ฐานบินวัฒนานคร
ฐานบินวัฒนานคร[2] (อังกฤษ: Watthana Nakhon Air Force Base[3][4]) หรือ สนามบินวัฒนานคร (Watthana Nakhon Airport[3]) เป็นฐานทัพอากาศและที่ตั้งทางทหารของกองบิน 3 กองทัพอากาศไทย ในอำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว อดีตเคยเป็นที่ตั้งของฝูงบิน 206 กองบิน 2 ในฐานะฝูงบินอิสระปฏิบัติราชการสนามชายแดน และฝูงบิน 43 กองบิน 4 ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ประวัติฐานบินวัฒนานคร เป็นที่รู้จักกันในชื่อ สนามบินวัฒนานคร โดยปรากฏในเอกสารและหลักฐานต่าง ๆ ส่วนใหญ่ในชื่อของสนามบินวัฒนานคร กรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพาในช่วงปี พ.ศ. 2483 - 2484 กองบินน้อยที่ 3 ในขณะนั้นได้แบ่งฝูงบินมาวางกำลังที่จังหวัดปราจีนบุรี (จังหวัดสระแก้วปัจจุบัน) ณ ฐานบินวัฒนานคร เพื่อสนับสนุนการรบให้กับกองทัพภาคบูรพา และช่วงปี พ.ศ. 2484 - 2488[5] ฐานบินวัฒนานครเป็นฐานบินที่ถูกโจมตีในระลอกแรกจากกองทัพญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ทางฝั่งอรัญประเทศ พร้อมกันกับการยกพลขึ้นบกบริเวณอ่าวไทย โดยกองทัพอากาศซึ่งประจำฝูงบิน 43 อยู่ที่ฐานบินวัฒนานครขณะนั้นได้นำเครื่องบินขับไล่แบบฮอว์คจำนวน 3 ลำ[6] ขึ้นสกัดกั้นจนมีนักบินเสียชีวิตระหว่างการรบทางอากาศ 3 นาย[7] จดทะเบียนเป็นสนามบินอนุญาตสนามบินบินวัฒนานครได้รับอนุญาตให้เป็นสนามบินอนุญาตตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 ในปี พ.ศ. 2498 ซึ่งสามารถให้บริการเที่ยวบินในเชิงพาณิชย์ได้และใช้สำหรับขึ้นลงอากาศยานได้อย่างถูกกฎหมาย แต่ไม่ปรากฎหลักฐานชั้นต้นในเส้นทางการบินในเชิงพาณิชย์ของฐานบินวัฒนานครหรือสนามบินวัฒนานคร[8] ในปี พ.ศ. 2506 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเงินงบประมาณที่กันไว้สำหรับปรับปรุงสนามบินชัยภูมิมาใช้การปรับปรุงสนามบินวัฒนานคร เป็นวงเงิน 2,243,440 บาท[9] สงครามเย็นในปี พ.ศ. 2520 ฐานบินวัฒนานครเป็นที่วางกำลังของฝูงบิน 206 พร้อมกันกับฝูงบิน 207 จากกองบิน 2 ที่วางกำลังในพื้นที่จังหวัดตราด ในฐานะฝูงบินอิสระปฏิบัติราชการสนามชายแดน[10] ซึ่งจะมีการวางกำลังทางอากาศเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ส่งผลต่อความมั่นคงระหว่างประเทศในการใช้สนับสนุนปฏิบัติการทางบก ซึ่งอากาศยานที่มาประจำการนั้นจะมาในรูปแบบของหน่วยบินเฉพาะกิจจากกองบินต่าง ๆ ไม่มีอากาศมาประจำการถาวร[11] หลังสงครามเย็นในปี พ.