ฐานบินประจวบคีรีขันธ์
ฐานบินประจวบคีรีขันธ์[2] (อังกฤษ: Prachuap Khiri Khan Air Force Base[3]) เป็นฐานบินปฏิบัติการกิจพิเศษ[4][5]และที่ตั้งทางทหารของกองบิน 5 กองทัพอากาศไทย ตั้งอยู่ที่ตำบลเกาะหลัก อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์[6] ประวัติในช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้งกองทัพอากาศตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2461 ได้มีการก่อตั้งกรมอากาศยานทหารบกโดยแบ่งส่วนราชการเป็น 3 ส่วนด้วยกันคือ 1. กองบินทหารบก 2. โรงเรียนการบินทหารบก 3. โรงงานกรมอากาศยานทหารบก โดยทั้งหมดมีที่ตั้งอยู่ที่ฐานทัพอากาศดอนเมืองในขณะนั้น[7] ต่อมาช่วงต้นปี พ.ศ. 2463 รัฐบาลมีความต้องการที่จะย้ายกองบินใหญ่ทหารบกที่ 1 (กองบิน 4 ปัจจุบัน) จากฐานทัพอากาศดอนเมืองมาประจำการที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงได้มอบหมายให้ ว่าที่ร้อยเอก ชิต รวดเร็ว ผู้บังคับบัญชากองบินใหญ่ทหารบกที่ 1 ไปหาสถานที่ที่มีความเหมาะสมในพื้นที่ตำบลหนองอ้ายเมฆ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างคลองวาฬและทางรถไฟ และเริ่มเข้าพื้นที่เพื่อถากถางพื้นที่สำหรับการสร้างฐานบินในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2464 ด้วยการทำข้อตกลงกับฝ่ายปกครองท้องถิ่น คือผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มหาอำมาตย์ตรีพระยาสวัสดิ์คีรีศรีสมันตราชนายก และปลัดจังหวัด รองอำมาตย์เอกหลวงภักดีดินแดน เป็นผู้อำนวยการในการปรับพื้นที่สร้างฐานบิน โดยใช้นักโทษจำนวน 200 คนจากเรือนจำมณฑลราชบุรี และทหารจากกรมทหารบกราบที่ 14 เป็นผู้ควบคุมการดำเนินงานของนักโทษ[7] ในปี พ.ศ. 2464 หลังจากการเข้าปรับพื้นที่ที่จะก่อสร้างฐานบิน ได้มีความเห็นจากรัฐบาลว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่เหมาะสมในการก่อตั้งฐานบินสำหรับประจำการกองบินใหญ่ที่ 1 แต่เหมาะสมกับกองโรงเรียนการบินยิงปืนมากกว่า ซึ่งพื้นที่เป็นแหลมต่อจากเขาล้อมหมวกด้านตะวันตก ระหว่างอ่าวมะนาวและอ่าวประจวบ เจ้ากรมอากาศยานจึงได้ส่ง ร้อยเอก ชิต รวดเร็ว ผู้บังคับการกองบินใหญ่ที่ 1 พร้อมด้วย ร้อยโท กาพย์ ทัตตานนท์ ลงพื้นที่มาสำรวจและจัดทำแผนผังก่อตั้งกองโรงเรียนการบินยินปืน และเสนอขึ้นมายังผู้บังคับบัญชาตามลำดับเพื่อขอพระบรมราชานุญาต ซึ่งได้รับพระบรมราชานุญาตและเปิดการประมูลจ้างช่างก่อสร้าง ผู้ชนะคือ นายเหยี่ยว ยี่ห้อฟุกกี่ เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2464 และแล้วเสร็จในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2465[7] ต่อมาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2465 ได้ดำเนินการย้ายกองบินใหญ่ที่ 1 จากดอนเมืองมาประจำการที่ฐานบินประจวบคีรีขันธ์ ด้วยรถไฟสายใต้ และเปิดที่ทำการที่ว่าการกองบินใหญ่ที่ 1 วันแรกเมือวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2465[7] จากนั้น กองบินใหญ่ที่ 1 ได้ย้ายไปยังที่ตั้งใหม่ ณ สนามบินเขาพระบาทน้อย จังหวัดลพบุรี เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่ไม่เหมาะสม เหมาะกับการใช้เป็นโรงเรียนการบินยิงปืนและทิ้งระเบิดมากกว่า กองบินใหญ่ที่ 1 จึงย้ายออกจากฐานบินเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2468 และใช้งานฐานบินเป็นโรงเรียนการบินยิงปืนแทน[7] ในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2469 โรงเรียนการบินยิงปืนได้เปลี่ยนชื่อเป็น กองโรงเรียนการบินที่ 2 ขึ้นตรงต่อเจ้ากรมอากาศยาน มีภารกิจในการฝึกการใช้อาวุธยิงทางอากาศให้กับนักบินทุกประเภท ผู้ทำหน้าที่ตรวจการณ์ ผู้ยิงปืนหลัง และผู้ทิ้งลูกระเบิด[8] และเปลี่ยนชื่อเป็น กองบินน้อยที่ 5 ในปี พ.ศ. 2479[9] ระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา ฐานบินประจวบคีรีขันธ์เป็นอีกหนึ่งจุดปะทะในการยกพลขึ้นบกของกองทัพญี่ปุ่นบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยเรือลำเลียงพลของกองทัพญี่ปุ่นได้ลอยลำซุ่มอยู่ด้านหลังเขาล้อมหมวก และระบายพลยกพลขึ้นบกบริเวณตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์ อ่าวประจวบ และอ่าวมะนาว เพื่อใช้เป็นเส้นทางเดินทัพผ่านไปยังประเทศพม่าผ่านทางด่านสิงขรและได้ปะทะกับทหารประจำการของกองบินน้อยที่ 5 ในฐานบินประจวบคีรีขันธ์เพื่อต้านทางกองกำลังญี่ปุ่นกว่า 36 ชั่วโมง จนกระทั่งการเจรจายุติ รัฐบาลไทยยอมให้รัฐบาลญี่ปุ่นเคลื่อนทัพผ่านการปะทะสู้รบจึงยุติลง และมีการสร้างอนุสาวรีย์วีรชน 8 ธันวาคม 2484 ในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493[10] กระทั่งในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2506 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของกองทัพอากาศ โดยกองบินน้อยที่ 5 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นกองบิน 5 และมีการเปลี่ยนแปลงชื่อหน่วยประจำฐานบินประจวบคีรีขันธ์อีกหลายครั้ง ได้แก่ พ.ศ. 2520 เปลี่ยนชื่อเป็น กองบิน 53 และ พ.ศ. 2550 ได้เปลี่ยนชื่อกลับมาเป็นกองบิน 5 อีกครั้งเพื่อเชิดชูเกียรติให้กับวีรชนนเหตุการณ์สงครามมหาเอเชียบูรพาในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ที่ได้ต่อสู้กับกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นในการยกพลขึ้นบกจนกระทั่งรัฐบาลไทยประกาศให้ญี่ปุ่นสามารถเคลื่อนทัพผ่านประเทศไทยได้[11] บทบาทและปฏิบัติการกองทัพอากาศไทยฐานบินประจวบคีรีขันธ์ เป็นฐานบินหลักสำหรับกองบิน 5 กองทัพอากาศไทยในการปฏิบัติการพิเศษ[4]รวมถึงเป็นฐานบินปฏิบัติกิจพิเศษ[5] ซึ่งฐานบินประจวบคีรีขันธ์ประกอบไปด้วยเครื่องบินโจมตีและธุรการ 1 ฝูงบิน คือ
