ฟุตบอลทีมชาติซาอุดีอาระเบีย
ฟุตบอลทีมชาติซาอุดีอาระเบีย (อาหรับ: المنتخب العربي السعودي لكرة القدم) เป็นทีมฟุตบอลประจำชาติของประเทศซาอุดีอาระเบียในการแข่งขันระหว่างประเทศ อยู่ภายใต้การดูแลของสหพันธ์ฟุตบอลซาอุดีอาระเบีย มีฉายาคือ อัลศอกรฺ (Al-Saqour) หรือภาษาอังกฤษคือ The Falcons (นกเหยี่ยว) และ อัลอัคฎอร (Al-Akhdar) หรือภาษาอังกฤษคือ The Green ซึ่งมาจากสีประจำทีมคือสีเขียว ซาอุดีอาระเบียได้ลงแข่งขันทั้งในรายการของสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ และสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย ซาอุดีอาระเบียเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในทวีปเอเชีย[4][5] โดยชนะเลิศการแข่งขันเอเชียนคัพ 3 สมัย (ค.ศ. 1984, 1988 และ 1996) และเป็นหนึ่งในสองทีมที่เข้าชิงชนะเลิศรายการนี้มากที่สุด 6 ครั้ง และพวกเขายังคว้าเหรียญเงินในเอเชียนเกมส์ 1986 ซาอุดีอาระเบียเข้าร่วมฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 6 ครั้ง และยังเป็นชาติแรกในเอเชียที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศการแข่งขันของฟีฟ่าในนามทีมชาติชุดใหญ่ โดยเข้าชิงชนะเลิศรายการ คิงฟาฮัด คัพ ใน ค.ศ. 1992 ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ "ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ" โดยมีเพียงอีกสองชาติที่ทำสถิติดังกล่าวได้จนถึงปัจจุบัน ได้แก่ ออสเตรเลีย ใน ค.ศ. 1997 (ซึ่งลงแข่งขันในนามสมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนียในขณะนั้น) และญี่ปุ่นใน ค.ศ. 2001 ซาอุดีอาระเบียลงแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1994 โดยเอาชนะเบลเยียม และโมร็อกโกได้ในรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนจะเข้าไปแพ้สวีเดนในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ส่งผลให้พวกเขาเป็นทีมจากชาติอาหรับประเทศที่สองที่เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก ต่อจากโมร็อกโกในฟุตบอลโลก 1986 และเป็นหนึ่งในห้าทีมของเอเชียที่ทำได้ (ร่วมกับญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และเกาหลีเหนือ) ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ซาอุดีอาระเบียสร้างความประหลาดใจด้วยการเอาชนะทีมแชมป์อย่างอาร์เจนตินาในนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่มด้วยผลประตู 2–1 ถือเป็นครั้งแรกที่อาร์เจนตินาแพ้ชาติจากทวีปเอเชียในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย อย่างไรก็ตาม พวกเขาตกรอบแบ่งกลุ่มจากการแพ้อีกสองนัดถัดมาและจบอันดับสุดท้าย ซาอุดีอาระเบียจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันสองรายการสำคัญคือ เอเชียนคัพ 2027 และ ฟุตบอลโลก 2034 ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันสองรายการดังกล่าว ประวัติฟุตบอลทีมชาติซาอุดีอาระเบียมีจุดเริ่มต้นใน ค.