ศ. 2535 ได้มีประกาศกระทรวงคมนาคมในการกำหนดเขตปลอดภัยการเดินอากาศในพื้นที่ของสนามบินวัฒนานครตามแนวทางวิ่งของอากาศยานไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันตกเฉียงใต้ในพื้นที่ของตำบลวัฒนานคร ตำบลหนองน้ำใส ตำบลท่าเกวียน ตำบลโนนหมากเค็ง ตำบลหนองแวง ตำบลผักขะ และบางส่วนของตำบลหนองหมากฝ้าย อำเภอวัฒนานคร พร้อมทั้งตำบลหันทราย อำเภออรัญประเทศ ซึ่งลงนามโดย[12] ปัจจุบันเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2563 ฝูงบิน 206 ซึ่งประจำอยู่ที่ฐานบินวัฒนานครได้ถูกปรับและยกฐานะขึ้น[13] เป็นกองบิน 3 และเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นฝูงบินอิสระปฏิบัติราชการสนามชายแดนขึ้นเป็นฝูงบินซึ่งขึ้นตรงกับกองทัพอากาศ มีภารกิจเกี่ยวกับการใช้งานอากาศยานไร้คนขับในการสนับสนุนปฏิบัติการทางอากาศและการรบ ทำให้ฐานบินวัฒนานครได้เปลี่ยนเป็นฐานบินหลักของอากาศยานไร้คนขับ[14] หรือ Home of UAV[4] ฐานบินวัฒนานครได้ทำพิธีทำบุญเปิดซุ้มประตูทางเข้าฐานบินโดยมี นาวาอากาศเอก อำนาจ สิงหพันธ์ ผู้บังคับการกองบิน 3 เป็นประธานในพิธีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2566[15] บทบาทและปฏิบัติการกองทัพอากาศไทยฐานบินวัฒนานคร เป็นที่ตั้งหลักของกองบิน 3 ซึ่งเป็นกองบินสำหรับปฏิบัติการอากาศยานไร้คนขับ และเป็นฐานบินสำหรับวางกำลังในสถานการณ์ที่ส่งผลต่อความมั่นคงระหว่างประเทศตามภารกิจของฝูงบิน 206 เดิม ปัจจุบันประจำการฝูงบิน 301 และหน่วยสนับสนุนอื่น ๆ ของกองบิน 3
และส่วนสนับสนุนอื่น ๆ ได้แก่ กองบังคับการ, กองร้อยสารวัตรทหาร, แผนกสนับสนุนการบิน, กองเทคนิค, โรงพยาบาลกองบิน, แผนกช่างโยธา, แผนกขนส่ง, แผนกพลาธิการ, แผนกการเงิน และแผนกสวัสดิการ[10] หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดสระแก้วศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออก กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้ใช้ฐานบินวัฒนานครในการปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่จังหวัดสระแก้วและจังหวัดใกล้เคียง[17] โดยมีการตั้งโรงเก็บสารฝนหลวงในพื้นที่ฐานบินเพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติการทำฝนหลวง[18] ตามนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนโครงการพระราชดำริฝนหลวงในการเบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรนอกพื้นที่ชลประทานที่ต้องการน้ำในการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตร[19] รวมถึงเพิ่มปริมาณน้ำกักเก็บในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ชลประทาน[20] โดยใช้เครื่องบินแบบเซสนา 208 คาราวาน[21] หน่วยในฐานบินหน่วยบินที่วางกำลังในฐานบินวัฒนานคร ประกอบไปด้วย กองทัพอากาศ
กรมฝนหลวงและการบินเกษตร
