารถจัดการประชุมได้ เพราะต้องรอขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ทางกฎหมายเสร็จสิ้นก่อน ซึ่งคาดว่าการประชุมพรรคจะเกิดขึ้นได้ในปี พ.ศ. 2568 เพราะหากจะมีการประชุมใหญ่สามัญต้องแจ้งกับทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งมีกำหนดว่าจะต้องแจ้งก่อนล่วงหน้ากี่วัน พร้อมกันนี้ยังเปิดเผยด้วยว่าขณะนี้มี สส. ที่เข้าสังกัดพรรคกล้าธรรมแล้ว 4 คน และเมื่อรวมกับ สส. ของพรรคพลังประชารัฐ 20 คน จะมี สส. ทั้งหมด 24 คน[21] ในที่สุด ในวันรุ่งขึ้น (12 ธันวาคม) ที่ประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบริหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชารัฐก็ได้มีมติขับ สส. กลุ่มธรรมนัสทั้ง 20 คนออกจากพรรคตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเป็นทางการ โดยในการประชุมนี้พลเอกประวิตรและร้อยเอกธรรมนัสไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย[22] ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม นฤมลได้เปิดเผยว่า ร้อยเอกธรมนัส และ สส. ในกลุ่มธรรมนัส จะย้ายมาสังกัดพรรคกล้าธรรม โดยจะมีการประชุมใหญ่เพื่อเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ภายในปี พ.ศ. 2568 เนื่องจากต้องใช้เวลาเตรียมการ โดยมีการคาดการณ์กันว่าร้อยเอกธรรมนัสจะดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษาพรรค ส่วนไผ่ ลิกค์ สส. กำแพงเพชร จะดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค ขณะที่อรรถกร ศิริลัทธยากร สส. ฉะเชิงเทรา จะดำรงตำแหน่งเหรัญญิกพรรค[23][24] โดย สส. กลุ่มธรรมนัสได้สมัครสมาชิกพรรคกล้าธรรมเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2567 พรรคกล้าธรรมได้แถลงข่าวเปิดตัว สส. กลุ่มธรรมนัสทั้ง 20 คนเข้าพรรคอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2567[25] ที่สัปปายะสภาสถาน การแบ่งฝ่ายในการร่วมรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐในคณะรัฐมนตรีแพทองธาร พรรคพลังประชารัฐได้มีการแบ่งฝ่ายออกเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างฝ่ายของธรรมนัส พรหมเผ่า มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 20 คน ซึ่งเป็นฝ่ายร่วมรัฐบาล และฝ่ายของประวิตร วงษ์สุวรรณ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 20 คน ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน การเสนอชื่อรัฐมนตรีเนื่องจากกลุ่มธรรมนัสประกาศว่าตัวเองนั้นร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จึงขอเสนอรายชื่อผู้ประสงค์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ และช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในสัดส่วนของกลุ่มตนเอง และเนื่องจากรัฐมนตรีสัดส่วนเดิม (ธรรมนัส พรหมเผ่า, และอรรถกร ศิริลัทธยากร) นั้นเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งถือว่าขัดกับมติของพรรคที่สังกัดอยู่ จึงเสนอรายชื่อบุคคลดังกล่าว[26] ดังต่อไปนี้
สส. ที่สังกัดกลุ่มธรรมนัสในชุดปัจจุบันพรรคกล้าธรรม (24)
กลุ่มพรรคเล็ก (1)
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |