Share to:

 

ฐานบินอุบลราชธานี

ฐานบินอุบลราชธานี
ส่วนหนึ่งของกองทัพอากาศไทย
อุบลราชธานี
อากาศยานกองทัพบกบนลานจอดของฐานบินอุบลราชธานีเมื่อปี พ.ศ. 2552
แผนที่
พิกัด15°15′04.60″N 104°52′12.83″E / 15.2512778°N 104.8702306°E / 15.2512778; 104.8702306 (ฐานบินอุบล)
ประเภทฐานทัพอากาศ
ข้อมูล
ผู้ดำเนินการFlag of the กองทัพอากาศไทย กองทัพอากาศไทย
ควบคุมโดยสนามบินอุบลราชธานี (พ.ศ. 2464–2493)
Flag of the กองทัพอากาศไทย กองทัพอากาศไทย (พ.ศ. 2493–2505)
สงครามเวียดนาม
Flag of the กองทัพอากาศออสเตรเลีย กองทัพอากาศออสเตรเลีย:
ฝูงบินที่ 79 (พ.ศ. 2505–2511)
Flag of the กองทัพอากาศสหรัฐ กองทัพอากาศสหรัฐ:
กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 (พ.ศ. 2508–2517)
ฝูงบิน 222 (พ.ศ. 2511–2520)
กองบิน 21 (พ.ศ. 2520–ปัจจุบัน)
สภาพฐานทัพอากาศและท่าอากาศยานพลเรือน
ประวัติศาสตร์
สร้างพ.ศ. 2464; 103 ปีที่แล้ว (2464)
การใช้งาน2464–ปัจจุบัน
การต่อสู้/สงคราม
สงครามเวียดนาม
ข้อมูลสถานี
กองทหารรักษาการณ์กองบิน 21
ข้อมูลลานบิน
ข้อมูลระบุIATA: UBP, ICAO: VTUU
ความสูง406 ฟุต (124 เมตร) เหนือระดับ
น้ำทะเล
ทางวิ่ง
ทิศทาง ความยาวและพื้นผิว
05/23 3,000 เมตร (9,843 ฟุต) คอนกรีตและแอสฟอลต์คอนกรีต

ฐานบินอุบลราชธานี[1] (อังกฤษ: Ubon Ratchathani Air Force Base หรือ Ubon Royal Thai Air Force Base) เป็นฐานบินปฏิบัติการหน้าและที่ตั้งทางทหารของกองบิน 21 กองทัพอากาศไทย ตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 488 กิโลเมตร (303 ไมล์) ห่างจากชายแดนประเทศลาวประมาณ 60 กิโลเมตร (37 ไมล์) ทางทิศตะวันออก และมีประเทศกัมพูชาติดต่ออยู่ในบริเวณพื้นที่ทางทิศใต้[2] ปัจจุบันบางส่วนถูกใช้งานเป็นพื้นที่สนามบินพลเรือน

ฐานบินอุบลราชธานีเป็นที่ตั้งของฝูงบิน 211 อีเกิล Eagles ซึ่งประจำการเครื่องบินขับไล่แบบที่ 18 ค นอร์ธรอป เอฟ-5[3][4] ฝูงสุดท้ายของประเทศไทยของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน[5]

ประวัติ

สนามบินอุบลราชธานีถูกสร้างขึ้นและใช้งานการบินครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2464 ได้เกิดการแพร่ระบาดของไข้ทรพิษและอหิวาตกโรคในพื้นที่อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี รัฐบาลจึงได้ส่งแพทย์และเวชภัณฑ์ผ่านทางเครื่องบินมาลงยังสนามบินอุบลราชธานี[2]

ต่อมาฐานบินอุบลราชธานีได้ถูกก่อตั้งขึ้นช่วงปี พ.ศ. 2493 เนื่องจากกองกำลังคอมมิวนิสต์ได้เข้าร่วมในสงครามกลางเมืองในลาว และรัฐบาลไทยเกรงว่าลัทธิคอมมิวนิสต์จะลุกลามเข้ามาในประเทศไทย จึงยินยอมให้รัฐบาลสหรัฐแอบใช้ฐานบิน 5 แห่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 เพื่อป้องกันภัยทางอากาศและสำหรับทำการบินลาดตระเวนในประเทศลาว

ภายใต้ "ข้อตกลงสุภาพบุรุษ" ของไทยกับสหรัฐ ฐานทัพอากาศไทยที่กองทัพอากาศสหรัฐใช้งานจะได้รับคำสั่งจากเจ้าหน้าที่ไทย ตำรวจอากาศของไทยจะคอยควบคุมการเข้าถึงฐานต่าง ๆ พร้อมด้วยตำรวจรักษาความปลอดภัยของกองทัพสหรัฐ ซึ่งช่วยเหลือพวกเขาในการป้องกันฐานโดยใช้สุนัขเฝ้ายาม หอสังเกตการณ์ และบังเกอร์ปืนกล

กองกำลังทหารอากาศสหรัฐที่อุบลราชธานีอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของทัพอากาศแปซิฟิก (PACAF) นอกจากนี้ ฐานบินอุบลราชธานียังเป็นที่ตั้งของสถานี TACAN ช่อง 51 และอ้างอิงโดยตัวระบุดังกล่าวในการสื่อสารด้วยเสียงระหว่างปฏิบัติภารกิจทางอากาศ

รหัสที่ทำการไปรษณีย์กองทัพบกสหรัฐ (Army Post Office: APO) สำหรับฐานบินอุบลราชธานี คือ "APO San Francisco 96304"

การใช้งานโดยกองทัพอากาศออสเตรเลีย

เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 กองทัพอากาศออสเตรเลีย (RAAF) ได้ส่งเครื่องบินรบ CAC-27 Sabre จำนวน 8 ลำไปยังฐานบินอุบลราชธานี หน่วยนี้ถูกกำหนดให้เป็น ฝูงบินที่ 79 ที่ตั้งทางทหารของออสเตรเลียเป็นที่รู้จักในชื่อ RAAF Ubon ได้รับการออกแบบและสร้างโดยกองร้อยก่อสร้างสนามบินที่ 5[6]

เครื่องบิน CAC เซเบอร์ ของฝูงบินที่ 79 กองทัพอากาศออสเตรเลีย ที่อุบล พ.ศ. 2505

ภารกิจของฝูงบินที่ 79 คือการช่วยเหลือรัฐบาลไทยและลาวในการปฏิบัติการต่อต้านผู้ก่อความไม่สงบคอมมิวนิสต์ในช่วงปีแรก ๆ ของสงครามเวียดนาม[6]: 255   เนื่องจากการส่งเครื่องบินรบของกองทัพอากาศสหรัฐไปยังจังหวัดอุบลราชธานี หน่วยยังได้ทำการฝึกซ้อมร่วมกันและให้การป้องกันทางอากาศสำหรับเครื่องบินโจมตีและเครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศสหรัฐที่ประจำการอยู่ที่อุบล[6]: 256   ฝูงบินที่ 79 ไม่ได้ทำการบินเหนือกัมพูชา เวียดนามใต้ หรือลาว กำลังของหน่วยตลอดช่วงเวลาประจำการมีประมาณ 150–200 คน เซอร์ เอดมันด์ ฮิลลารี ได้เดินทางมาเยือนฐานบินดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2510

เนื่องจาก CAC Sabers นั้นล้าสมัยและถูกจำกัดไม่ให้ปฏิบัติการนอกน่านฟ้าไทย ฝูงบินจึงถูกยุบเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2511[6]: 257 

การใช้งานโดยกองทัพอากาศสหรัฐ

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 ถึง พ.ศ. 2517 ฐานบินแห่งนี้เป็นฐานบินแนวหน้าของกองทัพอากาศสหรัฐในช่วงสงครามเวียดนาม

ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2508 กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 15 ได้ส่งฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 45 ซึ่งเป็นหน่วย เอฟ-4ซี แฟนทอม 2 ลำแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อทำภารกิจรบในเวียดนามเหนือ[7][8] เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 นักบินของฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 45 ได้รับการยกย่องจากชัยชนะทางอากาศครั้งแรกของสงครามเวียดนาม โดยสามารถยิง มิก-17[9] ของเวียดนามเหนือได้สองลำ ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 45 อยู่ระหว่างการมอบหมายหน้าที่ชั่วคราว (TDY) จากฐานที่ตั้งถาวรที่ฐานทัพอากาศแมคดิลล์ ฟลอริดา ฝูงบินที่ 45 มีชั่วโมงบินมากกว่า 1,000 ชั่วโมงด้วยเครื่องบิน 24 ลำเหนือเวียดนามเหนือในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2508 ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 45 ถูกแทนที่ด้วยฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 47 ซึ่งใช้งาน เอฟ-4ซี เช่นกัน ซึ่งมาถึงเพื่อปฏิบัติการในเดือนกรกฎาคมและกลับมายังสหรัฐอเมริกาในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508[9]: 179 [10]

กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8

กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 The Wolfpack มาถึงอุบลราชธานีเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2508 จากฐานทัพอากาศจอร์จ แคลิฟอร์เนีย โดยเป็นส่วนหนึ่งในการส่งกำลังของสหรัฐสำหรับปฏิบัติการโรลลิงธันเดอร์ (Operation Rolling Thunder) และกลายเป็นหน่วยหลักประจำฐานบินอุบลราชธานี[7]: 21 

เอฟ-4เอส จากกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 อยู่ในรั้วที่ฐานบินอุบลฯ พ.ศ. 2510

ที่อุบลราชธานี ภารกิจของกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ได้แก่ การทิ้งระเบิด การสนับสนุนภาคพื้นดิน การป้องกันภัยทางอากาศ การขัดขวาง และการลาดตระเวนติดอาวุธ ฝูงบินปฏิบัติการของกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ประกอบไปด้วย[7]: 20 

  • ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 433: ประจำการ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2508 – 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 (เอฟ-4ซี/ดี)[11]
  • ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 497: ประจำการ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2508 – 16 กันยายน พ.ศ. 2517 (เอฟ-4ซี/ดี)[12]
  • ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 555: ประจำการ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2509 – 1 มิถุนายน พ.ศ. 2511 (เอฟ-4ซี/ดี)[13]
  • ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 435: ประจำการ มิถุนายน พ.ศ. 2510 – พฤษภาคม พ.ศ. 2511 (เอฟ-4ดี) วางกำลังจากกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 33 ฐานทัพอากาศเอกลิน ฟลอริดา และโอนกำลังไปที่กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 432ดี ที่ฐานทัพอากาศอุดรธานี[14]
  • ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 25: ประจำการ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2511 – 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 (เอฟ-4ดี) จากกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 33ดี เข้ามาแทนที่ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 435[15]
  • ฝูงบินที่ 79 กองทัพอากาศออสเตรเลีย ทำหน้าที่คุ้มกันเครื่องบินของกองทัพอากาศสหรัฐขณะอยู่ในน่านฟ้าของไทยด้วย CAC Sabres
ปฏิบัติการโรลลิงธันเดอร์

เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2509 กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ได้ยิงเครื่องบินมิกตกครั้งแรกในสงครามเวียดนาม โดยยิงเครื่องบินรบ มิก-17 ตก 2 ลำ ภายในสิ้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2509 หลังจากอยู่ในยุทธบริเวณเพียงหกเดือน กองบินได้ทำการบินรบมากกว่า 10,000 ครั้ง อัตราความสำเร็จในการปฏิบัติการกว่า 99% จนผลงานเป็นที่ยกย่อง

McDonnell เอฟ-4 หมายเลข 66-0234 ของฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 435 พร้อมระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์

ปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2509 พันเอก โรบิน โอลด์ส ผู้บัญชาการกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ได้พัฒนาแผนการที่จะหลอกล่อให้ มิก ของเวียดนามเหนือเข้าสู่การต่อสู้และทำลายพวกมัน ปฏิบัติการโบโล (Operation Bolo) เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2510 และส่งผลให้มีการสูญเสีย มิก-21 จำนวน 7 ลำโดยฝั่งสหรัฐไม่มีการสูญเสีย[16]

ในวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2510 เอฟ-4 จากกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ได้เข้าร่วมในการโจมตีครั้งแรกที่โรงงานเหล็กท้ายเงวียน โดยสูญเสีย เอฟ-4 จำนวน 2 ลำจากการยิงต่อต้านอากาศยาน[16]: 57–8 

เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2510 เครื่องบิน เอฟ-4ดี ใหม่ได้ถูกส่งไปยังอุบลราชธานี โดยประจำการที่ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 555 เครื่องบิน เอฟ-4ดีลำใหม่มีการปรับปรุงความสามารถในการทิ้งระเบิดด้วยเรดาร์และสามารถติดตั้งระเบิดนำวิถีด้วยโทรทัศน์ AGM-62 Walleye ได้ แต่เมื่อได้ใช้งานแทนที่เอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์ด้วยจรวดอินฟราเรดเอไอเอ็ม-4 ฟอลคอน จากการใช้งานจริงพิสูจน์แล้วว่าด้อยกว่า[16]: 91 

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2510 กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8, 355 และ 388 ได้ทำการโจมตีบนสะพานรถไฟและทางหลวงพอล ดูเมอร์ ในกรุงฮานอย เครื่องบินโจมตี 36 ลำทิ้งระเบิดกว่า 94 ตัน และทำลายช่วงหนึ่งของสะพานและส่วนหนึ่งของทางหลวง[16]: 85 

ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 เครื่องบิน เอฟ-4 จากกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 โจมตีฐานทัพอากาศ Phúc Yên เพื่อพยายามทำลายเครื่องบินทิ้งระเบิด Il-28 ที่ประจำอยู่ที่นั่น โดยสูญเสีย เอฟ-4 จำนวน 2 ลำจากการยิงต่อต้านอากาศยานในการโจมตีระดับต่ำ การโจมตีเพิ่มเติมเกิดขึ้นในวันที่ 10 และ 14 กุมภาพันธ์โดยไม่มีการสูญเสียและสร้างความเสียหายภาคพื้นดินเล็กน้อย มิก-17 จำนวน 2 ลำถูกยิงตกระหว่างการโจมตีเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ในชัยชนะทางอากาศครั้งสุดท้ายของกองทัพสหรัฐในปฏิบัติการโรลลิงธันเดอร์[16]: 127–8 

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2511 กองบินนี้เป็นกองบินแรกที่ใช้ระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ (LGB) ในการรบ และชื่อเล่นของมิก-คิลเลอร์ (Mig-Killers) ก็ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยบริดจ์บัสเตอร์ (Bridge-busters)[16]: 233 

หลังจากที่เวียดนามเหนือบุกเวียดนามใต้ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2515 ระหว่างการรุกอีสเตอร์ ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ก็ได้รับการเสริมกำลังด้วยเครื่องบินเอฟ-4 เพิ่มเติม

ภารกิจปฏิบัติการพิเศษ

ตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2509 โครงการ ซี-130เอ ของกองพลบินที่ 315 เริ่มปฏิบัติการเหนือลาวจากอุบลราชธานี โดยเพิ่มเป็นเครื่องบิน 6 ลำและลูกเรือ 12 นาย ก่อนที่ภารกิจจะถูกแทนที่ด้วยระบบใหม่ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2513[17]

เอซี-130เอ ของฝูงบินปฏิบัติการพิเศษที่ 16 ในปี พ.ศ. 2512

ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2509 เครื่องบินกันชิป AC-47 Spooky จำนวน 4 ลำถูกส่งไปยังจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อปฏิบัติการขัดขวางเหนือลาว[18]

เครื่องบินเอฟ-4ดี จากกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ที่ติดตั้งระบบ LORAN ได้เริ่มภารกิจปล่อยเซ็นเซอร์ในปฏิบัติการอิกลูไวท์ (Operation Igloo White) เหนือเส้นทางโฮจิมินห์ในลาวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 โดยเข้ารับตำแหน่งนี้จาก CH-3 และ OP-2E เนปจูน[19]

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 เครื่องบินต้นแบบ เอซี-130เอ กันชิป II ลำแรกได้เริ่มปฏิบัติการจากอุบลราชธานี สามารถทำลายรถบรรทุก 9 คันและพื้นที่บริการ 2 แห่งในลาวในการปฏิบัติการครั้งแรก และประจำการคงอยู่ที่อุบลจนถึงวันที่ 14 มิถุนายน ก่อนจะถูกย้ายไปยังฐานทัพอากาศเติ่นเซินเญิ้ต[18]: 90 

ด้วยการมาถึงของฝูงบินปฏิบัติการพิเศษที่ 16 (SOS) ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2511 โดยทำการบินด้วยเครื่องบิน AC-130 Spectre จำนวน 4 ลำ และเมื่อสิ้นสุดปฏิบัติการโรลลิงธันเดอร์ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2511 ภารกิจของกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ได้เปลี่ยนไปเป็นการขัดขวางการส่งเสบียงตามเส้นทางโฮจิมินห์[20][18]: 105  ภายในเดือนเมษายน พ.ศ. 2512 ฝูงบินปฏิบัติการพิเศษที่ 16 ได้ทำลายร้อยละ 44 ของรถบรรทุกทั้งหมดที่ถูกทำลายในประเทศลาวขณะบินเพียงร้อยละ 3.7 ของการก่อกวน[18]: 115 

