ฟุตบอลทีมชาติออสเตรเลีย
ฟุตบอลทีมชาติออสเตรเลีย เป็นทีมฟุตบอลตัวแทนจากประเทศออสเตรเลียในการแข่งขันระหว่างประเทศ อยู่ภายใต้การดูแลของสหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย มีชื่อเล่นคือ ซอกเกอร์รูส์ ในอดีตทีมชาติออสเตรเลียได้ร่วมแข่งขันในนามสมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนีย ก่อนจะย้ายมาร่วมเล่นกับทีมอื่นในทวีปเอเชียภายใต้สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียใน ค.ศ. 2006[2][3] และเข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียนตั้งแต่ ค.ศ. 2013 ออสเตรเลียชนะเลิศการแข่งขันโอเอฟซีเนชันส์คัพ 4 สมัย และชนะเลิศเอเชียนคัพ 1 สมัย ใน ค.ศ. 2015 ในฐานะเจ้าภาพ ส่งผลให้พวกเขาเป็นชาติเดียวที่ชนะเลิศการแข่งขันของฟีฟ่าในสองสมาพันธ์ (สมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนีย และสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย) ออสเตรเลียเข้าร่วมฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 6 ครั้งใน ค.ศ. 1974, 2006, 2010, 2014, 2018 และ 2022 และ ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ อีก 4 ครั้ง ประวัติยุคแรกฟุตบอลทีมชาติออสเตรเลียรวมตัวกันครั้งแรกใน ค.ศ. 1922 เพื่อร่วมแข่งขันทัวร์พบกับทีมชาตินิวซีแลนด์จำนวน 3 นัด[4] ผลการแข่งขันปรากฏว่าออสเตรเลียเสมอหนึ่งนัด และแพ้สองนัด และตลอดระยะเวลา 36 ปีหลังจากนั้น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแอฟริกาใต้ได้ลงแข่งขันรายการทัวร์ (เกมกระชับมิตร) ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง[5] ในช่วงเวลาดังกล่าว ออสเตรเลียยังเป็นเจ้าภาพแข่งขันรายการทัวร์พบแคนาดา และอินเดียใน ค.ศ. 1924 และ 1938 ตามลำดับ[6][7] ออสเตรเลียพบกับความพ่ายแพ้ที่ขาดลอยที่สุด (นับรวมทุกรายการ) โดยแพ้ต่อทีมชาติอังกฤษด้วยผลประตู 0–17 ในการแข่งขันทัวร์วันที่ 30 มิถุนายน 1951[8] ออสเตรเลียไม่มีโอกาสร่วมแข่งขันรายการระดับนานาชาติเลยกระทั่งในโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ซึ่งพวกเป็นเจ้าภาพ ณ เมืองเมลเบิร์น อย่างไรก็ตาม การขาดผู้เล่นที่มีประสบการณ์ในการแข่งขันระดับสูงส่งผลให้พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จ[9] และด้วยการเดินทางทางอากาศที่มีราคาต่ำลง ทำให้ออสเตรเลียได้ร่วมแข่งขันกับชาติอื่น ๆ ในต่างทวีปมากขึ้น แต่ด้วยสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศ ทำให้เกิดความยากลำบากในการเดินทาง ซึ่งผลต่อการพัฒนาทีมตลอดระยะเวลา 30 ปีต่อมา ความสำเร็จรายการแรกของพวกเขาคือการชนะเลิศฟุตบอลอิสรภาพของเวียดนามใต้ใน ค.ศ. 1967 แต่ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับในประเทศ[10] ภายหลังจากตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 1966 และ 1970 แพ้ต่อเกาหลีเหนือ และอิสราเอลตามลำดับ ออสเตรเลียได้ร่วมแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1974 ที่ประเทศเยอรมนีตะวันตก ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มโดยเสมอชิลี และแพ้สองนัดต่อเยอรมนีตะวันออก และ เยอรมนีตะวันตก และไม่สามารถยิงประตูในการแข่งขันได้เลยเนื่องจากทีมชุดนั้นเต็มไปด้วยผู้เล่นขาดประสบการณ์ และออสเตรเลียต้องห่างหายจากฟุตบอลโลกไปอีกหลายปี กระทั่งได้กลับมาเข้าร่วมอีกครั้งในฟุตบอลโลก 2006[11] โดยในช่วงเวลานั้น พวกเขาแพ้ในรอบคัดเลือกทุกครั้ง แพ้ต่อสกอตแลนด์ใน ค.ศ. 1986, แพ้อาร์เจนตินาใน ค.ศ. 1994 แพ้อิหร่านใน ค.