Share to:

 

จักรวรรดิโรมัน

จักรวรรดิโรมัน

27 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 476 (วันที่ดั้งเดิม)[1][2]
ค.ศ. 395 – 476/480 (ตะวันตก)
ค.ศ. 395–1453 (ตะวันออก)
ธงชาติจักรวรรดิโรมัน
เว็กซีเลียม
ที่มีอินทรีจักรวรรดิ
อินทรีจักรวรรดิของจักรวรรดิโรมัน
อินทรีจักรวรรดิ
จักรวรรดิโรมันในช่วงสูงสุดเมื่อ ค.ศ. 117 ในช่วงที่จักรพรรดิตรายานุสสวรรคต (รัฐบริวารเป็นสีชมพู)[3]
จักรวรรดิโรมันในช่วงสูงสุดเมื่อ ค.ศ. 117 ในช่วงที่จักรพรรดิตรายานุสสวรรคต (รัฐบริวารเป็นสีชมพู)[3]
เมืองหลวง
ภาษาทั่วไป
ศาสนา
การปกครองราชาธิปไตยกึ่งโดยเลือกตั้ง, ตามระบบเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์
จักรพรรดิ 
• 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 14
เอากุสตุส (องค์แรก)
• ค.ศ. 98–117
ตรายานุส
• ค.ศ. 270–275
ออเรเลียน
• ค.ศ. 284–305
ดิออเกลติอานุส
• ค.ศ. 306–337
คอนสแตนตินมหาราช
• ค.ศ. 379–395
เทออดอซิอุสที่ 1[n 2]
• ค.ศ. 474–480
ยูลิอุส แนโปส[n 3]
• ค.ศ. 475–476
โรมุลุส เอากุสตุส
• ค.ศ. 527–565
ยุสตินิอานุสที่ 1
• ค.ศ. 610–641
เฮราคลิอัส
• ค.ศ. 780–797
คอนสแตนตินที่ 6[n 4]
• ค.ศ. 976–1025
เบซิลที่ 2
• ค.ศ. 1449–1453
คอนสแตนตินที่ 11[n 5]
สภานิติบัญญัติวุฒิสภา
ยุคประวัติศาสตร์สมัยคลาสสิกถึงสมัยกลางตอนปลาย
32–30 ปีก่อนคริสต์ศักราช
30–2 ปีก่อนคริสต์ศักราช
• คอนสแตนติโนเปิล
กลายเป็นเมืองหลวง
11 พฤษภาคม ค.ศ. 330
• การแบ่งตะวันออก-ตะวันตกครั้งสุดท้าย
17 มกราคม ค.ศ. 395
4 กันยายน ค.ศ. 476
25 เมษายน ค.ศ. 480
12 เมษายน ค.ศ. 1204
• การพิชิตคอนสแตนติโนเปิลอีกครั้ง
25 กรกฎาคม ค.ศ. 1261
29 พฤษภาคม 1453
• เตรบีซอนด์ล่มสลาย
15 สิงหาคม ค.ศ. 1461
พื้นที่
25 ปีก่อนคริสต์ศักราช[4]2,750,000 ตารางกิโลเมตร (1,060,000 ตารางไมล์)
ค.ศ. 117[4][5]5,000,000 ตารางกิโลเมตร (1,900,000 ตารางไมล์)
ค.ศ. 390[4]4,400,000 ตารางกิโลเมตร (1,700,000 ตารางไมล์)
ประชากร
• 25 ปีก่อนคริสต์ศักราช[6]
56,800,000
สกุลเงินเซ็ซเตรีอุส, เอาเรอุส, โซลีดุส, โนมิสตา
ก่อนหน้า
ถัดไป
สาธารณรัฐโรมัน
จักรวรรดิโรมันตะวันตก
จักรวรรดิโรมันตะวันออก
จักรวรรดิโรมันในช่วงเวลาต่างๆกัน

จักรวรรดิโรมัน (ละติน: Imperium Rōmānum [ɪmˈpɛri.ũː roːˈmaːnũː]; กรีก: Βασιλεία τῶν Ῥωμαίων, ทับศัพท์ Basileía tôn Rhōmaíōn; อังกฤษ: Roman Empire) เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งของอารยธรรมโรมันโบราณซึ่งปกครองโดยรูปแบบอัตตาธิปไตย จักรวรรดิโรมันได้สืบต่อการปกครองมาจากสาธารณรัฐโรมัน (510 ปีก่อนคริสตกาล – ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตาล) ซึ่งได้อ่อนแอลงหลังจากความขัดแย้งระหว่างไกอุส มาริอุสและซุลลา และสงครามกลางเมืองระหว่างจูเลียส ซีซาร์และปอมปีย์[7] มีวันหลายวันที่ได้ถูกเสนอให้เป็นเส้นแบ่งของการเปลี่ยนแปลงระหว่างสาธารณรัฐและจักรวรรดิ ได้แก่

จักรวรรดิโรมันเคยมีดินแดนอยู่ในการครอบครองมากมาย ได้แก่ อังกฤษและเวลส์ ยุโรปส่วนใหญ่ (ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์และทางใต้ของเทือกเขาแอลป์) ชายฝั่งของแอฟริกาเหนือ บริเวณมณฑลใกล้เคียงของอียิปต์ แถบบอลข่าน ทะเลดำ เอเชียไมเนอร์ และส่วนใหญ่ของบริเวณลิแวนต์ ซึ่งดินแดนเหล่านี้ จากตะวันตกสู่ตะวันออกในปัจจุบันได้แก่ โปรตุเกส สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี แอลเบเนียและกรีซ แถบบอลข่าน ตุรกี ภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของเยอรมนี ทางภาคใต้จักรวรรดิโรมันได้รวบรวมตะวันออกกลางไว้ ซี่งในปัจจุบันก็ได้แก่ซีเรีย เลบานอน อิสราเอล จอร์แดน จากนั้นในภาคตะวันตกเฉียงใต้ จักรวรรดิได้รวบรวมอียิปต์โบราณไว้ทั้งหมด และได้ทำการยึดครองต่อไปทางตะวันตกซึ่งเป็นบริเวณชายฝั่งทะเลซี่งในปัจจุบันคือประเทศลิเบีย ตูนิเซีย แอลจีเรียและโมร็อกโก จนถึงตะวันตกของยิบรอลตาร์ ประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิโรมันเรียกว่าชาวโรมัน และดำเนินชีวิตภายใต้กฎหมายโรมัน การขยายอำนาจของโรมันได้เริ่มมานานตั้งแต่ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเรืองอำนาจสูงสุดในสมัยจักรพรรดิทราจัน ด้วยชัยชนะเหนือดาเซีย (ปัจจุบันคือประเทศโรมาเนียและมอลโดวา และส่วนหนึ่งของประเทศฮังการี บัลแกเรียและยูเครน) ในปี ค.ศ. 106 และเมโสโปเตเมียในปี ค.ศ. 116 (ซึ่งภายหลังสูญเสียดินแดนนี้ไปในสมัยจักรพรรดิฮาดริอานุส) ถึงจุดนี้ จักรวรรดิโรมันได้ครอบครองแผ่นดินประมาณ 5,900,000 ตารางกิโลเมตร (2,300,000 ตารางไมล์) และห้อมล้อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งชาวโรมันเรียกทะเลนี้ว่า mare nostrum ("ทะเลของเรา") อิทธิพลของโรมันได้ส่งผลต่อการพัฒนาทางด้านภาษา ศาสนา สถาปัตยกรรม ปรัชญา กฎหมายและระบบการเมืองมาจนถึงทุกวันนี้

จักรวรรดิถูกแบ่งออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกในสมัยของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน และถือว่าจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงในช่วงเวลาประมาณวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 476 เมื่อจักรพรรดิโรมุลุส เอากุสตุส จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกถูกขับไล่และเกิดการจลาจลขึ้นในโรม (ดูในการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน) อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือที่รู้จักกันในชื่อจักรวรรดิไบแซนไทน์ ก็ได้รักษากฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบกรีก-โรมัน รวมถึงศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ไว้ได้ในอีกสหัสวรรษต่อมา จนถึงการล่มสลายเมื่อเสียกรุงคอนสแตนติโนเปิลให้กับจักรวรรดิออตโตมัน ในปีค.ศ. 1453