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2512 เครื่องบิน AC-130 Surprise Package ลำแรกที่ติดตั้งอุปกรณ์มองกลางคืนที่ได้รับการปรับปรุงและติดตั้งปืน Bofors 40 มม. เข้าร่วมกับฝูงบินปฏิบัติการพิเศษที่ 16 ที่ฐานบินอุบลราชธานี และเริ่มปฏิบัติการในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2513[18]: 169  ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2513 AC-130 จำนวน 5 ลำออกจากอุบลราชธานี เพื่อกำหนดค่ Surprise Package โดยกลับมาในเดือนตุลาคมและเริ่มปฏิบัติการในเดือนพฤศจิกายน[18]: 156–9 

ฝูงบินปฏิบัติการพิเศษที่ 16 ยังทำการทดสอบโครงการ Black Spot AC/NC-123 จำนวน 2 ลำในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2512 เครื่องบินลำนี้มีแฟริ่งจมูกที่ยาวมากซึ่งติดตั้งเรดาร์กวาดไปข้างหน้า และเครื่องจ่ายอาวุธอะลูมิเนียมภายใน 2 เครื่องสำหรับระเบิดลูกปรายแต่ไม่มีปืนยิงด้านข้าง ระบบอาวุธนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพน้อยกว่า เอซี-130 และการปฏิบัติการกับระบบดังกล่าวถูกยกเลิกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2513[21]

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 ฝูงบินปฏิบัติการพิเศษที่ 16 ได้ถูกโอนไปยังฐานทัพอากาศโคราช[20]

ภารกิจทิ้งระเบิดทางยุทธวิธี

ฝูงบินทิ้งระเบิดที่ 13 ส่งเข้าประจำการในประเทศไทยและประจำการกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 จากฐานทัพอากาศแมคดิลล์ รัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2513 พร้อมด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดกลางรุ่นดัดแปลงของแคนเบอร์รา ซึ่งถูกกำหนดให้เป็น บี-57จี[22] บี-57จี ผลิตครั้งแรกในชื่อ บี-57บี ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1950 โดยติดตั้งเรดาร์เป้าหมายที่กำลังเคลื่อนที่ตลอดจนถึงระบบโทรทัศน์ที่มีแสงน้อย และกล้องอินฟราเรดแบบมองไปข้างหน้าซึ่งบรรทุกอยู่ในกระเปาะใต้จมูกเพื่อใช้ในการปฏิบัติการในเวลากลางคืนเหนือเวียดนามใต้ภายใต้โครงการที่เรียกว่า ทรอปิกมูน III (Tropic Moon III)

Martin B-57G หมายเลข 53-1588 จากฝูงบินทิ้งระเบิดที่ 13 ณ ฐานทัพทัพอากาศอุบลฯ พ.ศ. 2513

การปฏิบัติการด้วย บี-57จี ดำเนินต่อไปจนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2515 เมื่อพวกเขาถูกย้ายไปที่ฐานทัพอากาศคลาร์กในฟิลิปปินส์เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับการจัดวางฝูงบิน เอฟ-4อี ที่เดินทางมาจากสหรัฐ[23]

ฝูงบินทิ้งระเบิดที่ 13 ยังคงอยู่แต่ไม่มีคนประจำการหรือประจำการยุทโธปกรณ์ และถูกคงไว้ในสถานะไม่ปฏิบัติการกับ กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 จนกระทั่งถูกยุติการใช้งานในที่สุดในวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2515[7]: 20 

ปฏิบัติการไลน์แบ็คเกอร์ / ไลน์แบ็คเกอร์ II

เพื่อตอบสนองต่อการรุกอีสเตอร์ ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2515 ฝูงบิน เอฟ-4อี ได้ย้ายฐานประจำการชั่วคราวจากสหรัฐไปยังอุบลราชธานีระหว่างการจัดตั้งกองกำลังรักษาการณ์ ดังนี้[23][16]: 223 

  • กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 4: ฐานทัพอากาศซีมัวร์จอห์นสัน, นอร์ทแคโรไลนา
    • ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 334: ประจำการ 11 เมษายน พ.ศ. 2515 – 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2515; 25 กันยายน พ.ศ. 2515 – 12 มีนาคม พ.ศ. 2516[24]
    • ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 336: ประจำการ 12 เมษายน พ.ศ. 2515 – 15 กันยายน พ.ศ. 2515; 9 มีนาคม พ.ศ. 2516 – 7 กันยายน พ.ศ. 2516[25]
    • ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 335: ประจำการ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2515 – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2515[26]
  • กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 31: ฐานทัพอากาศโฮมสเตด, ฟลอริดา
    • ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 308: ประจำการ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2515 – 11 มกราคม พ.ศ. 2516[27]
  • กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 33 ดี: ฐานทัพอากาศเอกลิน ฟลอริดา
    • ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 58: ประจำการ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2516 – 14 กันยายน พ.ศ. 2516[28]

ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 334 บินปฏิบัติภารกิจแรกในปฏิบัติการฟรีดอมเทรน (Operation Freedom Train) เมื่อวันที่ 14 เมษายน ตามด้วยฝูงบินที่ 366 ในวันต่อมา[23] เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2515 เอฟ-4 ของกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ที่ติดตั้งระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ประสบความสำเร็จในการทิ้งระเบิดสะพาน Thanh Hóa ซึ่งไม่ได้รับความเสียหายแม้จะมีการโจมตีหลายร้อยครั้งก่อนหน้านี้[16]: 235 

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2515 เอฟ-4 จากกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ทำลายเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 3 เครื่องของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Lang Chi ที่อยู่ทาง 70 ไมล์ (110 กิโลเมตร) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฮานอยได้สำเร็จ โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับตัวเขื่อนเลย[16]: 251 

ฝูงบินยังเข้าร่วมในปฏิบัติการไลน์แบ็คเกอร์ II (Operation Linebacker II) ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2515 โดยหน่วยบินโดยส่วนใหญ่เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดฝอยโลหะ (chaff) และหน่วยคุ้มกันโจมตี ในการโจมตีเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8 ใช้ระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์มุ่งเป้าไปที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนฮานอย แต่สูญเสียการนำทาง และได้ทำลายอาคารสำนักงานของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามแทน[16]: 278 

เครื่องอิสริยาภรณ์กองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 8

การโจมตี

ฐานบินอุบลราชธานีถูกทหารโจมตี 3 ครั้งในช่วงสงครามเวียดนาม:

  • 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 เวลา 01:30 น. ทีมสุนัขของตำรวจรักษาความปลอดภัยกองทัพอากาศสหรัฐ ได้รับบาดเจ็บโดยหน่วยแซปเปอร์ 3 นายหลังออกจากฐาน เวลา 02:00 น. เกิดระเบิดขึ้น 5 ครั้งสร้างความเสียหายให้กับ ซี-47 จำนวน 2 ลำ และพบระเบิดที่ยังไม่ระเบิดอีก 5 ชิ้น[29]
  • 12 มกราคม พ.ศ. 2513 เวลา 22.30 น. ของวันที่ 11 มกราคม ชาวบ้านชาวไทยรายงานว่าพบชาวเวียดนามติดอาวุธ 16 นาย ห่างจากฐานบิน 3 กิโลเมตร และฐานทัพได้รับการแจ้งเตือนเมื่อเวลา 02:01 น. ตำรวจรักษาความปลอดภัยได้ยิงทหารแซปเปอร์ในพื้นที่เขตฐาน 1 นาย โดยตำรวจรักษาความปลอดภัยได้เข้าร่วมการปะทะโดยมีทหารแซปเปอร์เสียชีวิต 5 นาย พบกระเป๋าระเบิดจำนวน 35 ใบบนศพทหารที่เสียชีวิต[29]: 83 
  • 4 มิถุนายน พ.ศ. 2515 หลังเที่ยงคืน ตำรวจไทยยิงทหารแซปเปอร์ที่เข้ามาใกล้บริเวณลานจอดเครื่องบิน เอซี-130 ทำให้ทหารแซปเปอร์เสียชีวิต พบกระเป๋าระเบิด 8 ใบบนร่างกายของเขา ก่อนหน้านี้สำนักงานสืบสวนพิเศษของกองทัพอากาศสหรัฐได้รับรายงานว่าชาวต่างชาติสัญชาติเวียดนาม 12 คนเพิ่งกลับมาจากเวียดนามเหนือซึ่งพวกเขาได้รับการฝึกหลักสูตรแซปเปอร์[29]: 84 

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2515 มีการยิงปืนครก 36 นัดใส่ฐานบิน แต่ไม่มีการสูญเสียใด ๆ[30]

หน่วยที่ใช้งานอื่น ๆ

ฝูงบินสื่อสารที่ 1982 กองทัพอากาศ (AFCS) ให้บริการควบคุมการจราจรทางอากาศสำหรับหอควบคุมการบินอุบลราชธานี พื้นที่เข้าใกล้เทอร์มินัลเรดาร์ และบริการเส้นทางสำหรับใจกลางกรุงเทพ ฝูงบินสื่อสารที่ 1982 ยังบำรุงรักษาอุปกรณ์ AB Telcom และ VOR/TACAN (VORTAC ช่อง 51) ในปี พ.ศ. 2516 ถึง พ.ศ. 2517 แผนกซ่อมบำรุงวิทยุที่ 1982 ได้ดูแลรักษาระบบตรวจจับการบุกรุกของเซ็นเซอร์อิเล็กทรอนิกส์บริเวณโดยรอบด้านนอกของทั้งฐานและจุดทิ้งระเบิด นอกจากนี้ยังเป็นฐานทัพอากาศสหรัฐแห่งเดียวที่วิ่งในทิศทางตรงกันข้าม มีรันเวย์เดียวในการจัดการจราจรทางอากาศ โดยลงจอดรันเวย์ 23 และแล่นขึ้นออกจากรันเวย์ 05

เครื่องบิน เอฟ-4ดี จากฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธี 497 พร้อมด้วยเครื่องบิน ที-28 ของกองทัพอากาศไทยในเดือนกันยายน พ.ศ. 2515

ส่วนแยกที่ 17 ฝูงบินสภาพอากาศที่ 10 (MAC)

กลางปี ​​พ.ศ. 2508 ส่วนแยกที่ 3 ฝูงบินกู้ภัยทางอากาศที่ 38 พร้อมด้วย HH-43B จำนวน 2 ลำ ประจำการที่อุบลราชธานีเพื่อทำหน้าที่ค้นหาและกู้ภัยของฐานบิน[31] ในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 จากการยุติการใช้งานฝูงบินกู้ภัยที่ 38 ส่วนแยกที่ 3 ได้กลายเป็นกองกำลังของกลุ่มกู้ภัยและฟื้นฟูการบินและอวกาศที่ 3[31]: 115   ส่วนแยกที่ 3 ยุติการปฏิบัติการในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2517 พร้อมกับการปิดฐานปฏิบัติการ[31]: 136 

เครื่องบิน A-1 Skyraider จำนวน 2 ลำจากฝูงบินปฏิบัติการพิเศษที่ 1 ปกติจะประจำอยู่ที่อุบลราชธานีเพื่อคุ้มกันภารกิจค้นหาและกู้ภัยทางตอนใต้ของลาวและกัมพูชา[31]: 124  ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2514 ส่วนแยก HH-53 จำนวน 2 ลำจากฐานทัพเรือนครพนมได้ประจำการอยู่ที่อุบลราชธานีเพื่อปฏิบัติภารกิจค้นหาและกู้ภัยรบ[31]: 134 

ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงตุลาคม พ.ศ. 2510 เครื่องบิน EC-121 Warning Star ของกองกำลังเฉพาะกิจลอเลจอาย (College Eye Task Force) ประจำอยู่ที่ฐานบินอุบลราชธานี[16]: 99 

ฝูงบินที่ 222 กองทัพอากาศไทย ปฏิบัติภารกิจด้วยเฮลิคอปเตอร์ T-28, C-47 และ UH-34

พ.ศ. 2516–2518 กองทัพอากาศสหรัฐถอนตัว

สนธิสัญญาสันติภาพปารีสลงนามเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2516 โดยรัฐบาลเวียดนามเหนือ เวียดนามใต้ และสหรัฐอเมริกา โดยมีเจตนาที่จะสร้างสันติภาพในเวียดนาม ข้อตกลงดังกล่าวยุติปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐในเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ลาวและกัมพูชาไม่ได้ลงนามในข้อตกลงปารีสและยังคงอยู่ในภาวะสงคราม

สหรัฐกำลังช่วยเหลือรัฐบาลพระราชอาณาจักรลาวให้บรรลุความได้เปรียบเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่จะตกลงข้อตกลงกับปะเทดลาวและพันธมิตรของพวกเขา กองทัพอากาศสหรัฐทำการบินปฏิบัติการรบ 386 ครั้งทั่วลาวในช่วงเดือนมกราคม และ 1,449 ครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 ในวันที่ 17 เมษายน กองทัพอากาศสหรัฐบินปฏิบัติภารกิจครั้งสุดท้ายเหนือลาว โดยโจมตีเป้าหมายจำนวนหนึ่งตามที่รัฐบาลลาวร้องขอ

ในประเทศกัมพูชา กองทัพอากาศสหรัฐได้ทำการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่เพื่อป้องกันไม่ให้เขมรแดงเข้ายึดครองประเทศ

แรงกดดันจากรัฐสภาในวอชิงตันเพิ่มสูงขึ้นต่อการทิ้งระเบิดเหล่านี้ และในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2516 รัฐสภาสหรัฐได้ผ่านกฎหมายมหาชน PL 93-50 และ 93–52 ซึ่งตัดเงินทุนทั้งหมดสำหรับการสู้รบในกัมพูชาและอินโดจีนทั้งหมด มีผลใช้บังคับในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2516 การโจมตีของกองทัพอากาศสหรัฐได้เพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุดก่อนถึงเส้นตายในการตัดงบประมาณ ในขณะที่กองทัพแห่งชาติเขมรเข้าร่วมกับกองกำลังเขมรแดงประมาณ 10,000 นายล้อมรอบกรุงพนมเปญ

เมื่อเวลา 11:00 น. ของวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2516 การตัดงบประมาณตามคำสั่งของรัฐสภามีผลบังคับใช้ ทำให้กิจกรรมการรบบนน่านฟ้าของกัมพูชาสิ้นสุดลง กองกำลังชุดสุดท้าย คอนสแตนต์การ์ด เอฟ-4 ถูกปล่อยในเดือนกันยายน พ.ศ. 2516

ในกลางปี ​​พ.ศ. 2517 กองบินเริ่มสูญเสียบุคลากร เครื่องบิน และหน่วยต่าง ๆ การบินฝึกบิน เอฟ-4 ที่กำหนดไว้ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 และในวันที่ 16 กันยายน กองบินและส่วนแยกส่วนใหญ่ได้เคลื่อนย้ายโดยไม่มีบุคลากรหรือยุทโธปกรณ์ไปยังฐานทัพอากาศคุนซาน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งกองบินได้ยุบรวมเอาทรัพยากรของกองบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 3ดี ที่ถูกย้ายไปโดยปราศจากบุคลากรหรือยุทโธปกรณ์ไปยังประเทศฟิลิปปินส์

ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2517 กองกำลังทหารอากาศที่ที่อุบลราชธานีได้ถูกยุติภารกิจลงและได้ส่งมอบสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ให้กับรัฐบาลไทย

วันที่ 11/12 เมษายน อุบลฯ ทำหน้าที่เป็นฐานบินสำหรับ HH-53 จำนวน 8 ลำของฝูงบินกู้ภัยและฟื้นฟูการบินและอวกาศที่ 40 ในขณะที่พวกเขาเข้าร่วมในปฏิบัติการอีเกิ้ลพูล (Operation Eagle Pull) ซึ่งเป็นการอพยพพลเรือนสหรัฐออกจากพนมเปญ[31]: 140 

อุบัติเหตุและเหตุการณ์ต่าง ๆ

  • 3 มกราคม พ.ศ. 2511: CAC Saber A94-986 ตกลงที่ฟาร์มขณะบินอยู่นอกเมือง เนื่องจากเครื่องยนต์ขัดข้อง นักบินคือเจ้าหน้าที่นักบิน มาร์ค แมคกราธ เสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งนี้ และเด็กหญิงไทยวัย 3 ขวบ ชื่อ ประทายศรี แสงแดง (Prataisre Sangdangl) เสียชีวิตในเวลาต่อมาจากบาดแผลไฟไหม้จากอุบัติเหตุครั้งนี้ บ้านชาวบ้านไทยเสียหาย 4 หลัง[32]
  • 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2512: เครื่องบินกองทัพอากาศสหรัฐ เอซี-130เอ ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ระดับ AAA เหนือลาว จนทำให้เกิดการพุ่งชนรันเวย์ขณะลงจอด โดยมีลูกเรือเสียชีวิต 1 คน[19]: 58 [18]: 121–3 
  • 7 มิถุนายน พ.ศ. 2512: เครื่องบินกองทัพอากาศสหรัฐ EC-47 หมายเลข 43-49547 ตกลงในแม่น้ำมูลหลังจากขึ้นบินได้ไม่นาน เนื่องจากสูญเสียกำลังจากเครื่องยนต์อย่างน้อยหนึ่งเครื่อง ทุกคนบนเครืองรอดชีวิตมาได้[33]
  • 9 สิงหาคม พ.ศ. 2526: เครื่องบินกองทัพอากาศไทย VC-47B L2-30/07/641 ตกลงขณะบินขึ้น[34] คนลูกเรือทั้งหมด 5 คนเสียชีวิต พร้อมกับอีก 4 คนบนพื้น[35]

หลังการถอนตัวของสหรัฐ

กองทัพอากาศไทยได้ใช้ฐานบินอุบลราชธานีสำหรับการเป็นฐานหลักของฝูงบิน 222 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2520 กองทัพอากาศไทยได้เปลี่ยนชื่อหน่วยประจำฐานบินยกขึ้นเป็นกองบิน 21 และเปลี่ยนชื่อฝูงบิน 222 เป็นฝูงบิน 211 และมีการเปลี่ยนแบบอากาศยานจากเดิมคือเครื่องบินแบบ ที-28 เป็นเครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิดแบบที่ 6 (เอ-37 บี) แทน

ต่อมาในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2537 ฐานบินอุบลราชธานีได้เป็นฐานประจำการของเครื่องบินขับไล่แบบที่ 18 ข/ค ซึ่งเป็นเครื่องบินไอพ่นเหนือเสียงที่ถูกนำเข้าประจำการแทนที่เครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิดแบบที่ 6 ที่ครบกำหนดในการปลดประจำการ และมีการใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน

บทบาทและปฏิบัติการ

กองทัพอากาศไทย

เอฟ-5 ที จากฝูงบิน 211 ระหว่างการฝึกโคปไทเกอร์ 2017 ที่ฐานบินโคราช
พื้นที่ใช้งานการบินพาณิชย์ของพลเรือนในท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี

ฐานบินอุบลราชธานี เป็นที่ตั้งหลักของกองบิน 21 กองทัพอากาศไทยในการปฏิบัติการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง[2] รวมถึงเป็นฐานบินปฏิบัติการหน้า[2] และการปฏิบัติการตามภารกิจที่กองทัพอากาศได้กำหนด ประกอบไปด้วย 1 ฝูงบิน คือ

และส่วนสนับสนุนอื่น ๆ ได้แก่ กองบังคับการ, แผนกการเงิน, แผนกสนับสนุนการบิน, กองเทคนิค, แผนกขนส่ง, แผนกช่างโยธา, โรงพยาบาลกองบิน, แผนกพลาธิการ, แผนกสวัสดิการ, ฝ่ายคลังพัสดุรวมการ และกองร้อยทหารสารวัตร[36]

หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดอุบลราชธานี

ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้ใช้ฐานบินอุบลราชธานีในการปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยมีอากาศยานแบบต่าง ๆ ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตรหมุนเวียนกันมาประจำการ เช่น คาซา ซีเอ็น-235[37]

กรมท่าอากาศยาน

ท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี ได้ใช้พื้นที่และทางวิ่งของฐานบินอุบลราชธานีในการให้บริการเชิงพาณิชย์

หน่วยในฐานบิน

กองทัพอากาศ

กองบิน 21

  • ฝูงบิน 211 – เอฟ-5 ที และ ทีเอช

กองบิน 2

ฐานปฏิบัติการฝนหลวง กองบิน 21

  • หน่วยบินปฏิบัติภารกิจฝนหลวงกองทัพอากาศ[39]

กรมฝนหลวงและการบินเกษตร

ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง

กรมท่าอากาศยาน

สิ่งอำนวยความสะดวก

ยูเอช-60 แบล็กฮอว์กของกองทัพบกไทย บริเวณลานจอดของฐานบินอุบลราชธานีในปี พ.ศ. 2552

ฐานบินอุบลราชธานีประกอบไปด้วยพื้นที่ 2 ส่วนด้วยกัน คือ พื้นที่ฐานบินของกองทัพอากาศ และพื้นที่พลเรือนของท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี

ลานบิน

ฐานบินอุบลราชธานีประกอบไปด้วยทางวิ่งความยาว 3,000 เมตร (9,843 ฟุต) ความกว้าง 45 เมตร (148 ฟุต) อยู่เหนือจากระดับน้ำทะเล 406 ฟุต (124 เมตร) ทิศทางรันเวย์คือ 05/23 หรือ 051.55° และ 231.55° พื้นผิวคอนกรีตและแอสฟอลต์คอนกรีต[40]

โรงพยาบาลกองบิน 21

โรงพยาบาลกองบิน 21 เป็นโรงพยาบาลในกองบิน 21 อยู่ภายใต้สังกัดกรมแพทย์ทหารอากาศ กระทรวงกลาโหม ประกอบด้วยเตียงผู้ป่วยขนาด 10 เตียง[41] สำหรับตรวจรักษาข้าราชการทหาร ลูกจ้าง พนักงาน ครอบครัว และประชาชนบริเวณกองบิน และดำเนินการด้านเวชศาสตร์ป้องกันและเวชศาสตร์การบิน[42]

