คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ประเทศไทย)
คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือย่อว่า กกต. (ECT) เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มีหน้าที่หลักเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้งหรือการสรรหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี รวมทั้งการออกเสียงประชามติ ให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งในคณะกรรมการการเลือกตั้งมีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นสำนักงานเลขานุการ หน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ดังนี้
รายนามคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดแรก (พ.ศ. 2540–2544)เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2540 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง[4] โดยประกอบไปด้วย
ต่อมาเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2543 นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น ได้ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง และเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2543 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ นายจิระ บุญพจนสุนทร ดำรงตำแหน่งแทน โดยมี ร้อยตรีวิจิตร อยู่สุภาพ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2541 และปฏิบัติหน้าที่ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2546 ชุดที่สอง (พ.ศ. 2544–2549)มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2544 วาระการดำรงตำแหน่ง วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2544 - 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2549[5]
โดยมี พลตำรวจตรี เอกชัย วารุณประภา เป็นเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2547 และลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2549 การปรับระบบการทำงาน หลังการเสียชีวิตของนายจรัล บูรณพันธุ์ศรีภายหลังการเสียชีวิตของนายจรัล บูรณพันธุ์ศรี และยังไม่มีการสรรหาบุคคลใหม่มาทดแทน กกต.ที่เหลืออยู่ 4 คน ได้แบ่งหน้าที่ใหม่ จากเดิมที่แบ่งตามลักษณะงานตามความเชี่ยวชาญของ กกต. แต่ละคน ออกเป็น 4 เขตพื้นที่ให้ กกต. แต่ละคนดูแล โดยแต่ละคนต่างก็มีอำนาจเด็ดขาดทั้งการบริหาร การเลือกตั้ง การจัดการเลือกตั้ง การสืบสวนสอบสวน และวินิจฉัย ในเขตพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบ คือ
ทั้งนี้ได้มีการเพิ่มบุคลากรทั้งในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนภารกิจและการทำงานของ กกต. ให้สำเร็จ มีการปรับโครงสร้างหน่วยงานการวินิจฉัยสืบสวนสอบสวน จากเดิมที่มีสองส่วน เพื่อการตรวจสอบและคานอำนาจ คือ
การจัดโครงสร้างเดิม คล้ายกับการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรม ที่มีสำนักสืบสวนสอบสวนทำหน้าที่คล้ายตำรวจ สำนักวินิจฉัยทำหน้าที่คล้ายอัยการ คณะอนุกรรมการวินิจฉัยทำหน้าที่คล้ายเป็นศาลชั้นต้น และ กกต.กลางทำหน้าที่คล้ายกับเป็นศาลสูงสุด แต่หลังจากที่ กกต. ชุดที่สองเข้ามาดำเนินการไม่นาน ก็มีการปรับให้หน่วยงานทั้งสองมารวมเป็นสำนักเดียวกัน คือ สำนักสืบสวนและวินิจฉัย แต่แบ่งพื้นที่การทำงานเป็นภาค ไม่ได้แบ่งเนื้อหาสาระของการทำงาน มีลักาณะการทำงานคล้ายตำรวจภูธรภาค ไม่มีอัยการ (สำนักวินิจฉัย) กรณีคำพิพากษาของศาลเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ศาลอาญาได้ตัดสินตามคำฟ้องของโจทย์คือ นาย ถาวร เสนเนียม ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ในข้อหาการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบของ กกต. โดยการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคไทยรักไทย ตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 มีโทษตามมาตรา 42 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน (ไม่ได้ลงโทษตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา) ศาลได้มีคำตัดสินว่าให้คณะกรรมการสามคนได้แก่ พลตำรวจเอกวาสนา เพิ่มลาภ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร ต้องคำพิพากษาศาลอาญา ให้จำคุก 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่งผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง กกต. เนื่องจากขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ และต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายกฟ้อง ชุดที่สาม (พ.ศ. 2549–2556)เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ออกประกาศฉบับที่ 13 แก้ไขโดยประกาศฉบับที่ 16 ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป รวมทั้งให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ นายประพันธ์ นัยโกวิท นางสดศรี สัตยธรรม นายสมชัย จึงประเสริฐ และนายสุเมธ อุปนิสากร เป็นประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ชุดที่ 3 ตามความที่ประธานวุฒิสภาเคยนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุคคลทั้งห้าเป็นประธานกรรมการการเลือกตั้งและกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งท้องถิ่น แม้จะยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ไปแล้ว วาระการดำรงตำแหน่งวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 – วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556 และ รักษาการจนถึงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556
โดยมี ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2549 และลาออกจากเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2554 เพื่อไปดำรงตำแหน่ง กรรมการ กสทช. คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงมีมติแต่งตั้งให้ นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2555[6] ชุดที่สี่ (พ.ศ. 2556–2561)คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดที่สี่ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 และทำพิธีรับพระบรมราชโองการแต่งตั้งและเข้าปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556 วาระการดำรงตำแหน่ง 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561[7] เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ห้องประชุมศาลฎีกา ได้เรียกประชุมผู้พิพากษาศาลฎีกา ทั้ง 139 คน เพื่อประชุมใหญ่ มีผู้ออกเสียงทั้งหมด พิจารณาสรรหาบุคคลที่สมควรถูกเสนอชื่อให้เป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แทนที่ประชุมจะเลือกคณะกรรมการเลือกตั้งทั้งหมด 2 ตำแหน่ง ซึ่งครั้งนี้ได้เพียง 1 ตำแหน่ง โดยจะเรียกประชุมผู้พิพากษาศาลฎีกา อีกครั้ง ในวันที่ 9 ตุลาคม และอีก 3 ตำแหน่ง จะมาจากการประกาศรับสมัครจากบุคคลทั่วไป จะมีการคัดเลือกของคณะกรรมการสรรหากกต. 6 คน ซึงประกอบไปด้วย 1.ประธานศาลฎีกา 2.ประธานศาลปกครอง 3.ประธานสภาผู้แทนราษฎร 4.ผู้นำฝ่ายค้าน 5.ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกมา 1คน ที่ไม่ใช่ตุลาการ 6.ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดเลือกมา 1 คน โดยที่ไม่ใช่ตุลาการ
ผลงานสำคัญของคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดนี้คือ
การจัดการเลือกตั้งทั่วไปปี 2557คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดนี้ ได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในกระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่จะมีขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่ไม่สามารถเปิดให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งได้ทุกหน่วยเลือกตั้ง และได้กำหนดวันลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 มีนาคม 2557 เพื่อจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้สำเร็จตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ต่อมาผู้ตรวจการแผ่นดินได้เสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 และศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยการเลือกตั้งที่ 5/2557 เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 108 วรรคสอง คณะรัฐบาล กกต. และผู้ขัดแย้งได้มีการประชุมเพื่อหารือในประเด็นการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งใหม่ ในขณะนั้นความขัดแย้งก็มีอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ประกาศกฎอัยการศึก ด้วยการอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 และจัดตั้งกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย และได้เชิญตัวแทนจาก 7 ฝ่าย เข้าร่วมประชุมที่สโมสรกองทัพบก เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2557 โดยผลการประชุมในวันนั้น แต่ละฝ่ายไม่สามารถหาทางออกที่ดีที่สุดของประเทศได้ ต่อมาวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ได้มีการประชุมอีกครั้ง โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะ ประกาศยึดอำนาจ นับเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 13 ในประวัติศาสตร์ไทย หลังจากนั้นได้มีประกาศให้สมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลง และให้งดการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทำให้สถานการณ์ของประเทศ ณ ขณะนั้นได้บรรเทาความร้อนแรงและการปะทะที่จะให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อของประชาชนคนไทยแล้วเดินหน้าเข้าสู่การปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ต่อมามีคำสั่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่22/2559 เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นเป็นการชั่วคราวในกรณีที่มีการยุบสภาท้องถิ่น โดยให้มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการสรรหาคณะหนึ่งทำหน้าที่คัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นในกรณีที่มีการยุบสภาท้องถิ่น[9]มีนายกองเอกกฤษฎา บุญราชเป็นประธานกรรมการคณะกรรมการสรรหา ชุดที่ห้า (พ.