ศ. 1998 และแพ้อุรุกวัยใน ค.ศ. 2002 พัฒนาทีม และเข้าร่วมสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียแม้จะล้มเหลวในฟุตบอลโลก แต่ออสเตรเลียทำผลงานได้ดีช่วงนั้นเมื่อพบกับทีมจากยุโรปและอเมริกาใต้ พวกเขาเอาชนะแชมป์โลกอย่างอาร์เจนตินา 4–1 ในรายการ Australian Bicentennial Gold Cup ใน ค.ศ. 1988[12] ถัดมาในฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ค.ศ. 1997 ออสเตรเลียเสมอกับบราซิล แชมป์ฟุตบอลโลก 1994 ตามด้วยการชนะอุรุกวัย 1–0 ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแต่แพ้บราซิล 0–6[13] และในการแข่งขันรายการเดียวกันใน ค.ศ. 2001 ออสเตรเลียเอาชนะแชมป์ฟุตบอลโลก 1998 อย่างฝรั่งเศสได้ในรอบแบ่งกลุ่ม และคว้าอันดับสามได้จากการชนะบราซิล 1–0[14] และยังบุกไปชนะอังกฤษ 3–1 ในเกมกระชับมิตรที่สนามบุลินกราวนด์ ซึ่งนัดนั้นเป็นการลงสนามในนามทีมชาติเกมแรกของเวย์น รูนีย์[15] ในช่วงต้นปี 2005 มีรายงานว่า สหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลียได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการเข้าร่วมสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย และเป็นการยุติช่วงเวลา 40 ปีในการเป็นสมาชิกสมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนีย[16] นักวิจารณ์และแฟนบอลหลายคนรวมถึงอดีตกัปตันทีมชาติออสเตรเลีย จอห์นนี วอร์เรน เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว โดยกล่าวว่าเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานของทีมชาติออสเตรเลีย ในวันที่ 13 มีนาคม 2005 คณะกรรมการบริหารของสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เชิญออสเตรเลียเข้าร่วมสมาพันธ์ และหลังจากสมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนียรับรองการย้ายออกของออสเตรเลีย สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติได้อนุมัติในวันที่ 30 มิถุนายน 2005 โดยมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2006 แม้ว่าก่อนหน้านั้นออสเตรเลียจะลงแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในโซนโอเชียเนีย แฟรงก์ ฟารินา ผู้ฝึกสอนได้ลาออกหลังจากทำผลงานย่ำแย่ในฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2005 และ คืส ฮิดดิงก์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ฝึกสอนคนใหม่ ออสเตรเลียซึ่งเป็นทีมอันดับ 49 ของโลกในขณะนั้นต้องแข่งขันกับทีมอันดับ 18 อย่างอุรุกวัยในรอบเพลย์ออฟเพื่อเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2006 ภายหลังจากออสเตรเลียชนะจาไมกา 5–0 ในเกมกระชับมิตร พวกเขาลงแข่งนัดแรกกับอุรุกวัยและแพ้ 0–1 ก่อนจะกลับไปเล่นนัดที่สองที่ซิดนีย์[17] และพวกเขาเอาชนะได้ 1–0 เช่นกันจากประตูของ มาร์ค เบรสชาโน ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษ แต่ก็ไม่สามารถทำประตูเพิ่มกันได้ และออสเตรเลียชนะการดวลจุดโทษไป 4–2 ส่งผลให้พวกเขาเป็นชาติแรกที่ได้แข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายโดยชนะจุดโทษในเพลย์ออฟ[18] และเป็นการกลับไปแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในรอบ 32 ปี โกลเดน เจเนอเรชั่นออสเตรเลียลงแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในฐานะทีมที่มีอันดับโลกต่ำสุดเป็นอันดับสองในการแข่งขันครั้งนั้น แม้อันดับของพวกเขาจะดีขึ้นจากการทำผลงานได้ดีในการเสมอเนเธอร์แลนด์ 1–1 รวมถึงการชนะทีมแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปอย่างกรีซ ซึ่งแข่งขันกันที่สนามคริกเก็ตเมลเบิร์น ความจุกว่า 100,000 ที่นั่งและตั๋วได้ถูกขายหมดทุกที่นั่ง ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 ออสเตรเลียอยู่ในกลุ่มเอฟร่วมกับบราซิล, ญี่ปุ่น และโครเอเชีย ออสเตรเลียลงสนามนัดแรกเอาชนะญี่ปุ่น 3–1 จากสองประตูของ ทิม เคฮิลล์ และหนึ่งประตูจาก จอห์น อลอยซี่ และเป็นการสร้างสถิติใหม่โดยออสเตรเลียทำประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก, เป็นชัยชนะครั้งแรกในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายของทีมจากโอเชียเนีย รวมทั้งเป็นครั้งแรกในฟุตบอลโลกที่มีการทำสามประตูในช่วงเจ็ดนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน[19] ออสเตรเลียแพ้บราซิล 0–2 ในนัดต่อมา แต่เอาชนะโครเอเชียได้ในนัดสุดท้าย 1–0 ผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ก่อนจะแพ้อิตาลี 0–1 ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายจากการเสียจุดโทษซึ่งเป็นลูกปัญหาในช่วงท้ายเกม[20] ฮิดดิงก์ประกาสลาออก แต่ครั้งนี้ก็ถือเป็นความสำเร็จของออสเตรเลีย โดยพวกเขาได้รับรางวัลทีมยอดเยี่ยมของสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียในปีนั้น[21] และทีมชุดนั้นยังได้รับการยกย่องเป็น โกลเดน เจเนอเรชัน จากการสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกในฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก[22] ออสเตรเลียร่วมแข่งขัน เอเชียนคัพ 2007 เป็นครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของ เกรแฮม อาร์โนลด์ โดยผู้เล่น 15 คนอยู่ในชุด โกลเดน เจเนอเรชั่น ที่สร้างชื่อในฟุตบอลโลก พวกเขาอยู่ในกลุ่มเอร่วมกับโอมาน (เสมอ 1–1 ), ไทย (ชนะ 4–0) และ อิรัก (แพ้ 1–3) ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายแต่แพ้จุดโทษญี่ปุ่น ก่อนที่อาร์โนลด์จะคุมทีมนัดสุดท้ายในเกมกระชับมิตรที่พวกเขาแพ้อาร์เจนตินา 0–1 และเขาถูกแทนที่โดย ปิม เฟอร์เบก ชาวดัดซ์ ในเดือนธันวาคม 2007[23] ออสเตรเลียลงแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชียเป็นครั้งแรกในรอบคัดเลือก - เอเอฟซี รอบที่ 3 พวกเขาอยู่ร่วมกับกาตาร์, อิรัก และจีน และผ่านเข้ารอบในฐานะทีมอันดับหนึ่ง ตามด้วยการเป็นที่หนึ่งอีกครั้งในรอบคัดเลือกรอบที่ 4 ซึ่งอยู่ร่วมกับญี่ปุ่น, บาห์เรน, กาตาร์ และอุซเบกิสถาน โดยผ่านเข้ารอบสุดท้ายทั้งที่ยังเหลือการแข่งขันอีกสองนัด โดยจบการแข่งขันด้วยการมีคะแนนมากกว่าทีมอันดับสองอย่างญี่ปุ่น 5 คะแนน ออสเตรเลียอยู่ในกลุ่มดีในฟุตบอลโลก 2010 ร่วมกับเยอรมนี, กานา และเซอร์เบีย พวกเขาลงแข่งขันนัดแรกแพ้เยอรมนี 0–4 ปิม เฟอร์เบก ได้รับการวิจารณ์ถึงการจัดตัวผู้เล่นและการวางแผน โดยเขาไม่ส่งผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าลงไปเป็น 11 ตัวจริงแม้แต่คนเดียวในนัดนั้น[24] เอสบีเอส สื่อของออสเตรเลียนำเสนอข่าวเรียกร้องให้ทำการปลดเฟอร์เบก[25] ออสเตรเลียเสมอกานาในนัดที่สอง 1–1 ปิดท้ายด้วยการชนะเซอร์เบีย 2–1 แต่ไม่เพียงพอต่อการเข้ารอบ เฟอร์เบกถูกแทนที่โดย โฮลเกอร์ โอซีค[26] ซึ่งพาทีมทำผลงานยอดเยี่ยมในเอเชียนคัพ 2011 ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศก่อนจะแพ้ญี่ปุ่น 0–1 ในช่วงต่อเวลา ใน ค.