ประวัติศาสตร์

นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งแยกช่วงการปกครองของจักรวรรดิโรมันเป็นสมัยผู้นำ (Principate) ซึ่งเริ่มตั้งแต่จักรพรรดิเอากุสตุสจนถึงวิกฤตการณ์คริสต์ศตวรรษที่ 3 และสมัยครอบงำ (Dominate) ซึ่งเริ่มตั้งแต่จักรพรรดิไดโอคลีเชียนจนถึงการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ซึ่งในสมัยผู้นำ ในจักรพรรดิจะมีอำนาจอยู่เบื้องหลังการปกครองแบบสาธารณรัฐ แต่ในสมัยครอบงำ อำนาจของจักรพรรดิได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่ ด้วยมงกุฎทองและพิธีกรรมที่หรูหรา และเมื่อเร็ว ๆ นี้ นักประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ว่ารูปแบบการปกครองนี้ได้ใช้ต่อจนถึงช่วงเวลาของจักรวรรดิไบแซนไทน์

สมัยรุ่งเรือง

จักรพรรดิพระองค์แรก

จูเลียส ซีซาร์ได้ประกาศตัวเป็นผู้เผด็จการตลอดอายุขัย ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ผู้เผด็จการจะต้องไม่อยู่ในตำแหน่งเกิน 6 เดือน ตำแหน่งของซีซาร์จึงขัดกับกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เหล่าสมาชิกวุฒิสภาบางคนเกิดความหวาดระแวงว่าเขาจะตั้งตนเป็นกษัตริย์และสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังนั้นจึงเกิดการวางแผนการลอบสังหารขึ้น และในวันที่ 15 มีนาคม 44 ปีก่อนคริสตกาล จูเลียส ซีซาร์เสียชีวิตลงโดยฝีมือของพวกลอบสังหาร

ออคเตเวียน บุตรบุญธรรมและทายาททางการเมืองของจูเลียส ซีซาร์ ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และไม่อ้างสิทธิ์ในตำแหน่งผู้เผด็จการ แต่ได้ขยายอำนาจภายใต้รูปแบบสาธารณรัฐอย่างระมัดระวัง โดยเป็นการตั้งใจที่จะสนับสนุนภาพลวงแห่งการฟื้นฟูของสาธารณรัฐ เขาได้รับตำแหน่งทางการเมืองหลายตำแหน่ง เช่น เอากุสตุส ซึ่งแปลว่า "ผู้สูงส่ง" และพรินเซปส์ ซึ่งแปลว่า"พลเมืองชั้นหนึ่งแห่งสาธารณรัฐโรมัน" หรือ "ผู้นำสูงสุดของวุฒิสภาโรมัน" ตำแหน่งนี้เป็นรางวัลสำหรับบุคคลผู้ทำงานรับใช้รัฐอย่างหนัก แม่ทัพปอมปีย์เคยได้รับตำแหน่งนี้เช่นกัน

นอกจากนี้ เอากุสตุสยังได้สิทธิ์ในการสวมมงกุฎพลเมือง ที่ทำจากไม้ลอเรลและไม้โอ๊คอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทั้งตำแหน่งต่าง ๆ และมงกุฎก็ไม่ได้มอบอำนาจพิเศษใด ๆ ให้เขา เขาเป็นเพียงกงสุลเท่านั้น และใน 13 ปีก่อนคริสตกาล เอากุสตุสได้เป็นพอนติเฟกซ์ แมกซิมุส ภายหลังการเสียชีวิตของมาร์กุส ไอมิลิอุส แลปิดุส เอากุสตุสสะสมพลังอำนาจไว้มากโดยที่ไม่ได้อ้างสิทธิ์ในตำแหน่งต่าง ๆ มากเกินไป

