ฐานบินอุบลราชธานี
ฐานบินอุบลราชธานี[1] (อังกฤษ: Ubon Ratchathani Air Force Base หรือ Ubon Royal Thai Air Force Base) เป็นฐานบินปฏิบัติการหน้าและที่ตั้งทางทหารของกองบิน 21 กองทัพอากาศไทย ตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 488 กิโลเมตร (303 ไมล์) ห่างจากชายแดนประเทศลาวประมาณ 60 กิโลเมตร (37 ไมล์) ทางทิศตะวันออก และมีประเทศกัมพูชาติดต่ออยู่ในบริเวณพื้นที่ทางทิศใต้[2] ปัจจุบันบางส่วนถูกใช้งานเป็นพื้นที่สนามบินพลเรือน ฐานบินอุบลราชธานีเป็นที่ตั้งของฝูงบิน 211 อีเกิล Eagles ซึ่งประจำการเครื่องบินขับไล่แบบที่ 18 ค นอร์ธรอป เอฟ-5[3][4] ฝูงสุดท้ายของประเทศไทยของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน[5] ประวัติสนามบินอุบลราชธานีถูกสร้างขึ้นและใช้งานการบินครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2464 ได้เกิดการแพร่ระบาดของไข้ทรพิษและอหิวาตกโรคในพื้นที่อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี รัฐบาลจึงได้ส่งแพทย์และเวชภัณฑ์ผ่านทางเครื่องบินมาลงยังสนามบินอุบลราชธานี[2] ต่อมาฐานบินอุบลราชธานีได้ถูกก่อตั้งขึ้นช่วงปี พ.ศ. 2493 เนื่องจากกองกำลังคอมมิวนิสต์ได้เข้าร่วมในสงครามกลางเมืองในลาว และรัฐบาลไทยเกรงว่าลัทธิคอมมิวนิสต์จะลุกลามเข้ามาในประเทศไทย จึงยินยอมให้รัฐบาลสหรัฐแอบใช้ฐานบิน 5 แห่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 เพื่อป้องกันภัยทางอากาศและสำหรับทำการบินลาดตระเวนในประเทศลาว ภายใต้ "ข้อตกลงสุภาพบุรุษ" ของไทยกับสหรัฐ ฐานทัพอากาศไทยที่กองทัพอากาศสหรัฐใช้งานจะได้รับคำสั่งจากเจ้าหน้าที่ไทย ตำรวจอากาศของไทยจะคอยควบคุมการเข้าถึงฐานต่าง ๆ พร้อมด้วยตำรวจรักษาความปลอดภัยของกองทัพสหรัฐ ซึ่งช่วยเหลือพวกเขาในการป้องกันฐานโดยใช้สุนัขเฝ้ายาม หอสังเกตการณ์ และบังเกอร์ปืนกล กองกำลังทหารอากาศสหรัฐที่อุบลราชธานีอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของทัพอากาศแปซิฟิก (PACAF) นอกจากนี้ ฐานบินอุบลราชธานียังเป็นที่ตั้งของสถานี TACAN ช่อง 51 และอ้างอิงโดยตัวระบุดังกล่าวในการสื่อสารด้วยเสียงระหว่างปฏิบัติภารกิจทางอากาศ รหัสที่ทำการไปรษณีย์กองทัพบกสหรัฐ (Army Post Office: APO) สำหรับฐานบินอุบลราชธานี คือ "APO San Francisco 96304" การใช้งานโดยกองทัพอากาศออสเตรเลียเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 กองทัพอากาศออสเตรเลีย (RAAF) ได้ส่งเครื่องบินรบ CAC-27 Sabre จำนวน 8 ลำไปยังฐานบินอุบลราชธานี หน่วยนี้ถูกกำหนดให้เป็น ฝูงบินที่ 79 ที่ตั้งทางทหารของออสเตรเลียเป็นที่รู้จักในชื่อ RAAF Ubon ได้รับการออกแบบและสร้างโดยกองร้อยก่อสร้างสนามบินที่ 5[6] ภารกิจของฝูงบินที่ 79 คือการช่วยเหลือรัฐบาลไทยและลาวในการปฏิบัติการต่อต้านผู้ก่อความไม่สงบคอมมิวนิสต์ในช่วงปีแรก ๆ ของสงครามเวียดนาม[6]: 255 เนื่องจากการส่งเครื่องบินรบของกองทัพอากาศสหรัฐไปยังจังหวัดอุบลราชธานี หน่วยยังได้ทำการฝึกซ้อมร่วมกันและให้การป้องกันทางอากาศสำหรับเครื่องบินโจมตีและเครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศสหรัฐที่ประจำการอยู่ที่อุบล[6]: 256 ฝูงบินที่ 79 ไม่ได้ทำการบินเหนือกัมพูชา เวียดนามใต้ หรือลาว กำลังของหน่วยตลอดช่วงเวลาประจำการมีประมาณ 150–200 คน เซอร์ เอดมันด์ ฮิลลารี ได้เดินทางมาเยือนฐานบินดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2510 เนื่องจาก CAC Sabers นั้นล้าสมัยและถูกจำกัดไม่ให้ปฏิบัติการนอกน่านฟ้าไทย ฝูงบินจึงถูกยุบเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2511[6]: 257 การใช้งานโดยกองทัพอากาศสหรัฐตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 ถึง พ.ศ. 2517 ฐานบินแห่งนี้เป็นฐานบินแนวหน้าของกองทัพอากาศสหรัฐในช่วงสงครามเวียดนาม ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2508 กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 15 ได้ส่งฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 45 ซึ่งเป็นหน่วย เอฟ-4ซี แฟนทอม 2 ลำแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อทำภารกิจรบในเวียดนามเหนือ[7][8] เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 นักบินของฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 45 ได้รับการยกย่องจากชัยชนะทางอากาศครั้งแรกของสงครามเวียดนาม โดยสามารถยิง มิก-17[9] ของเวียดนามเหนือได้สองลำ ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 45 อยู่ระหว่างการมอบหมายหน้าที่ชั่วคราว (TDY) จากฐานที่ตั้งถาวรที่ฐานทัพอากาศแมคดิลล์ ฟลอริดา ฝูงบินที่ 45 มีชั่วโมงบินมากกว่า 1,000 ชั่วโมงด้วยเครื่องบิน 24 ลำเหนือเวียดนามเหนือในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2508 ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 45 ถูกแทนที่ด้วยฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 47 ซึ่งใช้งาน เอฟ-4ซี เช่นกัน ซึ่งมาถึงเพื่อปฏิบัติการในเดือนกรกฎาคมและกลับมายังสหรัฐอเมริกาในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508[9]: 179 [10] กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 The Wolfpack มาถึงอุบลราชธานีเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2508 จากฐานทัพอากาศจอร์จ แคลิฟอร์เนีย โดยเป็นส่วนหนึ่งในการส่งกำลังของสหรัฐสำหรับปฏิบัติการโรลลิงธันเดอร์ (Operation Rolling Thunder) และกลายเป็นหน่วยหลักประจำฐานบินอุบลราชธานี[7]: 21 ที่อุบลราชธานี ภารกิจของกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ได้แก่ การทิ้งระเบิด การสนับสนุนภาคพื้นดิน การป้องกันภัยทางอากาศ การขัดขวาง และการลาดตระเวนติดอาวุธ ฝูงบินปฏิบัติการของกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ประกอบไปด้วย[7]: 20
ปฏิบัติการโรลลิงธันเดอร์เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2509 กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ได้ยิงเครื่องบินมิกตกครั้งแรกในสงครามเวียดนาม โดยยิงเครื่องบินรบ มิก-17 ตก 2 ลำ ภายในสิ้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2509 หลังจากอยู่ในยุทธบริเวณเพียงหกเดือน กองบินได้ทำการบินรบมากกว่า 10,000 ครั้ง อัตราความสำเร็จในการปฏิบัติการกว่า 99% จนผลงานเป็นที่ยกย่อง ปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2509 พันเอก โรบิน โอลด์ส ผู้บัญชาการกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ได้พัฒนาแผนการที่จะหลอกล่อให้ มิก ของเวียดนามเหนือเข้าสู่การต่อสู้และทำลายพวกมัน ปฏิบัติการโบโล (Operation Bolo) เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2510 และส่งผลให้มีการสูญเสีย มิก-21 จำนวน 7 ลำโดยฝั่งสหรัฐไม่มีการสูญเสีย[16] ในวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2510 เอฟ-4 จากกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ได้เข้าร่วมในการโจมตีครั้งแรกที่โรงงานเหล็กท้ายเงวียน โดยสูญเสีย เอฟ-4 จำนวน 2 ลำจากการยิงต่อต้านอากาศยาน[16]: 57–8 เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2510 เครื่องบิน เอฟ-4ดี ใหม่ได้ถูกส่งไปยังอุบลราชธานี โดยประจำการที่ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 555 เครื่องบิน เอฟ-4ดีลำใหม่มีการปรับปรุงความสามารถในการทิ้งระเบิดด้วยเรดาร์และสามารถติดตั้งระเบิดนำวิถีด้วยโทรทัศน์ AGM-62 Walleye ได้ แต่เมื่อได้ใช้งานแทนที่เอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์ด้วยจรวดอินฟราเรดเอไอเอ็ม-4 ฟอลคอน จากการใช้งานจริงพิสูจน์แล้วว่าด้อยกว่า[16]: 91 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2510 กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8, 355 และ 388 ได้ทำการโจมตีบนสะพานรถไฟและทางหลวงพอล ดูเมอร์ ในกรุงฮานอย เครื่องบินโจมตี 36 ลำทิ้งระเบิดกว่า 94 ตัน และทำลายช่วงหนึ่งของสะพานและส่วนหนึ่งของทางหลวง[16]: 85 ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 เครื่องบิน เอฟ-4 จากกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 โจมตีฐานทัพอากาศ Phúc Yên เพื่อพยายามทำลายเครื่องบินทิ้งระเบิด Il-28 ที่ประจำอยู่ที่นั่น โดยสูญเสีย เอฟ-4 จำนวน 2 ลำจากการยิงต่อต้านอากาศยานในการโจมตีระดับต่ำ การโจมตีเพิ่มเติมเกิดขึ้นในวันที่ 10 และ 14 กุมภาพันธ์โดยไม่มีการสูญเสียและสร้างความเสียหายภาคพื้นดินเล็กน้อย มิก-17 จำนวน 2 ลำถูกยิงตกระหว่างการโจมตีเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ในชัยชนะทางอากาศครั้งสุดท้ายของกองทัพสหรัฐในปฏิบัติการโรลลิงธันเดอร์[16]: 127–8 ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2511 กองบินนี้เป็นกองบินแรกที่ใช้ระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ (LGB) ในการรบ และชื่อเล่นของมิก-คิลเลอร์ (Mig-Killers) ก็ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยบริดจ์บัสเตอร์ (Bridge-busters)[16]: 233 หลังจากที่เวียดนามเหนือบุกเวียดนามใต้ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2515 ระหว่างการรุกอีสเตอร์ ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ก็ได้รับการเสริมกำลังด้วยเครื่องบินเอฟ-4 เพิ่มเติม ภารกิจปฏิบัติการพิเศษตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2509 โครงการ ซี-130เอ ของกองพลบินที่ 315 เริ่มปฏิบัติการเหนือลาวจากอุบลราชธานี โดยเพิ่มเป็นเครื่องบิน 6 ลำและลูกเรือ 12 นาย ก่อนที่ภารกิจจะถูกแทนที่ด้วยระบบใหม่ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2513[17] ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2509 เครื่องบินกันชิป AC-47 Spooky จำนวน 4 ลำถูกส่งไปยังจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อปฏิบัติการขัดขวางเหนือลาว[18] เครื่องบินเอฟ-4ดี จากกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ที่ติดตั้งระบบ LORAN ได้เริ่มภารกิจปล่อยเซ็นเซอร์ในปฏิบัติการอิกลูไวท์ (Operation Igloo White) เหนือเส้นทางโฮจิมินห์ในลาวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 โดยเข้ารับตำแหน่งนี้จาก CH-3 และ OP-2E เนปจูน[19] เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 เครื่องบินต้นแบบ เอซี-130เอ กันชิป II ลำแรกได้เริ่มปฏิบัติการจากอุบลราชธานี สามารถทำลายรถบรรทุก 9 คันและพื้นที่บริการ 2 แห่งในลาวในการปฏิบัติการครั้งแรก และประจำการคงอยู่ที่อุบลจนถึงวันที่ 14 มิถุนายน ก่อนจะถูกย้ายไปยังฐานทัพอากาศเติ่นเซินเญิ้ต[18]: 90 ด้วยการมาถึงของฝูงบินปฏิบัติการพิเศษที่ 16 (SOS) ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2511 โดยทำการบินด้วยเครื่องบิน AC-130 Spectre จำนวน 4 ลำ และเมื่อสิ้นสุดปฏิบัติการโรลลิงธันเดอร์ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2511 ภารกิจของกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ได้เปลี่ยนไปเป็นการขัดขวางการส่งเสบียงตามเส้นทางโฮจิมินห์[20][18]: 105 ภายในเดือนเมษายน พ.ศ. 2512 ฝูงบินปฏิบัติการพิเศษที่ 16 ได้ทำลายร้อยละ 44 ของรถบรรทุกทั้งหมดที่ถูกทำลายในประเทศลาวขณะบินเพียงร้อยละ 3.7 ของการก่อกวน[18]: 115 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2512 เครื่องบิน AC-130 Surprise Package ลำแรกที่ติดตั้งอุปกรณ์มองกลางคืนที่ได้รับการปรับปรุงและติดตั้งปืน Bofors 40 มม. เข้าร่วมกับฝูงบินปฏิบัติการพิเศษที่ 16 ที่ฐานบินอุบลราชธานี และเริ่มปฏิบัติการในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2513[18]: 169 ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2513 AC-130 จำนวน 5 ลำออกจากอุบลราชธานี เพื่อกำหนดค่ Surprise Package โดยกลับมาในเดือนตุลาคมและเริ่มปฏิบัติการในเดือนพฤศจิกายน[18]: 156–9 ฝูงบินปฏิบัติการพิเศษที่ 16 ยังทำการทดสอบโครงการ Black Spot AC/NC-123 จำนวน 2 ลำในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2512 เครื่องบินลำนี้มีแฟริ่งจมูกที่ยาวมากซึ่งติดตั้งเรดาร์กวาดไปข้างหน้า และเครื่องจ่ายอาวุธอะลูมิเนียมภายใน 2 เครื่องสำหรับระเบิดลูกปรายแต่ไม่มีปืนยิงด้านข้าง ระบบอาวุธนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพน้อยกว่า เอซี-130 และการปฏิบัติการกับระบบดังกล่าวถูกยกเลิกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2513[21] เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 ฝูงบินปฏิบัติการพิเศษที่ 16 ได้ถูกโอนไปยังฐานทัพอากาศโคราช[20] ภารกิจทิ้งระเบิดทางยุทธวิธีฝูงบินทิ้งระเบิดที่ 13 ส่งเข้าประจำการในประเทศไทยและประจำการกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 จากฐานทัพอากาศแมคดิลล์ รัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2513 พร้อมด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดกลางรุ่นดัดแปลงของแคนเบอร์รา ซึ่งถูกกำหนดให้เป็น บี-57จี[22] บี-57จี ผลิตครั้งแรกในชื่อ บี-57บี ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1950 โดยติดตั้งเรดาร์เป้าหมายที่กำลังเคลื่อนที่ตลอดจนถึงระบบโทรทัศน์ที่มีแสงน้อย และกล้องอินฟราเรดแบบมองไปข้างหน้าซึ่งบรรทุกอยู่ในกระเปาะใต้จมูกเพื่อใช้ในการปฏิบัติการในเวลากลางคืนเหนือเวียดนามใต้ภายใต้โครงการที่เรียกว่า ทรอปิกมูน III (Tropic Moon III) การปฏิบัติการด้วย บี-57จี ดำเนินต่อไปจนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2515 เมื่อพวกเขาถูกย้ายไปที่ฐานทัพอากาศคลาร์กในฟิลิปปินส์เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับการจัดวางฝูงบิน เอฟ-4อี ที่เดินทางมาจากสหรัฐ[23] ฝูงบินทิ้งระเบิดที่ 13 ยังคงอยู่แต่ไม่มีคนประจำการหรือประจำการยุทโธปกรณ์ และถูกคงไว้ในสถานะไม่ปฏิบัติการกับ กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 จนกระทั่งถูกยุติการใช้งานในที่สุดในวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2515[7]: 20 ปฏิบัติการไลน์แบ็คเกอร์ / ไลน์แบ็คเกอร์ IIเพื่อตอบสนองต่อการรุกอีสเตอร์ ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2515 ฝูงบิน เอฟ-4อี ได้ย้ายฐานประจำการชั่วคราวจากสหรัฐไปยังอุบลราชธานีระหว่างการจัดตั้งกองกำลังรักษาการณ์ ดังนี้[23][16]: 223
ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 334 บินปฏิบัติภารกิจแรกในปฏิบัติการฟรีดอมเทรน (Operation Freedom Train) เมื่อวันที่ 14 เมษายน ตามด้วยฝูงบินที่ 366 ในวันต่อมา[23] เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2515 เอฟ-4 ของกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ที่ติดตั้งระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ประสบความสำเร็จในการทิ้งระเบิดสะพาน Thanh Hóa ซึ่งไม่ได้รับความเสียหายแม้จะมีการโจมตีหลายร้อยครั้งก่อนหน้านี้[16]: 235 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2515 เอฟ-4 จากกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ทำลายเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 3 เครื่องของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Lang Chi ที่อยู่ทาง 70 ไมล์ (110 กิโลเมตร) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฮานอยได้สำเร็จ โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับตัวเขื่อนเลย[16]: 251 ฝูงบินยังเข้าร่วมในปฏิบัติการไลน์แบ็คเกอร์ II (Operation Linebacker II) ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2515 โดยหน่วยบินโดยส่วนใหญ่เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดฝอยโลหะ (chaff) และหน่วยคุ้มกันโจมตี ในการโจมตีเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ใช้ระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์มุ่งเป้าไปที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนฮานอย แต่สูญเสียการนำทาง และได้ทำลายอาคารสำนักงานของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามแทน[16]: 278 เครื่องอิสริยาภรณ์กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8
การโจมตีฐานบินอุบลราชธานีถูกทหารโจมตี 3 ครั้งในช่วงสงครามเวียดนาม:
เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2515 มีการยิงปืนครก 36 นัดใส่ฐานบิน แต่ไม่มีการสูญเสียใด ๆ[30] หน่วยที่ใช้งานอื่น ๆฝูงบินสื่อสารที่ 1982 กองทัพอากาศ (AFCS) ให้บริการควบคุมการจราจรทางอากาศสำหรับหอควบคุมการบินอุบลราชธานี พื้นที่เข้าใกล้เทอร์มินัลเรดาร์ และบริการเส้นทางสำหรับใจกลางกรุงเทพ ฝูงบินสื่อสารที่ 1982 ยังบำรุงรักษาอุปกรณ์ AB Telcom และ VOR/TACAN (VORTAC ช่อง 51) ในปี พ.ศ. 2516 ถึง พ.ศ. 2517 แผนกซ่อมบำรุงวิทยุที่ 1982 ได้ดูแลรักษาระบบตรวจจับการบุกรุกของเซ็นเซอร์อิเล็กทรอนิกส์บริเวณโดยรอบด้านนอกของทั้งฐานและจุดทิ้งระเบิด นอกจากนี้ยังเป็นฐานทัพอากาศสหรัฐแห่งเดียวที่วิ่งในทิศทางตรงกันข้าม มีรันเวย์เดียวในการจัดการจราจรทางอากาศ โดยลงจอดรันเวย์ 23 และแล่นขึ้นออกจากรันเวย์ 05 ส่วนแยกที่ 17 ฝูงบินสภาพอากาศที่ 10 (MAC) กลางปี พ.ศ. 2508 ส่วนแยกที่ 3 ฝูงบินกู้ภัยทางอากาศที่ 38 พร้อมด้วย HH-43B จำนวน 2 ลำ ประจำการที่อุบลราชธานีเพื่อทำหน้าที่ค้นหาและกู้ภัยของฐานบิน[31] ในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 จากการยุติการใช้งานฝูงบินกู้ภัยที่ 38 ส่วนแยกที่ 3 ได้กลายเป็นกองกำลังของกลุ่มกู้ภัยและฟื้นฟูการบินและอวกาศที่ 3[31]: 115 ส่วนแยกที่ 3 ยุติการปฏิบัติการในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2517 พร้อมกับการปิดฐานปฏิบัติการ[31]: 136 เครื่องบิน A-1 Skyraider จำนวน 2 ลำจากฝูงบินปฏิบัติการพิเศษที่ 1 ปกติจะประจำอยู่ที่อุบลราชธานีเพื่อคุ้มกันภารกิจค้นหาและกู้ภัยทางตอนใต้ของลาวและกัมพูชา[31] : 124 ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2514 ส่วนแยก HH-53 จำนวน 2 ลำจากฐานทัพเรือนครพนมได้ประจำการอยู่ที่อุบลราชธานีเพื่อปฏิบัติภารกิจค้นหาและกู้ภัยรบ[31]: 134 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงตุลาคม พ.ศ. 2510 เครื่องบิน EC-121 Warning Star ของกองกำลังเฉพาะกิจลอเลจอาย (College Eye Task Force) ประจำอยู่ที่ฐานบินอุบลราชธานี[16]: 99 ฝูงบินที่ 222 กองทัพอากาศไทย ปฏิบัติภารกิจด้วยเฮลิคอปเตอร์ T-28, C-47 และ UH-34 พ.ศ. 2516–2518 กองทัพอากาศสหรัฐถอนตัวสนธิสัญญาสันติภาพปารีสลงนามเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2516 โดยรัฐบาลเวียดนามเหนือ เวียดนามใต้ และสหรัฐอเมริกา โดยมีเจตนาที่จะสร้างสันติภาพในเวียดนาม ข้อตกลงดังกล่าวยุติปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐในเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ลาวและกัมพูชาไม่ได้ลงนามในข้อตกลงปารีสและยังคงอยู่ในภาวะสงคราม สหรัฐกำลังช่วยเหลือรัฐบาลพระราชอาณาจักรลาวให้บรรลุความได้เปรียบเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่จะตกลงข้อตกลงกับปะเทดลาวและพันธมิตรของพวกเขา กองทัพอากาศสหรัฐทำการบินปฏิบัติการรบ 386 ครั้งทั่วลาวในช่วงเดือนมกราคม และ 1,449 ครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 ในวันที่ 17 เมษายน กองทัพอากาศสหรัฐบินปฏิบัติภารกิจครั้งสุดท้ายเหนือลาว โดยโจมตีเป้าหมายจำนวนหนึ่งตามที่รัฐบาลลาวร้องขอ ในประเทศกัมพูชา กองทัพอากาศสหรัฐได้ทำการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่เพื่อป้องกันไม่ให้เขมรแดงเข้ายึดครองประเทศ แรงกดดันจากรัฐสภาในวอชิงตันเพิ่มสูงขึ้นต่อการทิ้งระเบิดเหล่านี้ และในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2516 รัฐสภาสหรัฐได้ผ่านกฎหมายมหาชน PL 93-50 และ 93–52 ซึ่งตัดเงินทุนทั้งหมดสำหรับการสู้รบในกัมพูชาและอินโดจีนทั้งหมด มีผลใช้บังคับในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2516 การโจมตีของกองทัพอากาศสหรัฐได้เพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุดก่อนถึงเส้นตายในการตัดงบประมาณ ในขณะที่กองทัพแห่งชาติเขมรเข้าร่วมกับกองกำลังเขมรแดงประมาณ 10,000 นายล้อมรอบกรุงพนมเปญ เมื่อเวลา 11:00 น. ของวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2516 การตัดงบประมาณตามคำสั่งของรัฐสภามีผลบังคับใช้ ทำให้กิจกรรมการรบบนน่านฟ้าของกัมพูชาสิ้นสุดลง กองกำลังชุดสุดท้าย คอนสแตนต์การ์ด เอฟ-4 ถูกปล่อยในเดือนกันยายน พ.ศ. 2516 ในกลางปี พ.ศ. 2517 กองบินเริ่มสูญเสียบุคลากร เครื่องบิน และหน่วยต่าง ๆ การบินฝึกบิน เอฟ-4 ที่กำหนดไว้ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 และในวันที่ 16 กันยายน กองบินและส่วนแยกส่วนใหญ่ได้เคลื่อนย้ายโดยไม่มีบุคลากรหรือยุทโธปกรณ์ไปยังฐานทัพอากาศคุนซาน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งกองบินได้ยุบรวมเอาทรัพยากรของกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 3ดี ที่ถูกย้ายไปโดยปราศจากบุคลากรหรือยุทโธปกรณ์ไปยังประเทศฟิลิปปินส์ ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2517 กองกำลังทหารอากาศที่ที่อุบลราชธานีได้ถูกยุติภารกิจลงและได้ส่งมอบสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ให้กับรัฐบาลไทย วันที่ 11/12 เมษายน อุบลฯ ทำหน้าที่เป็นฐานบินสำหรับ HH-53 จำนวน 8 ลำของฝูงบินกู้ภัยและฟื้นฟูการบินและอวกาศที่ 40 ในขณะที่พวกเขาเข้าร่วมในปฏิบัติการอีเกิ้ลพูล (Operation Eagle Pull) ซึ่งเป็นการอพยพพลเรือนสหรัฐออกจากพนมเปญ[31]: 140 อุบัติเหตุและเหตุการณ์ต่าง ๆ
หลังการถอนตัวของสหรัฐกองทัพอากาศไทยได้ใช้ฐานบินอุบลราชธานีสำหรับการเป็นฐานหลักของฝูงบิน 222 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2520 กองทัพอากาศไทยได้เปลี่ยนชื่อหน่วยประจำฐานบินยกขึ้นเป็นกองบิน 21 และเปลี่ยนชื่อฝูงบิน 222 เป็นฝูงบิน 211 และมีการเปลี่ยนแบบอากาศยานจากเดิมคือเครื่องบินแบบ ที-28 เป็นเครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิดแบบที่ 6 (เอ-37 บี) แทน ต่อมาในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2537 ฐานบินอุบลราชธานีได้เป็นฐานประจำการของเครื่องบินขับไล่แบบที่ 18 ข/ค ซึ่งเป็นเครื่องบินไอพ่นเหนือเสียงที่ถูกนำเข้าประจำการแทนที่เครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิดแบบที่ 6 ที่ครบกำหนดในการปลดประจำการ และมีการใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน บทบาทและปฏิบัติการกองทัพอากาศไทยฐานบินอุบลราชธานี เป็นที่ตั้งหลักของกองบิน 21 กองทัพอากาศไทยในการปฏิบัติการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง[2] รวมถึงเป็นฐานบินปฏิบัติการหน้า[2] และการปฏิบัติการตามภารกิจที่กองทัพอากาศได้กำหนด ประกอบไปด้วย 1 ฝูงบิน คือ
และส่วนสนับสนุนอื่น ๆ ได้แก่ กองบังคับการ, แผนกการเงิน, แผนกสนับสนุนการบิน, กองเทคนิค, แผนกขนส่ง, แผนกช่างโยธา, โรงพยาบาลกองบิน, แผนกพลาธิการ, แผนกสวัสดิการ, ฝ่ายคลังพัสดุรวมการ และกองร้อยทหารสารวัตร[36] หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดอุบลราชธานีศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้ใช้ฐานบินอุบลราชธานีในการปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยมีอากาศยานแบบต่าง ๆ ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตรหมุนเวียนกันมาประจำการ เช่น คาซา ซีเอ็น-235[37] กรมท่าอากาศยานท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี ได้ใช้พื้นที่และทางวิ่งของฐานบินอุบลราชธานีในการให้บริการเชิงพาณิชย์ หน่วยในฐานบินกองทัพอากาศกองบิน 21
กองบิน 2
ฐานปฏิบัติการฝนหลวง กองบิน 21
กรมฝนหลวงและการบินเกษตรศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
กรมท่าอากาศยานสิ่งอำนวยความสะดวกฐานบินอุบลราชธานีประกอบไปด้วยพื้นที่ 2 ส่วนด้วยกัน คือ พื้นที่ฐานบินของกองทัพอากาศ และพื้นที่พลเรือนของท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี ลานบินฐานบินอุบลราชธานีประกอบไปด้วยทางวิ่งความยาว 3,000 เมตร (9,843 ฟุต) ความกว้าง 45 เมตร (148 ฟุต) อยู่เหนือจากระดับน้ำทะเล 406 ฟุต (124 เมตร) ทิศทางรันเวย์คือ 05/23 หรือ 051.55° และ 231.55° พื้นผิวคอนกรีตและแอสฟอลต์คอนกรีต[40] โรงพยาบาลกองบิน 21โรงพยาบาลกองบิน 21 เป็นโรงพยาบาลในกองบิน 21 อยู่ภายใต้สังกัดกรมแพทย์ทหารอากาศ กระทรวงกลาโหม ประกอบด้วยเตียงผู้ป่วยขนาด 10 เตียง[41] สำหรับตรวจรักษาข้าราชการทหาร ลูกจ้าง พนักงาน ครอบครัว และประชาชนบริเวณกองบิน และดำเนินการด้านเวชศาสตร์ป้องกันและเวชศาสตร์การบิน[42] ดูเพิ่มวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ฐานบินอุบลราชธานี
อ้างอิง
บรรณานุกรม
แหล่งข้อมูลอื่น |