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. "ประกาศกองทัพอากาศ เรื่อง กำหนดชื่อเรียกฐานที่ตั้งหน่วยบินต่าง ๆ". เอกสารประกอบการบรรยาย วิชา แบบธรรมเนียมทหาร พ.ศ. 2567 (PDF). กรมสารวรรณทหารอากาศ. 2567. p. 329. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-05-31. สืบค้นเมื่อ 2024-06-10.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 "ประวัติความเป็นมา | กองบิน 21". wing21.rtaf.mi.th.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  3. "Wing 21 RTAF". Royal Thai Air Force. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-03-26. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  4. "Royal Thai Air Force home page". Royal Thai Air Force. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-03-30. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  5. 5.0 5.1 "กองทัพอากาศไทย มีเครื่องบินรบกี่ลำ (ในปี 64-68)". thaiarmedforce. 2021-04-23.
  6. 6.0 6.1 6.2 6.3 Stephens, Alan (2006). The Royal Australian Air Force: A History. Oxford University Press. p. 254. ISBN 9780195555417.
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 Ravenstein, Charles A. (1984) (1984). Air Force Combat Wings Lineage and Honors Histories 1947–1977. Office of Air Force History. p. 31. ISBN 0912799129.
  8. "45 Fighter Squadron (AFRC)". Air Force Historical Research Agency. 24 November 2010. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  9. 9.0 9.1 Van Staaveren, Jacob (2002). Gradual Failure: The Air War over North Vietnam 1965–1966 (PDF). Air Force History and Museums Program. p. 159. ISBN 9781508779094. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 23 November 2016. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  10. "47th Fighter Squadron". Davis-Monthan Air Force Base. 24 February 2016. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  11. "433 Weapons Squadron (ACC)". Air Force Historical Research Agency. 3 April 2009. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  12. "497 Combat Training Flight (PACAF)". Air Force Historical Research Agency. 20 June 2011. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  13. "555 Fighter Squadron (USAFE)". Air Force Historical Research Agency. 15 May 2017. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  14. "435 Fighter Training Squadron (AETC)". Air Force Historical Research Agency. 10 May 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 August 2022. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  15. "25 Fighter Squadron (PACAF)". Air Force Historical Research Agency. 19 December 2008. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  16. 16.00 16.01 16.02 16.03 16.04 16.05 16.06 16.07 16.08 16.09 16.10 Thompson, Wayne (2000). To Hanoi and Back The United States Air Force and North Vietnam 1966–1973 (PDF). Air Force History and Museums Program. pp. 52–5. ISBN 978-1410224712. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 16 February 2013. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  17. Bowers, Ray (1983). The United States Air Force in Southeast Asia: Tactical Airlift (PDF). U.S. Air Force Historical Studies Office. p. 388. ISBN 9781782664208.
  18. 18.0 18.1 18.2 18.3 18.4 18.5 18.6 Ballard, Jack (1982). The United States Air Force in Southeast Asia: Development and Employment of Fixed-Wing Gunships 1962–1972 (PDF). Office of Air Force History. pp. 15–7. ISBN 9781428993648.
  19. 19.0 19.1 Nalty, Bernard (2005). The War against Trucks Aerial Interdiction in Southern Laos 1968-1972 (PDF). Air Force History and Museums Program. p. 28. ISBN 9781477550076.
  20. 20.0 20.1 "16 Special Operations Squadron (AFSOC)". Air Force Historical Research Agency. 17 October 2016. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  21. Johnson, E. (2012). American Attack Aircraft Since 1926. McFarland. pp. 210–1. ISBN 9780786451890.
  22. "13 Bomb Squadron (AFGSC)". Air Force Historical Research Agency. 30 August 2011. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  23. 23.0 23.1 23.2 Nalty, Bernard (2000). The United States Air Force in Southeast Asia: The War in South Vietnam Air War over South Vietnam 1968–1975 (PDF). Air Force History and Museums Program. p. 341. ISBN 9781478118640.
  24. "334 Fighter Squadron (ACC)". Air Force Historical Research Agency. 4 November 2017. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  25. "336 Fighter Squadron (ACC)". Air Force Historical Research Agency. 11 October 2016. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  26. "335 Fighter Squadron (ACC)". Air Force Historical Research Agency. 13 June 2018. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  27. "308 Fighter Squadron (AETC)". Air Force Historical Research Agency. 8 July 2018. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  28. "58 Fighter Squadron (AETC)". Air Force Historical Research Agency. 13 October 2016. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  29. 29.0 29.1 29.2 Vick, Alan (1995). Snakes in the Eagle's nest: A history of ground attacks on air bases (PDF). RAND Corporation. p. 82. ISBN 9780833016294.
  30. "Thai air base shelled". The New York Times. 3 October 1972. p. 3.
  31. 31.0 31.1 31.2 31.3 31.4 31.5 Tilford, Earl (1980). Search and Rescue in Southeast Asia 1961–1975 (PDF). Office of Air Force History. p. 70. ISBN 9781410222640.
  32. "RAAF A94 Commonwealth Aircraft Corporation CA-26/CA-27 Sabre Mk.30/31/32". ADF-SERIALS. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  33. "43-49547 Accident Description". Aviation Safety Network. สืบค้นเมื่อ 14 February 2011.
  34. "L2-30/07/641 Accident report". Aviation Safety Network. สืบค้นเมื่อ 27 July 2010.
  35. "THAI AIR ACCIDENTS (1980 to 1989)". Thai Aviation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 April 2010. สืบค้นเมื่อ 27 July 2010.
  36. "โครงสร้างหน่วย | กองบิน 21". wing21.rtaf.mi.th.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  37. 37.0 37.1 "ฝนหลวงระทึก! เร่งระดมเครื่องบิน 11 หน่วย ฝ่าภัยแล้งช่วยเกษตรกร ก่อนพืชวอดวาย". www.sanook.com/news. 2019-07-22.
  38. "กองทัพอากาศสนับสนุนอากาศยานพร้อมเจ้าหน้าที่ดำเนินการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินส่งตัวเข้ารับการรักษา". thaitv5hd.com (ภาษาอังกฤษ).{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  39. "ผบ.ทอ. ส่งหน่วยบิน 7 ลำ ขึ้นปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อช่วยเหลือภัยแล้ง". www.thairath.co.th. 2024-03-12.
  40. "Aedrome/Heliport VTUU". aip.caat.or.th (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2019-09-26. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-06-09. สืบค้นเมื่อ 2024-06-10.
  41. รายงานประจำปี 2562 ศูนย์สุขภาพจิตที่ 10 (PDF). กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข.
  42. ประวัติหน่วยทหาร (ส่วนราชการในกองทัพอากาศ) (PDF). กองประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร กองบัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2022-03-08. สืบค้นเมื่อ 2024-06-10.

บรรณานุกรม

แหล่งข้อมูลอื่น

Kembali kehalaman sebelumnya