ประเทศอิรัก
ประเทศอิรัก (อังกฤษ: Iraq; อาหรับ: الْعِرَاق, อักษรโรมัน: al-ʿIrāq; เคิร์ด: عێراق, อักษรโรมัน: Êraq) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐอิรัก (อังกฤษ: Republic of Iraq; อาหรับ: جُمْهُورِيَّة ٱلْعِرَاق ; เคิร์ด: کۆماری عێراق, อักษรโรมัน: Komarî Êraq) มีพรมแดนทางทิศเหนือติดประเทศตุรกี, ทิศใต้ติดซาอุดีอาระเบีย, ทิศตะวันออกติดอิหร่าน และเชื่อมกับอ่าวเปอร์เซียและประเทศคูเวตทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และยังมีพรมแดนติดกับจอร์แดนทางตะวันตกเฉียงใต้ และติดซีเรียทางทิศตะวันตก มีประชากรราว 46 ล้านคนซึ่งมากเป็นอันดับที่ 35 ของโลก อิรักแบ่งการปกครองออกเป็น 18 เขตผู้ว่าการ เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดคือแบกแดด อิรักเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชีวภาพสูง ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม โดยมีเชื้อสายซุนนีย์, ชีอะฮ์และเคิร์ด ตามมาด้วย คริสต์ศาสนิกชน, ศาสนาโซโรอัสเตอร์, ศาสนามันดาอี และ ศาสนายูดาห์[11][12] อิรักยังเต็มไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ได้แก่ ชาวเคิร์ด, ชาวอิรักเชื้อสายเติร์กเมน, ชาวยาซิดี, ชาวอัสซีเรีย, ชาวเปอร์เซีย, ชาวแมนเดียน และ อัชชะบัก ภาษาราชการคือภาษาอาหรับ และภาษาเคิร์ด โดยมีการใช้ภาษาถิ่นบ้างในบางภูมิภาค เช่น ภาษาแอราเมอิกใหม่อัสซีเรีย, ภาษาอาร์มีเนีย และภาษาเติร์กเมนอิรัก ดินแดนของอิรักเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของโลก เริ่มต้นตั้งแต่สหัสวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ระหว่างแม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรทีสของอิรัก เป็นที่รู้จักในชื่อภูมิภาคเมโสโปเตเมีย บริเวณนี้เป็นต้นกำเนิดของสังคมเมือง ตลอดจนอารยธรรมโบราณและจักรวรรดิที่แรก ๆ ของโลก ได้รับการขนานนามให้เป็น "แหล่งกำเนิดอารยธรรมโลก" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการประดิษฐ์ระบบการเขียน, คณิตศาสตร์, การสร้างอุปกรณ์บอกเวลา, การทำปฏิทิน, การศึกษาดาราศาสตร์ และริเริ่มประมวลกฎหมายอูร์-นัมมู ภายหลังการพิชิตจักรวรรดิเปอร์เซียโดยมุสลิม ดินแดนของกรุงแบกแดดในปัจจุบันกลายเป็นศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดของรัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ ในช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นยุคทองของอิสลาม เมืองนี้พัฒนาจนเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่สำคัญ และได้รับชื่อเสียงไปทั่วโลกในด้านการศึกษา ได้รับการขนานนามในฐานะ "ศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้" [13] ก่อนที่จะถูกทำลายอย่างย่อยยับโดยจักรวรรดิมองโกลในต้นศตวรรษที่ 13 (ค.ศ. 1258) จากเหตุการณ์การล้อมกรุงแบกแดด นอกจากนี้ ผลกระทบจากโรคระบาดและความไม่มั่นคงทางการปกครองโดยจักรวรรดิต่าง ๆ ส่งผลให้ดินแดนทั้งหมดพบกับความเสื่่อมถอยซึ่งกินเวลาไปอีกหลายศตวรรษ[14][15][16] อิรักยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมันจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก่อนจะกลายสภาพเป็นรัฐในอาณัติของสหราชอาณาจักร เมื่อ ค.ศ. 1921 และได้รับเอกราชในฐานะราชอาณาจักรอิรัก สถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1922 ภายหลังที่จักรวรรดิออตโตมันพ่ายในการทัพเมโสโปเตเมียในสงครามโลก ต่อมา อิรักกลายสภาพเป็นสาธารณรัฐใน ค.ศ. 1958 โดยอับดุลกะรีม กอซิม ตามด้วยการปกครองโดยผู้นำคนต่อมาอย่าง อับดุล ซาลาม อารีฟ และอับดุล ราห์แมน อารีฟ ตามลำดับ การฏิวัติใน ค.ศ. 1968 เป็นจุดเริ่มต้นของการครองอำนาจโดยพรรคบะอษ์ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มลัทธินิยมรวมชาติอาหรับโดยไม่อ้างอิงกับศาสนา นำโดยอาห์เหม็ด ฮัสซัน อัล-บักร์ ตามมาด้วยการเถลิงอำนาจของซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งเป็นผู้นำประเทศตั้งแต่ ค.ศ. 1979 ยาวนานถึง ค.ศ. 2003 มีส่วนสำคัญในการนำประเทศเข้าสู่สงครามความขัดแย้งหลายครั้ง รวมถึงสงครามอ่าว และสงครามอิรัก–อิหร่าน ในยุคการปกครองโดยซัดดัม ประเทศต้องเผชิญความท้าทายสำคัญหลายครั้ง อิรักได้รับการวิจารณ์จากนานาชาติในด้านสิทธิมนุษยชน และการกดขี่ประชาชนซึ่งเห็นต่างทางการเมือง การบุกครองอิรัก ค.ศ. 2003 และสงครามอิรักซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อล้มล้างการปกครองของซัดดัม และความพยายามสร้างประเทศขึ้นมาใหม่ นำไปสู่ความรุนแรงและการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตามมาด้วยการถือกำเนิดของรัฐอิสลาม ปัจจุบัน อิรักยังเผชิญปัญหาความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำแม้สงครามจะยุติลงในทางพฤตินัย อันเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาประเทศ อิรักมีการปกครองแบบสหพันธ์สาธารณรัฐด้วยระบบรัฐสภา เป็นประเทศอำนาจปลานกลาง และเป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งสหประชาชาติ, โอเปก, สันนิบาตอาหรับ, องค์การความร่วมมืออิสลาม, ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และด้วยทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมในภูมิภาค ส่งผลให้อิรักมีทรัพยากรสำคัญจำนวนมาก โดยมีแหล่งน้ำมันสำรองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊สธรรมชาติของโลก อิรักยังมีจุดเด่นในด้านเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และนับตั้งแต่ได้รับการประกาศเอกราช อิรักมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการทหารมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันประเทศอิรักอยู่ระหว่างการพัฒนา และสร้างเมืองขึ้นใหม่หลังได้รับผลกระทบจากสงคราม โดยได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ[17][18] ภูมิศาสตร์อิรักมีพื้นที่ทั้งหมด 437,072 ตารางกิโลเมตร ทิศตะวันออกติดกับ อิหร่าน ทิศเหนือ ติดกับตุรกี ทิศใต้ติดกับคูเวต ทิศตะวันตกติดกับ ซีเรีย และจอร์แดน สภาพทางภูมิศาสตร์ของอิรัก เป็นทะเลทรายร้อยละ 40 ที่ราบสูง ยากแต่การทำการเกษตรทำให้อิรักต้องนำเข้าสินค้าภาคการเกษตรเช่น ข้าวสาลี ข้าวจ้าว ธัญพืช แต่อย่างไรก็ดี อิรักก็มีแม่น้ำไหลผ่าน 2 สาย คือ แม่น้ำไทกริส และแม่น้ำยูเฟรทีส ทำให้ยังพอมีความอุดมสมบูรณ์อยู่บ้าง ประวัติศาสตร์รัฐในอาณัติ และ ราชอาณาจักร
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลงอาณาจักรออตโตมันที่เคยเป็นมหาอำนาจในตะวันออกกลางตกเป็นผู้แพ้สงคราม ดินแดนต่าง ๆ ที่ออตโตมันปกครองก็ถูกแบ่งแยกออกเป็นรัฐต่าง ๆ อิรักเป็นหนึ่งในรัฐที่ถูกแบ่งแยกออกมาโดยอังกฤษที่สามารถยึดครองอิรักจากออตโตมันได้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษได้เข้ามาปกครองอิรัก ในฐานะรัฐอารักขาตั้งแต่ ค.ศ. 1920 จนกระทั่งใน ค.ศ. 1932 อังกฤษได้ให้เอกราชแก่อิรักโดยมีราชวงศ์ฮัชไมต์ปกครองประเทศอิรัก สาธารณรัฐ และ พรรคบะอษ์ในปี 1958 เกิดการรัฐประหารที่เรียกว่าการปฏิวัติ 14 กรกฎาคม นำโดยนายพลอับด์ อัล-คาริม กาซิม การก่อจลาจลครั้งนี้เป็นการต่อต้านจักรวรรดินิยมและต่อต้านสถาบันกษัตริย์อย่างรุนแรง และมีองค์ประกอบสังคมนิยมที่เข้มแข็ง ทำให้กษัตริย์ฟัยศ็อลที่ 2 เจ้าชายอับดุลอิลาห์ และนูริ อัล-ซาอิด ถูกปลงพระชนม์[19]กาซิมควบคุมอิรักผ่านการปกครองของทหาร และในปี 1958 เขาเริ่มกระบวนการบังคับลดที่ดินส่วนเกินที่มีพลเมืองเพียงไม่กี่คนเป็นเจ้าของ และให้รัฐจัดสรรที่ดินใหม่ เขาถูกโค่นล้มโดยพันเอกอับดุล สลาม อารีฟ ในการรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1963 หลังจากการเสียชีวิตของฝ่ายหลังในปี 1966 อับดุลเราะห์มาน อารีฟ น้องชายของเขาสืบต่อจากเขา ซึ่งถูกพรรคบะอัธล้มล้างในปี 1968[20][21] อาห์เหม็ด ฮัสซัน อัล-บักร์ กลายเป็นประธานาธิบดีจากพรรคบะอษ์คนแรกของอิรัก แต่แล้วการเคลื่อนไหวก็ค่อยๆ เข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมของซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและการควบคุมของสภาบัญชาการการปฏิวัติ (RCC) ซึ่งในขณะนั้นเป็นองค์กรบริหารสูงสุดของอิรัก กรกฎาคม 1979. หลังจากการโจมตีข้ามพรมแดนกับอิหร่านเป็นเวลาหลายเดือน ซัดดัมได้ประกาศสงครามกับอิหร่านในเดือนกันยายน 1980 ทำให้เกิดสงครามอิรัก–อิหร่าน โดยใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายหลังการปฏิวัติอิหร่านในอิหร่าน อิรักยึดดินแดนบางส่วนทางตะวันตกเฉียงใต้ของอิหร่านได้ แต่อิหร่านยึดคืนดินแดนที่สูญเสียไปทั้งหมดได้ภายในสองปี และอีกหกปีถัดมา อิหร่านก็เป็นฝ่ายรุก[22] [23]ในช่วงสงคราม ซัดดัม ฮุสเซนใช้อาวุธเคมีโจมตีชาวอิหร่านอย่างกว้างขวาง[24] ในช่วงสุดท้ายของสงครามอิรัก–อิหร่าน รัฐบาลอิรักของพรรคบะอษ์ ได้เป็นผู้นำการรณรงค์ Al-Anfal ซึ่งเป็นการรณรงค์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่มุ่งเป้าไปที่ชาวเคิร์ดในอิรัก[25] [26][27][28] และนำไปสู่การสังหารพลเรือน 50,000–100,000 คน[29] เนื่องจากอิรักไม่สามารถจ่ายเงินให้กับคูเวตได้มากกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ยืมมาเพื่อใช้สนับสนุนสงครามอิรัก-อิหร่าน และการเพิ่มขึ้นของระดับการผลิตปิโตรเลียมของคูเวตซึ่งทำให้รายได้ลดลง อิรักตีความการที่คูเวตปฏิเสธที่จะลดการผลิตน้ำมันถือเป็นการกระทำที่ก้าวร้าว[30] ในเดือนสิงหาคม 1990 อิรักรุกรานและผนวกคูเวต สิ่งนี้นำไปสู่การแทรกแซงทางทหารโดยกองกำลังที่นำโดยสหรัฐอเมริกาในสงครามอ่าวครั้งแรก กองกำลังพันธมิตรดำเนินการปฏิบัติการทิ้งระเบิดโดยมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหาร[31][32]จากนั้นจึงทำการโจมตีภาคพื้นดินต่อกองกำลังอิรักทางตอนใต้ของอิรักและคูเวตเป็นเวลา 100 ชั่วโมง กองทัพอิรักได้รับความเสียหายในช่วงสงคราม ไม่นานหลังจากเหตุการณ์สิ้นสุดลงในปี 1991 ชาวอิรักและชาวเคิร์ดได้นำการลุกฮือหลายครั้งเพื่อต่อต้านระบอบการปกครองของซัดดัม ฮุสเซน แต่ถูกปราบปราม คาดว่ามีผู้เสียชีวิตมากถึง 100,000 คน รวมทั้งพลเรือนจำนวนมาก[33] ในระหว่างการลุกฮือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และตุรกี โดยอ้างอำนาจภายใต้ UNSCR 688 ได้จัดตั้งเขตห้ามบินของอิรักขึ้นเพื่อปกป้องประชากรชาวเคิร์ดจากการโจมตี อิรักได้รับคำสั่งให้ทำลายอาวุธเคมีและชีวภาพของตน และสหประชาชาติพยายามบังคับให้รัฐบาลของซัดดัมปลดอาวุธและตกลงหยุดยิง ความล้มเหลวของรัฐบาลอิรักในการปลดอาวุธและตกลงหยุดยิงส่งผลให้เกิดการคว่ำบาตรซึ่งยังคงมีอยู่จนถึงปี 2003 ผลกระทบของการคว่ำบาตรต่อประชากรพลเรือนในอิรักยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่[34][35] ในขณะที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าการคว่ำบาตรทำให้การเสียชีวิตของเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมาก การวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่อ้างถึงโดยทั่วไปนั้นถูกสร้างขึ้นมา และ "ไม่มีการเสียชีวิตของเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมากในอิรัก"[36][37][38]โครงการน้ำมันสำหรับอาหารก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1996 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการคว่ำบาตร
สหรัฐอเมริกาเข้ายึดอิรักเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2003 กลุ่มพันธมิตรที่จัดตั้งโดยสหรัฐฯ ได้บุกอิรัก โดยอ้างว่าอิรักล้มเหลวที่จะละทิ้งโครงการอาวุธทำลายล้างสูง การกล่าวอ้างนี้อิงตามเอกสารที่ซีไอเอและรัฐบาลอังกฤษมอบให้ ซึ่งต่อมาพบว่าไม่น่าเชื่อถือ[39][40][41] มีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าแท้จริงแล้วสหรัฐฯ กำลังดำเนินการตามวัตถุประสงค์ระดับชาติเพื่อขยายขอบเขตอำนาจของตน[42] หลังจากการรุกราน สหรัฐฯ ได้จัดตั้งกองกำลังผสมชั่วคราวขึ้นเพื่อปกครองอิรัก ในเดือนพฤษภาคม 2003 แอล. พอล เบรเมอร์ ผู้บริหารระดับสูงของ CPA ได้ออกคำสั่งให้แยกสมาชิกพรรคบะอษ์ออกจากรัฐบาลอิรักชุดใหม่ (คำสั่ง CPA 1) และให้ยุบกองทัพอิรัก (คำสั่ง CPA 2)[43]การตัดสินใจดังกล่าวได้สลายกองทัพอิรักนิกายซุนนีซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวซุนนี และไม่รวมอดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลของประเทศจำนวนมาก[44]รวมทั้งครูโรงเรียน 40,000 คนที่เข้าร่วมพรรคบะอษ์เพียงเพื่อรักษางานไว้[45] ช่วยทำให้เกิดสภาพแวดล้อมหลังการรุกรานที่วุ่นวาย[46] การก่อความไม่สงบต่อการปกครองอิรักโดยพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ เริ่มขึ้นในฤดูร้อนปี 2003 ในส่วนของอดีตตำรวจและกองทัพลับของอิรัก ซึ่งก่อตั้งหน่วยรบแบบกองโจร ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กลุ่ม 'ญิฮาด' เริ่มมุ่งเป้าไปที่กองกำลังพันธมิตร กองกำลังติดอาวุธซุนนีต่างๆ ถูกสร้างขึ้นในปี 2003 ตัวอย่างเช่น Jama'at al-Tawhid wal-Jihad ที่นำโดย อบู มูซาบ อัล-ซาร์กาวี การก่อความไม่สงบดังกล่าวรวมถึงความรุนแรงระหว่างชาติพันธุ์ที่รุนแรงระหว่างชาวซุนนีและชีอะห์[47] กองทัพมะห์ดี ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธชีอะฮ์ที่ก่อตั้งขึ้นในฤดูร้อนปี 2003 โดยมุคตาดา อัล-ซาดร์ ได้เริ่มต่อสู้กับกองกำลังพันธมิตรในเดือนเมษายน 2004[48]และกลุ่มติดอาวุธซุนนีและชีอะห์ต่อสู้กันเอง และต่อต้านรัฐบาลชั่วคราวของอิรักชุดใหม่และต่อต้านกองกำลังพันธมิตร รวมถึงการสู้รบที่ฟัลลูจาห์ครั้งแรกในเดือนเมษายน และการสู้รบที่ฟัลลูจาห์ครั้งที่สองในเดือนพฤศจิกายน กองทัพมาห์ดีจะลักพาตัวพลเรือนชาวซุนนีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์[49] ในเดือนมกราคม 2005 มีการเลือกตั้งครั้งแรกนับตั้งแต่การรุกรานเกิดขึ้น และในเดือนตุลาคม 2005 ได้มีการอนุมัติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่,[1] ซึ่งตามมาด้วยการเลือกตั้งรัฐสภาในเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตาม การโจมตีของผู้ก่อความไม่สงบเพิ่มขึ้นเป็น 34,131 ครั้งในปี 2005 จาก 26,496 ครั้งในปี 2004[50] การเมืองการปกครองการแบ่งเขตการปกครองประเทศอิรักแบ่งออกเป็น 19 เขตผู้ว่าการ (อาหรับ: muhafazat, เคิร์ด: Pârizgah) ได้แก่
เขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน (Kurdistan Autonomous Region) ซึ่งได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ มีพื้นที่รวมบางส่วนของเขตผู้ว่าการทางเหนือ และปกครองตนเองในเรื่องราชการภายในส่วนใหญ่ กองทัพเศรษฐกิจโครงสร้าง
ระบอบเศรษฐกิจของอิรักเป็นแบบสังคมนิยมรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางนั่นคือรัฐบาลกลางของอิรัก มีระบบรัฐสวัสดิการมีการแจก ข้าว น้ำตาล ยารักษาโรคบางชนิด นม เสื้อผ้า ให้แก่ประชากรของอิรัก เศรษฐกิจของอิรักค่อนข้างถูกกดดันจากประชาคมโลกโดยเฉพาะในช่วงวิกฤติการณ์อ่าวเปอร์เซีย สงครามอิรัก และช่วงเหตุการณ์ 9/11 ทำให้เศรษฐกิจของอิรักบอบช้ำ แต่ยุทธปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญของอิรักคือ น้ำมัน อิรักเป็นประเทศที่มีน้ำมันไว้ในครอบครองเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากซาอุดีอาระเบีย โดยผลิตได้วันละ 2.58 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้อิรักกลายเป็นดินแดนที่น่าสนใจอย่างยิ่งโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจน้ำมันจากสหรัฐอเมริกาที่มุ่งหวังเข้าไปกอบโกยทรัพยากรล้ำค่าอย่างทองคำดำในอิรัก ประชากรศาสตร์เชื้อชาติสังคมของอิรักเป็นสังคมหลากหลายชาติพันธุ์ เป็นเหตุมาจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่เป็นแหล่งอารยธรรมมาหลายพันปี พลเมืองของอิรักที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น ได้แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ มุสลิมชีอะห์(ร้อยละ 65) และ มุสลิมสุหนี่ (ร้อยละ 20) นอกจากนี้ยังมีชาวเคิร์ด อยู่ในบริเวณเคอร์ดิสถาน ชาวเคริ์ดในอิรักมีอยู่ประมาณ 3,700,000 คน นับว่าเป็นคนส่วนน้อยในอิรัก และเนื่องด้วยรูปแบบการปกครองที่ให้สิทธิของชนชาติอาหรับ และผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจให้กับมุสลิมสุหนี่ ส่งผลให้ กลายเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างศาสนา และชาติพันธุ์ในอิรัก ทั้งกับมุสลิมด้วยกันเองคือ สุหนี่และชีอะห์ และ ยังปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวคิร์ดกับรัฐบาลกลางของอิรัก เพื่อเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมอีกด้วย ภาษาภาษาทางการของอิรัก คือ ภาษาอาหรับ และส่วนอื่นคือ ภาษาเคิร์ด เมืองใหญ่ศาสนาชาวอิรักส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม 96% แบ่งเป็นนิกาย ชีอะห์ 31.5% กับ ซุนนีย์ 64.5% ลัทธิเหตุผล กับ Yazdânism 2.0% ศาสนาคริสต์ 1.2% ศาสนาอื่น ๆ 0.8% อ้างอิง
บรรณานุรม
อ่านเพิ่มแหล่งข้อมูลอื่น
รัฐบาล
ข้อมูลทั่วไป
|