Share to:

 

ดีปลี

ดีปลี
ใบและผลของดีปลี
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Plantae
ไม่ได้จัดลำดับ: Angiosperms
ไม่ได้จัดลำดับ: Magnoliids
อันดับ: Piperales
วงศ์: Piperaceae
สกุล: Piper
สปีชีส์: P.  longum
ชื่อทวินาม
Piper longum
Linn.

ดีปลี มีชื่อท้องถิ่นอื่นอีกคือ: ดีปลีเชือก (ภาคใต้) ประดงข้อ ปานนุ (ภาคกลาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ดีปลีเป็นไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง ใบรูปไข่ โคนมน ปลายแหลม เป็นพืชใบเดี่ยว คล้ายใบย่านางแต่ผิวใบมันกว่า บางกว่าเล็กน้อย ดอกเป็นรูปทรงกระบอกปลายมน เมื่อแก่จะมีผลเป็นสีแดง

การปลูกเลี้ยง

นิยมปลูกโดยการใช้เถา ชอบดินร่วนและอุดมสมบรูณ์ ทนแห้งแล้งได้ดี ฤดูที่เหมาะสมในการปลูกก็คือฤดูฝน เวลาปลูกใช้เถาที่ชำจนรากงอกแล้วปลูก แล้วทำเสาให้เลื้อย ควรดูแลเรื่องน้ำและศัตรูพืชด้วย ดีปลีเป็นสมุนไพรที่ใช้มากในอุตสาหกรรม ยาแผนโบราณประมาณ 5,000 – 7,000 กิโลกรัม/ปี ปลูกได้ดีในภาคใต้ของประเทศไทย นับว่าเป็นพืชสมุนไพรตัวหนึ่งที่อยู่ในแผน พัฒนาเพื่อส่งเป็นสินค้าส่งออก

ประโยชน์

ดีปลีตากแห้ง

ใช้ผลแก่แห้งเป็นยา โดยเก็บช่วงที่ผลแก่จัดแต่ยังไม่สุก ตากแดดให้แห้ง มีรสเผ็ดร้อน ขม มีสรรพคุณขับลม บำรุงธาตุ แก้จุกเสียด ซึ่งจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ดีปลีแห้งประกอบด้วย " อัลคาลอยด์" ชื่อว่า Piperine ประมาณ 4 – 6%, Chavicine, น้ำมันระเหยหอม 1% ตามรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า ดีปลีใช้ประกอบตำรับยาที่ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ท้องอืดเฟ้อ ธาตุไม่ปกติ ทั้งนี้เพราะดีปลีมีน้ำมันหอมระเหย

ผลแก่แห้งของดีปลี ใช้เป็นยารักษาอาการดังนี้ อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และอาการปวดท้อง รวมทั้งแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ที่เกิดจากธาตุที่ไม่ปกติ โดยการใช้ผลแก่แห้ง 1 กำมือ (ประมาณ 10 – 15 ดอก) ต้มเอาน้ำมาดื่ม ถ้าไม่มีดอกก็ให้ใช้เถาต้มแทนได้อาการไอและมีเสมหะ ใช้ผลแก่แห้งประมาณครึ่งผล ฝนกับน้ำมะนาวผสมเกลือกวาดในลำคอหรือจิบบ่อย ๆ นอกจากนี้ ผลดีปลีแห้งสามารถใช้เป็นเครื่องเทศประกอบอาหารต่าง ๆ ได้

ปัจจุบันดีปลีใช้น้อยในอาหารยุโรป แต่ยังใช้ในอาหารอินเดียและอาหารเนปาล อาหารแอฟริกาเหนือบางชนิดใช้ผสมในเครื่องเทศ และใช้ในอาหารมาเลเซียและอินโดนีเซีย ร้านขายของชำในอินเดียจะเรียกว่า pippali ซึ่งเป็นเครื่องเทศหลักของนีหารีซึ่งเป็นอาหารประจำชาติของปากีสถาน ดีปลีมีสารเคมีชื่อพิเพอร์ลองกูมีน[1] ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ[2]

อ้างอิง

  1. "Novel compound selectively kills cancer cells by blocking their response to oxidative stress". Science Daily. July 15, 2011.
  2. Seo, Young Hwa; Kim, Jin-Kyung; Jun, Jong-Gab (2014). "Synthesis and biological evaluation of piperlongumine derivatives as potent anti-inflammatory agents". Bioorganic & Medicinal Chemistry Letters. 24 (24): 5727–5730. doi:10.1016/j.bmcl.2014.10.054.

แหล่งข้อมูลอื่น


Kembali kehalaman sebelumnya