จากสาธารณรัฐสู่สมัยผู้นำ: เอากุสตุส

ในปี 31 ปีก่อนคริสตกาล มาร์ค แอนโทนีและคลีโอพัตราพ่ายแพ้ในยุทธนาวีที่อักติอูงและได้กระทำอัตวินิบาตฆาตกรรมทั้งคู่ ออคเตเวียนได้สำเร็จโทษซีซาเรียน ลูกชายของคลีโอพัตราและจูเลียส ซีซาร์ด้วย การสังหารซีซาเรียนทำให้ออคเตเวียนไม่มีคู่แข่งทางการเมืองที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับจูเลียส ซีซาร์แล้ว เขาจึงกลายเป็นผู้ปกครองคนเดียวของโรม ออคเตเวียนเริ่มการปฏิรูปทางทหาร เศรษฐกิจและการเมืองครั้งใหญ่ โดยมีเจตนาเพื่อทำให้อาณาจักรโรมันมั่นคงและสงบสุข และยังทำให้เกิดการยอมรับในรูปแบบการปกครองใหม่นี้ด้วย

ในช่วงเวลาที่ออคเตเวียนปกครองโรมัน วุฒิสภาได้มอบชื่อเอากุสตุสให้เขา พร้อมกับตำแหน่ง อิมเพอเรเตอร์ ("จอมทัพ") ด้วย ซึ่งได้พัฒนาเป็น เอ็มเพอเรอร์' ("จักรพรรดิ") ในภายหลัง

เอากุสตุสมักจะถูกเรียกว่า ซีซาร์ ซึ่งเป็นนามสกุลของเขา คำว่าซีซาร์นี้ถูกใช้เรียกจักรพรรดิในราชวงศ์ยูลิอุส-เกลาดิอุส และราชวงศ์ฟลาวิอุส (จักรพรรดิแว็สปาซิอานุส จักรพรรดิติตุส และจักรพรรดิดอมิติอานุส) ด้วย และยังเป็นรากศัพท์ของคำว่า ซาร์ (รัสเซีย: tsar) และ ไกเซอร์ (เยอรมัน: kaiser)

ยุคเสื่อมและการล่มสลาย

ในสมัยห้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรมก็ได้มาพร้อมกับความเสถียรภาพทางสังคมและความเจริญทางเศษฐกิจที่จักรวรรดิโรมไม่เคยมีมาก่อน[8] ควบคู่กับการขยายและการรวบรวมจักรวรรดิอย่างมหาศาล ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้จะมีประโยชน์แต่ได้มากับภาวะรวบรวมศูนย์อำนาจบริหารล้นเหลือ[9] และการครองราชย์ของจักรพรรดิก็อมมอดุสใน ค.ศ. 180 ได้ฉายานามว่า "จากอาณาจักรแห่งทองได้กลายเป็นเหล็กและสนิม"[10] ต่อมาในราชวงค์ของจักรพรรดิแซ็ปติมิอุส แซเวรุส จักรวรรดิโรมันไปประสบวิกฤตการณ์คริสต์ศตวรรษที่ 3ซึ่งแทบจะนำความสิ้นสุดมาสู่จักรวรรดิจากปัญหาหลายอย่างรวมกันที่รวมทั้งการรุกรานของพวกอนารยชนเผ่ากอท ความวุ่นวายไม่สงบ โรคระบาด และความตกต่ำทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างแม่ทัพ ซึ่งส่งผลไปทางชีวิตประจำวันของสามัญชนและทางธนารักษ์ จึงจำเป็นที่จะต้องหยุดชะงักทางการค้า เพิ่มอัตราภาษี เกิดภาวะเงินเฟ้อ และบีบบังคับจากการประจำการทางทหาร ทั้งหมดทำให้เกิดความยากลำบากทางเศรษฐกิจเป็นเวลาหลายทศวรรษ วิกฤตครั้งนี่นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากสมัยคลาสสิก เป็น ปลายสมัยโบราณ

จักรพรรดิออเรเลียนก็ได้ฟื้นฟูและทำให้จักวรรดิมีความเสถียรภาพ และได้ต่อยอดโดยจักรพรรดิดิออเกลติอานุส นอกนี้ภายใต้อำนาจของจักรพรรดิดิออเกลติอานุสก็ได้นำพาความร่วมกันต่อต้านภัยจากศาสนาคริสต์จึงได้เริ่มการเบียดเบียนครั้งใหญ่ ในช่วงราชสมัยครั้งนี้ก็ได้แบ่งจักรวรรดิโรมันเป็น 4 เขตในรูปแบบการปกครองที่เรียกว่า "จตุราธิปไตย"[11] ต่อมาในราชสมัยของจักรพรรดิกาเลริอุส ก็ได้ยินยอมให้ผู้นับถือศาสนาคริสต์ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้โดยสันติในปี ค.ศ. 311[12]

ในปีต่อมา ในราชสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนตินทรงกลับใจนับถือศาสนาคริสต์ และยอมรับให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำจักวรรดิ ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้ขยายอิทธิพลทั่วยุโรป ทรงสถาปนากรุงคอนแสนติโนเปิลในทางตะวันตกออกของจักรวรรดิโรมันเพื่อเป็นเมืองหลวงอีกแห่งหนึ่ง เพื่อแบ่งภาระของกรุงโรมในการปกครองและปราบปรามพวกอนารยชน จักรพรรดิเทออดอซิอุสที่ 1 ได้เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายที่ครองราชย์รอบเต็มขนาด เนื่องด้วยหลังจากนี้จักรวรรดิโรมันจะเสื่อมลงและเริ่มสุญเสียดินแดนและอำนาจ

ในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 5 จักรวรรดิโรมันตะวันตกต้องเผชิญกับปัญหาภายใน ไม่ว่าจะเป็นเพราะความอ่อนแอของจักพรรดิ ระบบทหารและเศรษฐกิจที่อ่อนแอ การย้ายถิ่นฐานของพวกบาร์เบเรียน การเสื่อมศีลธรรมจรรยาของชาวโรมัน และอื่นๆ[13]

ในปี ค.ศ. 410 จักรวรรดิโรมันตะวันตกก็โดนชาววิซิกอท ได้รุกร่านตีกรุงโรมแตก ซึ่งต่อมาใน ค.ศ. 476 จักรวรรดิโรมันตะวันตกก็ได้ถูกพวกกลุ่มชนเจอร์แมนิกเข้าปล้นสะดมได้สำเร็จ นำโดยพระเจ้าโอเดเซอร์ ขับไล่จักรพรรดิโรมุลุส เอากุสตุสออกจากบัลลังก์ ซึ่งถือว่าเป็นการสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมัน (ตะวันตก) ส่วนจักรวรรดิโรมันตะวันออก ซึ่งเรียกโดยนักประวัติศาสตร์ว่า "จักรวรรดิไบแซนไทน์" ได้เจริญพัฒนาราบรื่น มั่นคั่งและร่ำรวยกว่ายังดำรงต่อไปและยังคงมีจักรพรรดิปกครองไปไปในช่วงยุคกลางจนถูกพวกเติร์กเข้ายึดครองและถูกรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมัน ใน ค.ศ. 1453[14][15]

หมายเหตุ

  1. ชื่ออื่นที่กล่าวถึง "จักรวรรดิโรมัน" ในกลุ่มชาวโรมันและกรีกได้แก่ Res publica Romana หรือ Imperium Romanorum (ในภาษากรีก: Βασιλεία τῶν Ῥωμαίων – ["เครือจักรภพ (แปลตรงตัวว่า 'อาณาจักร' แต่สามารถตีความเป็น 'จักรวรรดิ') ของชาวโรมัน"]) และ Romania Res publica หมายถึง "เครือจักรภพ"โรมัน และสามารถอิงถึงสมัยสาธารณรัฐและจักรวรรดิ Imperium Romanum (หรือ "Romanorum") อิงถึงขอบเขตดินแดนของอำนาจโรมัน Populus Romanus ("ชาวโรมัน") มักใช้เรียกรัฐโรมัน คำว่า Romania เดิมทีสำนวนภาษาปากของดินแดนจักรวรรดิเช่นเดียวกันกับสมุหนามของผู้อยู่อาศัย ปรากฏในข้อมูลกรีกและลาตินในคริสต์ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา และถูกนำไปใช้กับจักรวรรดิโรมันตะวันออก (ดู R. L. Wolff, "Romania: The Latin Empire of Constantinople" in Speculum 23 (1948), pp. 1–34 and especially pp. 2–3).
  2. จักรวรรดิองค์สุดท้ายที่ปกครองดินแดนจักรวรรดิโรมันทั้งหมดก่อนที่จะแยกออกเป็นสองจักรวรรดิ
  3. จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งโรมันตะวันตก
  4. ผู้นำคนสุดท้ายที่ทั้งหมดยอมรับว่าเป็นจักรพรรดิโรมัน
  5. จักรพรรดิองค์สุดท้ายในจักรวรรดิไบแซนไทน์ (โรมันตะวันออก)

อ้างอิง

  1. Morley, Neville (17 August 2010). The Roman Empire: Roots of Imperialism. ISBN 978-0-7453-2870-6.
  2. Diamond, Jared (4 January 2011). Collapse: How Societies Choose to Fail or Succeed: Revised Edition. ISBN 978-1-101-50200-6.
  3. Bennett, Julian (1997). Trajan: Optimus Princeps : a Life and Times. Routledge. ISBN 978-0-415-16524-2.. Fig. 1. Regions east of the Euphrates river were held only in the years 116–117.
  4. 4.0 4.1 4.2 Taagepera, Rein (1979). "Size and Duration of Empires: Growth-Decline Curves, 600 B.C. to 600 A.D". Social Science History. Duke University Press. 3 (3/4): 125. doi:10.2307/1170959. JSTOR 1170959.
  5. Turchin, Peter; Adams, Jonathan M.; Hall, Thomas D (2006). "East-West Orientation of Historical Empires" (PDF). Journal of World-Systems Research. 12 (2): 222. ISSN 1076-156X. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-05-17. สืบค้นเมื่อ 6 February 2016.
  6. Durand, John D. (1977). "Historical Estimates of World Population: An Evaluation". Population and Development Review. 3 (3): 253–296. doi:10.2307/1971891. JSTOR 1971891.
  7. ในช่วงระยะกาลต่อสู้นี้ สมาชิกวุฒิสภาได้ล้มตายลงไปนับร้อยคน วุฒิสภา จึงได้บรรจุผู้ที่ภักดีในข้อตกลงไตรพันธมิตรครั้งแรกและข้อตกลงไตรพันธมิตรครั้งที่สองเพิ่ม
  8. Boatwright, Mary T. (2000). Hadrian and the Cities of the Roman Empire. Princeton University Press. p. 4.
  9. https://www.britannica.com/place/Roman-Empire/Height-and-decline-of-imperial-Rome
  10. Dio Cassius 72.36.4, Loeb edition translated E. Cary
  11. Potter, David (2004). The Roman Empire at Bay. Routledge. pp. 296–298. ISBN 978-0-415-10057-1.
  12. "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2022-12-26. สืบค้นเมื่อ 2022-10-06.
  13. วิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, สำนัก. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม. กรุงเทพมหานครฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด, 2551
  14. https://www.britannica.com/place/Roman-Empire/Height-and-decline-of-imperial-Rome#:~:text=The%20West%20was,Middle%20Ages.
  15. Ozgen, Korkut. "Mehmet II". TheOttomans.org. สืบค้นเมื่อ 3 April 2007.; Cartwright, Mark (23 January 2018). "1453: The Fall of Constantinople". World History Encyclopedia. World History Encyclopedia Limited. สืบค้นเมื่อ 11 February 2020.

บรรณานุกรม

แหล่งข้อมูลอื่น

Kembali kehalaman sebelumnya