และส่วนสนับสนุนอื่น ๆ ได้แก่ กองบังคับการ, แผนกการเงิน, แผนกสนับสนุนการบิน, กองเทคนิค, โรงพยาบาลกองบิน, แผนกช่างโยธา, แผนกขนส่ง, แผนกพลาธิการ, แผนกสวัสดิการ และกองร้อยทหารสารวัตร[10] หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้ใช้ฐานบินประจวบคีรีขันธ์ในการปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และจังหวัดโดยรอบ หมุนเวียนกันมาประจำการ เช่น เซสนา 208 คาราวาน[15] หน่วยในฐานบินหน่วยบินที่วางกำลังในฐานบินประจวบคีรีขันธ์ ที่วางกำลังอยู่ในปัจจุบัน ประกอบไปด้วย กองทัพอากาศกองบิน 5
ฐานปฏิบัติการฝนหลวง กองบิน 5[16]
กรมฝนหลวงและการบินเกษตรศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้
สิ่งอำนวยความสะดวกฐานบินประจวบคีรีขันธ์เป็นฐานบินหลักของกองบิน 5 เนื้อที่ประมาณ 4,000 ไร่[9] มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในกองบิน ดังนี้ ลานบินฐานบินประจวบคีรีขันธ์ประกอบไปด้วย
โรงพยาบาลกองบิน 5โรงพยาบาลกองบิน 5 เป็นโรงพยาบาลในกองบิน 5 อยู่ภายใต้สังกัดกรมแพทย์ทหารอากาศ กระทรวงกลาโหม ประกอบด้วยเตียงผู้ป่วยขนาด 30 เตียง[18] สำหรับตรวจรักษาข้าราชการทหาร ลูกจ้าง พนักงาน ครอบครัว และประชาชนบริเวณกองบิน และดำเนินการด้านเวชศาสตร์ป้องกันและเวชศาสตร์การบิน[10] สนามกอล์ฟกองบิน 5สนามกอล์ฟกองบิน 5 หรือสนามกอล์ฟอ่าวมะนาว เป็นสนามกอล์ฟขนาด 9 หลุม ให้บริการข้าราชการ ประชาชน และนักท่องเที่ยวในการเข้ามาใช้บริการภายในฐานบินประจวบคีรีขันธ์[19] อนุสาวรีย์วีรชน 8 ธันวาคม 2484
ฐานบินประจวบคีรีขันธ์เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์วีรชน 8 ธันวาคม 2484 สร้างขึ้นแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 เพื่อเชิดชูเกียรติให้กับการต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่นประมาณ 4,000 นายที่ยกพลขึ้นบกในพื้นที่ตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์ อ่าวประจวบ และอ่าวมะนาวเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 และปะทะกับกำลังพลกองทัพอากาศที่ประจำการอยู่ที่กองบินน้อยที่ 4 เป็นระยะเวลานานกว่า 36 ชั่วโมงจนกระทั่งรัฐบาลไทยประกาศให้ยุติการสู้รบเนื่องจากได้เจรจากันและยอมเป็นพันธมิตรกัน ผลการสู้รบกำลังพลฝ่ายญี่ปุ่นเสียชีวิตระหว่างการรบ 217 นาย และเสียชีวิตในเวลาต่อมาอีกประมาณ 200 นาย ขณะที่ฝ่ายไทยเสียชีวิต 42 คน ประกอบไปด้วย ทหารอากาศ 38 นาย ตำรวน 1 นาย ลูกเสือ 1 คน ครอบครัวกำลังพล 2 คน รวมถึงมีกำลังพลของตำรวจเสียชีวิตในการปะทะในอำเภอเมืองอีก 14 นาย จากวีรกรรมดังกล่าวทำให้ทุกวันที่ 8 ธันวาคมของทุกปี กองทัพอากาศจะประกอบพิธีวางพวงมาลาบริเวณอนุสาวรีย์และบำเพ็ญกุศลให้กับผู้เสียชีวิต ซึ่งได้อัญเชิญอัฐิของวีรชนจากอนุสาวรีย์กองทัพอากาศที่ฐานทัพอากาศดอนเมืองมาไว้ยังอนุสาวรีย์วีรชน 8 ธันวาคม 2484 เมื่อปี พ.ศ. 2532 ดูเพิ่มอ้างอิง
|