ศ. 2561–2566)ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บัญญัติไว้ดังนี้ มาตรา 222 คณะกรรมการการเลือกตั้งประกอบด้วยกรรมการจำนวนเจ็ดคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากบุคคลดังต่อไปนี้ (๑) ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาการต่างๆ ที่จะยังประโยชน์แก่การบริหารและจัดการการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งได้รับการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหา จำนวนห้าคน (๒) ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีผู้พิพากษา หรือตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีอัยการมาแล้วเป็นเวลา ไม่น้อยกว่าห้าปี ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จำนวนสองคน ผู้ซึ่งจะได้รับการสรรหาเป็นกรรมการการเลือกตั้งตาม (๑) ต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา ๒๓๒(๒) (๓) (๔) (๕) (๖) หรือ (๗) หรือเป็นผู้ทำงานหรือเคยทำงานในภาคประชาสังคมมาแล้วเป็นเวลา ไม่น้อยกว่ายี่สิบปี ทั้งนี้ ตามที่คณะกรรมการสรรหาประกาศกำหนด และมาตรา 223 กรรมการการเลือกตั้งมีวาระการดำรงตำแหน่งเจ็ดปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดปัจจุบัน มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561[10]และวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2561[11]
การจัดการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดปัจจุบันนี้ได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่หลังจากการเผยแพร่พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 โดยมีการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้าขึ้นในวันที่ 17 มีนาคม 2562[13] บทบาทของ กกต. ในการเลือกตั้งครั้งนี้ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ที่มา การเลือกปฏิบัติต่อผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐเมื่อเทียบกับพรรคอื่น การวินิจฉัยให้บัตรเลือกตั้งจากต่างประเทศที่ส่งมาล่าช้าเป็นบัตรเสียทั้งหมด การประกาศผลการเลือกตั้งล่าช้า "บัตรเขย่ง" ตลอดจนการเลือกใช้สูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อที่ทำให้พรรคอนาคตใหม่เสียประโยชน์ เป็นผลให้มีประชาชนเข้าชื่อออนไลน์กว่า 800,000 รายชื่อ ตลอดจนมีการเคลื่อนไหวขององค์การนอกภาครัฐและเครือข่ายประชาสังคมให้ถอดถอน กกต. ในปี 2562 กกต. สั่งแจกใบส้มแก่สุรพล เกียรติไชยากร ผู้ชนะการเลือกตั้ง ส.ส. เชียงใหม่ เขต 8 โดยอ้างว่าเข้าข่ายผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73(2) เกี่ยวกับการซื้อเสียง[14] อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 ศาลสั่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งชดใช้เงินแก่เขาจำนวน 70 ล้านบาท เป็นค่าเสียหายและเยียวยาฐานทำให้เสียชื่อเสียงจากการถูกแจกใบส้ม ภายหลังศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องคดีบูชาเทียนว่าไม่ใช่การซื้อเสียง[15] การจัดการเลือกตั้งในปี 2565คณะกรรมการการเลือกตั้งถูกวิจารณ์ว่ารับรองผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2565 ล่าช้า แม้ กกต. จะยืนยันว่าตนมีอำนาจประกาศผลการเลือกตั้งได้ภายใน 30–60 วัน แต่ก็มีอาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2 คน ออกมาวิจารณ์ว่าเป็นความล่าช้าโดยไม่มีเหตุอันควร และไกลเกินกว่าเหตุอย่างชัดเจน[16][17] ความไม่พอใจดังกล่าวทำให้เกิดแฮชแท็ก #กกตเป็นเหี้ยอะไร ติดเทรนด์ทวิตเตอร์[18] ก่อนหน้านั้นในการเลือกตั้ง ส.ส. ราชบุรี เขต 3 แทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ชนะ กกต. ใช้เวลารับรองผลอย่างเป็นทางการ 9 วัน[19] ขณะที่ในการเลือกตั้ง ส.ส. กรุงเทพมหานคร เขต 9 แทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งพรรคเพื่อไทยชนะ กกต. ใช้เวลารับรองเกือบ 2 เดือน[20] ในเดือนกันยายน 2565 กกต. ประกาศระเบียบการหาเสียงเลือกตั้ง 180 วันซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นไม่เกินเดือนพฤษภาคม 2566 หากนับตามอายุสภาผู้แทนราษฎรและกฎหมายเลือกตั้ง[21] ขณะที่เกิดเสียงวิจารณ์ว่าอาจมีการเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้[22] ชุดที่หก (พ.ศ. 2567-ปัจจุบัน)ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2564 บัญญัติไว้ดังนี้มาตรา 83 สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวนห้าร้อยคน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวนสี่ร้อยคน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจำนวนหนึ่งร้อยคน ชุดที่หกมีผลตั้งแต่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561
ปัจจุบัน นายแสวง บุญมี เป็นเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง มี พันตำรวจโท ระพีพงษ์ จิรพัฒนาลักษณ์ พันตำรวจตรี ณัฐวัฒน์ เสงี่ยมศักดิ์รร้อยตำรวจเอก ชนินทร์ น้อยเล็ก เป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้อวิจารณ์หลังจากมีการจัดเลือกตั้งล่วงหน้าในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กโดยระบุว่า "กลโกงเลือกตั้งล่วงหน้า กกต. ใบ้กิน!" ซึ่งระบุรายละเอียดว่า การลงทะเบียนล่วงหน้ามีมากกว่าปกติ ผู้สูงอายุถูกหลอกจากเครือข่ายหัวคะแนน และผู้สมัครได้นำเอาบัตรประชาชนไปลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์โดยไม่ยินยอม เนื่องจากชูวิทย์ระบุว่ามีการจ่ายเงิน 500 บาท และขอเก็บบัตรประชาชน [24] ต่อมาชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์อยากขอเสนอให้ผลการเลือกตั้งล่วงหน้าในส่วนของคะแนนเป็นโมฆะ [25] อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |