ฐานบินน้ำพอง
ฐานบินน้ำพอง[2] (อังกฤษ: Nam Phong Air Force Base[1] หรือ Royal Thai Air Base Nam Phong) หรือ สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศน้ำพอง[3][4] หรือ สนามบินน้ำพอง[5] เป็นฐานบิน และที่ตั้งทางทหารของฝูงบิน 237 กองทัพอากาศไทย ตั้งอยู่ที่ตำบลบัวใหญ่ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ปัจจุบันเป็นสนามใช้อาวุธทางอากาศหลักหนึ่งในสองของกองทัพอากาศไทย ประวัติฐานบินน้ำพองสร้างขึ้นในช่วงสงครามเวียดนาม พ.ศ. 2509-2510 โดยบริษัทเหมืองแร่ยูทาห์ เดิมเพื่อรองรับเครื่องบิน อีซี-121 และฝูงบินยุทธวิธี 3 ฝูง แต่ท้ายที่สุดเมื่อก่อสร้างฐานบินเสร็จกลับกลายเป็นเพียง "ฐานเปล่า" เพื่อรองรับการจัดสรรงบประมาณและการจัดกำลังภาคพื้น[6] : 4, 33–34 สนามบินถูกใช้โดยหน่วยปฏิบัติการพิเศษลาวและไทยที่ปกปิดตัวตน โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ 404 (Project 404 หรือที่เรียกว่าพาเลซด็อก) และโครงการเอกภาพ (Project Unity หรือ ทหารเสือพราน) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ถึง พ.ศ. 2518 ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2515 ฐานบินน้ำพองได้กลายเป็นฐานปฏิบัติการที่ถูกจัดตั้งขึ้นพร้อมกันสำหรับปฏิบัติการทางอากาศของนาวิกโยธินสหรัฐ โดยกลุ่มอากาศยานนาวิกโยธินที่ 15 กองบินนาวิกโยธินที่ 1 ส่วนของฝูงบินที่เคยตั้งอยู่ที่ฐานทัพอากาศดานัง เวียดนามใต้ ถูกย้ายมายังฐานบินน้ำพอง เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2515 เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการทางอากาศเพื่อตอบโต้การรุกอีสเตอร์ ชุดล่วงหน้าที่มาถึงครั้งแรกลงจอดและพบว่าสนามบินดังกล่าวตั้งอยู่กลางป่า ในเวลานั้นฐานประกอบด้วยทางวิ่ง ลานจอดเครื่องบิน และอาคารไม้สองสามหลัง ไม่นานหลังจากนั้นกองพันซีบีของกองทัพเรือสหรัฐ (MCB 5) ก็เคลียร์ป่าและกางเต็นท์ประมาณสำหรับ 10 คนเพื่อนอนพักค้างและทำงานในการปรับฐาน เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ฐานบินจึงถูกเรียกว่า "โรสการ์เด้น" ตามเพลง โดยลินน์ แอนเดอร์สัน และแคมเปญรับสมัครนาวิกโยธินโดยกล่าวว่า "เราไม่เคยสัญญากับคุณเรื่องสวนกุหลาบ" และบรรยายภาพครูฝึกเจาะนาวิกโยธินพูดกับผู้รับสมัครที่หวาดกลัว[7] ฝูงบินที่ประจำการในเวลาต่อมาประกอบด้วย H&MS-15, MABS-15, VMFA-115 และ VMFA-232 พร้อมด้วย F-4 Phantom II, VMA (AW) -533 พร้อม A-6 Intruders, VMGR-152 พร้อม KC-130 Hercules และ H&MS-36, Det "D" พร้อมด้วย CH-46 Sea Knights[7] หลังจากนั้นไม่นาน กองพันที่ 3 นาวิกโยธินที่ 9 ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนด้านความปลอดภัยก็ได้เข้ามาวางกำลังที่ฐานบิน ประกอบไปด้วย หน่วยควบคุมการจราจรทางอากาศทางทะเลที่ 62 (MATCU 62) ทำหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานการควบคุมการจราจรในสนามบิน รวมถึงอาคารสนามบินและเรดาร์ GCA (Ground Controlled Approach เขตควบคุมภาคพื้นดิน) กองทหารที่เข้าประจำการในฐาน "โรสการ์เด้น" ถูกกำหนดให้เป็นหน่วยเฉพาะกิจเดลต้า ฐานดังกล่าวประกอบด้วยนาวิกโยธิน เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และการก่อสร้างของกองทัพเรือ นักบินบางคน (ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ขนส่งสินค้า) และนายทหาร 6 นายจากกองพลน้อยสื่อสารที่ 11 (สหรัฐ) ซึ่งจัดให้มีการรักษาความปลอดภัยการสื่อสารพิเศษแก่หน่วยบัญชาการตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงธันวาคม พ.ศ. 2515 ซึ่งประกอบด้วยส่วนปฏิบัติการของทหารไทยด้วย ฐานบินน้ำพองทำการจนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2516 เมื่อหน่วยทหารสหรัฐทั้งหมดถอนกำลังกลับไปยังฐานทัพของตน[7]: 24 ในระหว่างปฏิบัติการยึดครองฐานบินน้ำพองโดยกองกำลังสหรัฐ ฐานบินถูกใช้เพื่อปฏิบัติการทางอากาศต่อเป้าหมายในเวียดนามเหนือ กัมพูชา และลาว ในช่วงเวลานี้ กองกำลังนาวิกโยธินกลุ่มเล็ก ๆ ยังคงประจำการอยู่ในดานังเพื่อทำหน้าที่เป็น "ลูกเรือหมุนเวียน" หน้าที่ของพวกเขาคือเติมเชื้อเพลิงและติดอาวุธให้กับอากาศยานของนาวิกโยธินใหม่สำหรับการบินเที่ยวที่สองไปยังทางเหนือก่อนจะเดินทางกลับไปยังฐานบินน้ำพอง จากรูปแบบการบินนี้เองทำให้เครื่องบินนาวิกโยธินสามารถโจมตีได้สองครั้งต่อวันต่อเครื่องบิน ฐานบินน้ำพองยังเป็นฐานทัพอากาศสำหรับเปลี่ยนเส้นทางหลักสำหรับเครื่องบินที่ได้รับความเสียหายจากการสู้รบและเครื่องบินที่มีเชื้อเพลิงเหลือน้อย ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2518 ฐานบินน้ำพองยังได้รับเที่ยวบินลี้ภัยเพื่ออพยพชาวม้งออกมาจากลองเตียง ประเทศลาว[8] โดยมีผู้ลี้ภัยประมาณ 11,000 คน ด้วยเครื่องบิน CASI ซี-46 จำนวน 1 ลำ ระหว่างวันที่ 12-14 พฤษภาคม พ.ศ. 2518[9] ฐานบินน้ำพอง เคยเป็นศูนย์สื่อสารของกองทัพอากาศไทย จากการเยือนสถานที่ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2562 โดยทหารผ่านศึกนาวิกโยธินของหน่วยเฉพาะกิจเดลต้ารายงานว่า ฐานทัพแห่งนี้มีเจ้าหน้าที่ประจำการน้อยที่สุด และพื้นผิวรันเวย์อยู่ในสภาพย่ำแย่ และไม่รองรับการใช้เครื่องบินปีกตรึงที่ไม่อยู่ในสภาวะฉุกเฉิน ในช่วงต้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานว่า เนื่องจากการร้องเรียนเรื่องเสียงรบกวนจากประชาชนใกล้กับฐานบินอุดรธานี กองทัพอากาศจึงได้ตัดสินใจย้ายการฝึกเครื่องบินไอพ่นจากที่อุดรธานีนั่นไปยังฐานบินน้ำพอง โดยมีกำหนดการที่จะย้ายในปลายปี พ.ศ. 2568 หลังจากฐานบินได้รับการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกเรียบร้อยแล้ว[10] รูปภาพจากกูเกิ้ลแมพและ กูเกิ้ลเอิร์ธลงวันที่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 แสดงให้เห็นว่ารันเวย์ได้รับการเปลี่ยนพื้นผิวใหม่และมีการสร้างโครงสร้างเพิ่มเติมบางส่วน เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2567 กองทัพอากาศได้ลงนาม บันทึกความเข้าใจระหว่างกองทัพอากาศและจังหวัดขอนแก่นว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่ฝูงบิน 237 เพื่อพัฒนาพื้นที่ในการยกระดับขึ้นเป็นศูนย์การฝึกของกองทัพอากาศ รองรับการฝึกร่วม/ผสมขนาดใหญ่ในระดับนานาชาติ รวมถึงเป็นฐานบินสำหรับการปฏิบัติการร่วมกันระหว่างพลเรือนและทหาร[11] กองทัพอากาศ มีแผนที่จะย้ายการฝึกบินเครื่องบิน เอฟ-16 ของสิงคโปร์ จากกองบิน 23 อุดรธานีมาใช้พื้นที่ของสนามบินน้ำพอง ในปี พ.ศ. 2568 - 2569[12] บทบาทและปฏิบัติการกองทัพอากาศไทยสนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศน้ำพองฐานบินน้ำพองถูกใช้งานเป็น สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศน้ำพอง[3] สำหรับฝึกใช้อาวุธทางอากาศโดยกองทัพอากาศไทย โดยเฉพาะการแข่งขันการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธีของกองทัพอากาศไทย ซึ่งเป็นการแข่งขันของกองบินต่าง ๆ ของกองทัพอากาศ[13] เพื่อเตรียมความพร้อมของกำลังทางอากาศให้มีความสามารถในการปฏิบัติการในทุกมิติตามภารกิจของกองทัพอากาศ แบ่งออกเป็น 11 ประเภท[14] ได้แก่
หน่วยที่เข้าร่วมในการแข่งขัน คือหน่วยขึ้นตรงของกองทัพอากาศทั้ง 20 หน่วย[14] ฝูงบินอิสระปฏิบัติราชการสนาม 237นอกจากนี้ฐานบินน้ำพองยังเป็นฐานบินหลักของ ฝูงบินอิสระปฏิบัติราชการสนาม 237 [15]จากกองบิน 23 อุดรธานี[16] ทำหน้าที่เป็นกองรักษาการณ์ประจำฐานบินน้ำพอง[17] การฝึกร่วมกองทัพอากาศไทยใช้ฐานบินน้ำพองในการฝึกร่วมกับมิตรประเทศ[18] ได้แก่
หน่วยในฐานบินหน่วยบินที่วางกำลังในฐานบินน้ำพอง ที่วางกำลังอยู่ในปัจจุบัน ประกอบไปด้วย กองทัพอากาศไทยฝูงบิน 237 กองบิน 23
สิ่งอำนวยความสะดวกฐานบินน้ำพองเป็นฐานบินหลักของฝูงบิน 237 กองบิน 23 มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในกองบิน ดังนี้ ลานบินฐานบินน้ำพองประกอบไปด้วย ทางวิ่งความยาว 3,050 เมตร (10,007 ฟุต) ความกว้าง 45 เมตร (148 ฟุต) อยู่เหนือจากระดับน้ำทะเล 723 ฟุต (220 เมตร) ทิศทางรันเวย์คือ 01/19 พื้นผิวแอสฟอลต์คอนกรีต[1] ระเบียงภาพสงครามเวียดนาม
ปัจจุบัน
ดูเพิ่มอ้างอิงวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ฐานบินน้ำพอง
|