ศ. 1951 จากการรวมตัวของผู้เล่นจากสโมสรกีฬาอัล-เวห์ดา เมกกะ และ สโมสรฟุตบอลอัลอะฮ์ลี (ญิดดะฮ์) เพื่อลงแข่งขันเกมกระชับมิตรพบกับทีมจากกระทรวงสาธารณสุขจากประเทศอียิปต์ ในวันที่ 27 มิถุนายน ณ เมืองญิดดะฮ์ และทั้งสองทีมได้แข่งขันกันอีกครั้งในวันต่อมา โดยซาอุดีอาระเบียใช้ผู้เล่นของสโมสรฟุตบอลอัล อิติตฮัด และ สโมสรฟุตบอลอัลฮิลาล ต่อมาในเดือนสิงหาคม เจ้าชาย อับดุลลาห์ บิน ไฟซาล อัล ซาอุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้จัดการแข่งขันกระชับมิตรกับอียิปต์เป็นครั้งที่สาม และถือเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดในการจัดตั้งทีมฟุตบอลเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศ ใน ค.ศ. 1953 ซาอุดีอาระเบียก็ได้ก่อตั้งทีมฟุตบอลขึ้น และได้เดินทางไปแข่งขันกระชับมิตรระหว่างประเทศเป็นครั้งแรก ณ กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย ในวโรกาสที่สมเด็จพระราชาธิบดีซะอูด บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด เสด็จขึ้นครองราชย์[6] ต่อมาใน ค.ศ. 1957 ซาอุดีอาระเบียได้ร่วมแข่งขันรายการแพนอาหรับเกมส์ ที่เบรุต ประเทศเลบานอน โดยสมเด็จพระราชาธิบดีซะอูด บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด ได้รับเชิญให้เสด็จไปร่วมพิธีเปิด ณ สนาม คามิลล์ ชามูน สปอร์ตส์ ซิตี สเตเดียม ร่วมกับ คามิลล์ ชามูน ประธานาธิบดีเลบานอน และในนัดเปิดสนามเป็นการแข่งขันระหว่างซาอุดีอาระเบีย และเลบานอน โดยเสมอกันไป 1–1 และซาอุดีอาระเบียตกรอบแบ่งกลุ่ม สหพันธ์ฟุตบอลซาอุดีอาระเบีย ได้ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1956 ทว่าหลังจากนั้น ซาอุดีอาระเบียไม่ได้ร่วมแข่งขันในรายการสำคัญใด ๆ จนกระทั่งเอเชียนคัพ 1984 ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งพวกเขาคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยแรก เอาชนะจีนในรอบชิงชนะเลิศ 2–0 และพวกเขากลายเป็นหนึ่งในทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในทวีปเอเชียนับตั้งแต่นั้น โดยเข้าชิงชนะเลิศเอเชียนคัพได้อีก 4 ครั้งติดต่อกัน และคว้าแชมป์เพิ่มได้อีกสองครั้งในปี 1988 (ชนะจุดโทษเกาหลีใต้) และ 1996 (ชนะจุดโทษสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) และได้ร่วมแข่งขันเอเชียนคัพทุกครั้งนับตั้งแต่นั้นจนถึงปัจจุบัน แต่ยังไม่สามารถคว้าแชมป์เพิ่มได้ โดยผลงานดีสุดคือการเข้าชิงชนะเลิศในเอเชียนคัพ 2007 แพ้อิรัก 0–1 พวกเขาเข้าร่วมฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายสมัยแรกในฟุตบอลโลก 1994 ภายใต้ผู้ฝึกสอนชาวอาร์เจนตินา ฆอร์เก โซลารี และผู้เล่นพรสวรรค์สูงอย่าง ซะอีด อัลอุวัยรอน และ ซามี อัลญาบิร พาทีมผ่านเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายก่อนจะแพ้สวีเดน 1–3 และพวกเขาเข้าร่วมฟุตบอลโลกในอีกสามครั้งถัดมา แต่ไม่สามารถชนะในรอบแบ่งกลุ่มแม้แต้นัดเดียว และไม่ได้เข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก 2010 และ 2014 ก่อนจะกลับมาแข่งขันในฟุตบอลโลก 2018 แพ้เจ้าภาพอย่างรัสเซียในนัดเปิดสนาม 0–5[7] ซึ่งถือเป็นการชนะด้วยผลประตูที่มากที่สุดเป็นอันดับสองตลอดกาลของชาติเจ้าภาพในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย[8] นับตั้งแต่อิตาลีเจ้าภาพฟุตบอลโลก 1934 เอาชนะสหรัฐ 7–1[9] ซาอุดีอาระเบียตกรอบแรกอีกครั้งหลังจากแพ้อุรุกวัยไปอย่างสูสี 0–1[10] แม้พวกเขาจะเอาชนะอียิปต์ได้ในนัดสุดท้าย 2–1[11] ในครั้งนี้ซาอุดีอาระเบียมีผลงานในฟุตบอลโลกที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2002 ซึ่งพวกเขาแพ้เยอรมนี 0–8 และจบในอันดับ 32 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้ายจากการจัดอันดับรวมเมื่อจบการแข่งขัน[12] อย่างไรก็ตาม พวกเขายังได้รับเสียงชื่นชมจากการชนะได้หนึ่งนัดในครั้งนี้ นับเป็นชัยชนะครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1994[13] ซาอุดีอาระเบียลงแข่งขันเอเชียนคัพ 2019 ด้วยความคาดหวังว่าจะทำผลงานได้ดีขึ้น แต่พวกเขาจบอันดับสองของกลุ่ม หลังจากแพ้กาตาร์ในรอบสุดท้าย[14] ส่งผลให้พวกเขาต้องพบกับทีมใหญ่อย่างญี่ปุ่นและแพ้ไป 0–1 แม้พวกเขาจะเล่นได้ดีกว่าตลอดทั้งเกม ในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2019 ซาอุดีอาระเบียได้แข่งขันกับปาเลสไตน์ ที่เวสต์แบงก์เป็นครั้งแรก โดยก่อนหน้านี้การแข่งขันระหว่างสองทีมจะจัดขึ้น ณ ประเทศที่สาม การแข่งขันดังกล่าวถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของซาอุดีอาระเบียและอิสราเอล ทว่าก็ได้รับการวิจารณ์จากองค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์ว่าจะเป็นการสนับสนุนอำนาจอธิปไตยในเขตเวสต์แบงก์[15] ทั้งสองทีมเสมอกันไป 0–0 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 3 ซาอุดีอาระเบียอยู่ในกลุ่มบีร่วมกับญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, จีน, โอมาน และเวียดนาม พวกเขาสามารถผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายได้หลังจากที่ออสเตรเลียเปิดบ้านแพ้ญี่ปุ่น 0–2 โดยอยู่ร่วมกลุ่มกับอาร์เจนตินา โปแลนด์ และเม็กซิโก และตกรอบแรกจากผลงานชนะหนึ่งนัดและแพ้สองนัด แม้จะทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในนัดแรกจากการชนะอาร์เจนตินา ซาอุดีอาระเบียภายใต้ผู้ฝึกสอนคนใหม่อย่างโรแบร์โต มันชีนี ลงแข่งขันเอเชียนคัพ 2023 โดยอยู่กลุ่มเอฟ พวกเขาเอาชนะโอมานในนัดแรก 2–1 และชนะคีร์กีซสถาน 2–0 ซึ่งคู่แข่งได้รับใบแดงถึงสองคน[16] และเสมอไทยในนัดสุดท้าย 0–0 ซาอุดีอาระเบียเข้าไปพบเกาหลีใต้ในรอบ 16 ทีม พวกเขาได้ประตูออกนำกไปก่อนจากอับดุลลอฮ์ เราะดีฟ ในครึ่งเวลาแรก แต่พลาดเสียประตูตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 99 จากโช กยู-ซ็อง พวกเขาตกรอบจากการแพ้การดวลจุดโทษ 2–4[17] ซาอุดีอาระเบียเป็นทีมอันดับ 1 ของกลุ่มในฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2 มีผลงานคือชนะ 4 นัด และเสมอ 1 นัด ผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือก – รอบที่ 3 โดยเสมออินโดนีเซียในนัดแรกที่ญิดดะฮ์ 1–1 นำมาซึ่งเสียงวิจารณ์จากผู้สนับสนุน และบุกไปชนะจีน 2–1 จากสองประตูของฮัสซัน คาเด และกลับมาเปิดบ้านแพ้ญี่ปุ่น 0–2 ตามด้วยการเสมอบาห์เรน 0–0 ส่งผลให้มันชีนีพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2024 และเออร์เว เรอนาร์ด กลับมาคุมทีมเป็นครั้งที่สอง สถานการณ์ของซาอุดีอาระเบียยังไม่ดีขึ้น เมื่อพวกเขาบุกไปเสมอออสเตรเลีย 0–0 และบุกไปแพ้อินโดนีเซียอย่างเหนือความคาดหมาย 0–2 ทำให้พวกเขาปิดท้ายปี 2024 ด้วยการอยู่ในอันดับ 4 ของกลุ่ม คู่แข่งอิหร่านถือเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของซาอุดีอาระเบียด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ และการแข่งขันได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สืบเนื่องจากความขัดแย้งจากการแบ่งแยกลัทธิทางศาสนา ซาอุดีอาระเบียมีผลงานการพบกันที่เป็นรองเล็กน้อย โดยชนะ 4 ครั้ง เสมอ 6 ครั้ง และแพ้ 5 ครั้ง และการพบกันของทั้งสองชาติถือเป็นหนึ่งในสิบการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศซึ่งได้รับอิทธิพลจากการเมืองที่ดุเดือดที่สุด[18] อิรักถือเป็นคู่แข่งที่สำคัญเช่นกัน โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากทศวรรษ 1970 จากเหตุการณ์สงครามอ่าว ซึ่งอิรักได้รุกรานพันธมิตรของซาอุดีอาระเบีย และนับแต่นั้นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองชาติก็ไม่แน่นอนนัก โดยมีทั้งการพัฒนาความสัมพันธ์ในเชิงบวกสลับกับความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดจนถึงปัจจุบัน โดยอิรักเกือบจะถอนตัวจากการแข่งขัน กัลฟ์ คัพ ออฟ เนชั่นส์ ใน ค.ศ. 2013 หลังจากได้รับการปฏิเสธการเป็นเจ้าภาพ โดยอิรักเชื่อว่าซาอุดีอาระเบียเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง คู่แข่งชาติอื่น ๆ ของซาอุดีอาระเบียได้แก่ กาตาร์, คูเวต และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สนามตั้งแต่อดีต ซาอุดีอาระเบียมักจะลงเล่นที่สนาม คิง ฟาฮัด อินเตอร์เนชันแนล สเตเดียม ตั้งอยู่ในกรุงรียาด เป็นหนึ่งในสนามกีฬาที่มีหลังคาขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และยังมีฉายาว่า "The Pearl" หรือ ไข่มุก โดยเป็นสยามเหย้าในการแข่งขันรายการสำคัญของทีมชาติซาอุดีอาระเบียทั้งในการแข่งขันระดับภูมิภาครวมถึงฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก นับตั้งแต่ทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา ซาอุดีอาระเบียมีการใช้สนามอื่น ๆ มากขึ้น ในฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก พวกเขาลงเล่นที่ สนามปรินซ์ โมฮาเหม็ด บิน ฟาฮัด สเตเดียม ในอัดดัมมาน และในฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก พวกเขาใช้สนาม ไฟซาล บิน ฟาฮัด และนับตั้งแต่ทศวรรษ 2010 ซาอุดีอาระเบียลงเล่นที่คิงอับดุลลอห์สปอร์ตซิตี ในรียาด ซึ่งเป็นสนามที่สร้างขึ้นใหม่ความจุกว่า 60,000 ทีนั่ง ผลงาน
นักเตะชุดปัจจุบันรายชื่อผู้เล่น 26 คนที่ถูกเรียกตัวเพื่อลงแข่งขันรายการ เอเชียนคัพ 2023[19]ระหว่างวันที่ 16 – 25 มกราคม พ.ศ. 2567
ผู้ฝึกสอน
อดีตผู้เล่นคนสำคัญ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ฟุตบอลทีมชาติซาอุดีอาระเบีย |