สิ่งอำนวยความสะดวกฐานบินวัฒนานครมีเนื้อที่ประมาณ 16,000 ไร่ เป็นฐานบินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของกองทัพอากาศ[23] ซึ่งได้รับจากกรมธนารักษ์มาเพื่อใช้ประโยชน์ด้านความมั่นคง[13] ปัจจุบันมีพื้นที่ใช้งานอยู่ทั้งหมด 2 ส่วนคือ การใช้งานในทางทหารเป็นฐานบิน และการปล่อยให้ราษฎร์โดยรอบเช่าทำประโยชน์ ลานบินฐานบินวัฒนานครประกอบไปด้วยทางวิ่งความยาว 1,500 เมตร (4,921 ฟุต) ความกว้าง 31 เมตร (102 ฟุต) อยู่เหนือจากระดับน้ำทะเล 225 ฟุต (69 เมตร) ทิศทางรันเวย์คือ 05/23 หรือ 051° และ 231°[24] พื้นผิวแอสฟอลต์คอนกรีต[25] โรงเก็บอากาศยานฐานบินวัฒนานครมีโรงเก็บอากาศยานไร้คนขับ[26] สำหรับจัดเก็บอากาศยานในประจำการของฝูงบิน 301 กองบิน 3[27] โรงพยาบาลกองบิน กองบิน 3โรงพยาบาลกองบิน กองบิน 3 เป็นโรงพยาบาลในสังกัดของกองบิน 3 ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดกรมแพทย์ทหารอากาศ[28] กระทรวงกลาโหม[10] ประกอบด้วยเตียงผู้ป่วยขนาด 10 เตียง[29] อุบัติเหตุฐานบินวัฒนานครเคยเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2548 ซึ่งตรงกับวันเด็กแห่งชาติในปีนั้น หลังจากการจัดแสดงเครื่องบินในวันเด็กเสร็จสิ้น กองทัพอากาศได้นำเครื่องบินฝึกแบบ CT4 A ออกเดินทางจากฐานบินวัฒนานครกลับสู่ฐานทัพอากาศดอนเมือง โดยนาวาอากาศเอก เกษม วงษ์หงสา ครูฝึกที่เดินทางมาจากฐานทัพอากาศดอนเมือง โดยระหว่างการนำเครื่องขึ้นจากฐานบินและไต่ระดับขึ้นไปสูงจากพื้น 50 เมตรและหันหัวกลับไปยังกรุงเทพมหานคร เครื่องบินเกิดเสียความทรงตัวและตกลงกระแทกพื้นจนเกิดระเบิดจนเพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ นาวาอากาศเอก เกษม วงษ์หงสา ครูฝึกที่ทำหน้าที่นักบิน และเด็กชาย จิรพล นนท์ศิริ อายุ 16 ปี บุตรชายของผู้บังคับการฝูงบิน 206 ในขณะนั้นที่โดยสารไปด้วยเสียชีวิต[30] อนุสาวรีย์วีรชนกองทัพอากาศ
ฐานบินวัฒนานคร เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์วีรชนกองทัพอากาศ เพื่อเป็นอนุสรณ์ในเหตุการณ์ที่ทหารอากาศไทยได้ต่อสู้ปกป้องน่านฟ้าไทยจากการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ทางชายแดนประเทศไทยบริเวณอำเภออรัญประเทศ ซึ่งกองทัพอากาศญี่ปุ่นได้ส่งอากาศยานแบบเซนโตกิ[31] แบบโจมตี กิ-30 จำนวน 9 ลำ และเครื่องบินขับไล่ กิ-27 จำนวน 11 ลำ[32] รวม 20 ลำ[31] เข้ามาในน่านฟ้าไทย และโจมตีบริเวณฐานบินวัฒนานครที่มีฝูงบิน 43 ประจำการอยู่ ทำให้ฝ่ายไทยนำเครื่องบินขับไล่แบบที่ 10 ฮอว์ค 3[7] จำนวน 3 ลำ[31] ขึ้นบินสกัดกั้น ด้วยกำลังที่ด้อยกว่าทำให้มีผู้เสียชีวิตระหว่างการบินขับไล่และสกัดกั้นบนน่านฟ้าจำนวน 3 นาย ได้แก่
จากเหตุการณ์ดังกล่าว กองทัพอากาศจึงได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้เพื่อเชิดชูเกียรติของกำลังพลกองทัพอากาศที่ร่วมต่อสู้ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ณ กองบิน 3 ฐานบินวัฒนานครชื่อว่าอนุสาวรีย์" วีรชนกองทัพอากาศ" และกองบิน 5 ฐานบินประจวบคีรีขันธ์ชื่อว่าอนุสาวรีย์ "วีรชน 8 ธันวาคม 2484"[31] อ้างอิง
|