ศ. 2012 ออสเตรเลียตอบรับการร่วมแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติเอเชียตะวันออก[27] และเดินทางไปแข่งขันรอบคัดเลือกที่ฮ่องกงและคว้าอับดับหนึ่งได้โดยมีคะแนนเหนือฮ่องกง, เกาหลีเหนือ, กวม และไต้หวัน แต่พวกเขาจบอันดับสุดท้ายในการแข่งขันรอบสุดท้าย ตามหลังญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และ จีน[28] ต่อมาในวันที่ 23 สิงหาคม 2013 ออสเตรเลียได้รับสถานะเป็นสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียนในทางนิตินัย[29] กระนั้น พวกเขาไม่ได้ร่วมแข่งขันรายการสำคัญกับชาติต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน เช่น ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน เนื่องจากมาตรฐานทีมที่เหนือกว่าทีมอื่น ๆ มาก[30] ออสเตรเลียเตรียมความพร้อมสำหรับฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก โดยลงเล่นเกมกระชับมิตรหลายนัด และทำผลงานยอดเยี่ยม พบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (เสมอ 0–0), เยอรมนี (ชนะ 2–1), นิวซีแลนด์ (ชนะ 3–0), เซอร์เบีย (เสมอ 0–0) และเวลส์ (ชนะ 2–1) ลงแข่งขันรอบคัดเลือกรอบที่สามและจบอันดับหนึ่ง ก่อนจะจบด้วยอันดับสองในรอบที่สี่ได้สิทธิ์แข่งขันฟุตบอลโลก 2014[31] ต่อมาออสเตรเลียแพ้สองนัดติดต่อกันในเกมกระชับมิตรกับบราซิล และฝรั่งเศส 0–6 ทั้งสองนัด และโอซีคลาออก สายเลือดใหม่ และแชมป์เอเชียนคัพ (2015–ปัจจุบัน)แองเจลอส พอสเตคูกลู เข้ามาคุมทีมต่อ ซึ่งได้รับมอบหมายให้สร้างทีมขึนใหม่เนื่องจากที่ผ่านมาสหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลียมองว่าทีมชุดนี้พึ่งพานักเตะแกนหลักในยุค โกลเดน เจเนอเรชั่น มากเกินไป พอสเตคูกลูคุมทีมนัดแรกเอาชนะคอสตาริกา 1–0 ในเกมกระชับมิตรจากประตูของทิม เคฮิลล์[32] ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย พวกเขาอยู่กลุ่มบีร่วมกับแชมป์เก่าอย่างสเปน, รองแชมป์เก่าอย่างเนเธอร์แลนด์ รวมถึงชิลี พวกเขาแพ้ชิลีในนัดแรก 1–3 โดยเสียสองประตูในช่วง 15 นาทีแรก และสู้กับเนเธอร์แลนด์ได้สูสีในนัดที่สองแต่ก็แพ้ 2–3 ปิดท้ายด้วยการแพ้สเปน 0–3 แต่แฟน ๆ ของออสเตรเลียก็ยกย่องทีมจากการทำผลงานได้ดีแม้อยู่ในกลุ่มที่หนักร่วมกับทีมชั้นนำอีกสามทีม และได้รับการยกย่องว่าทีมชุดนี้จะเป็นสายเลือดใหม่หรือ โกลเดน เจเนอเรชั่น ยุคใหม่[33] ออสเตรเลียแพ้เบลเยียมในเกมกระชับมิตร 0–2 ก่อนจะคว้าชัยชนะนัดแรกในรอบสิบเดือน และเป็นชัยชนะนัดที่สองของพอสเตคูกลูในนัดที่ชนะซาอุดีอาระเบีย 3–2 ที่ลอนดอน ก่อนจะเสมอสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และแพ้สองนัดต่อกาตาร์และญี่ปุ่น ส่งผลให้อันดับโลกของพวกเขาร่วงไปอันดับที่ 94 และ 102 ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีม[34] ออสเตรเลียเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2015 โดยเป็นการร่วมแข่งขันรายการนี้เป็นครั้งที่สามติดต่อกัน ในสองนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาเอาชนะคูเวต (4–1) และโอมาน (4–0) ได้อย่างง่ายดาย ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปทันที แม้จะแพ้เกาหลีใต้ (1–3) ในนัดสุดท้ายที่บริสเบน ตามด้วยการชนะจีน 2–0 ในรอบก่อนรองชนะเลิศจากสองประตูของ ทิม เคฮิลล์ และชนะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในรอบรองชนะเลิศ 2–0 ผ่านเข้าชิงชนะเลิศสองสมัยติดต่อกัน และเอาชนะเกาหลีใต้ 2–1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ คว้าแชมป์เป็นสมัยแรก[35] และได้สิทธิ์แข่งขัน ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2017 แต่ตกรอบแบ่งกลุ่ม ออสเตรเลียผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก 2018 และแบร์ต ฟัน มาร์ไวก์[36] อดีตผู้ฝึกสอนทีมชาติเนเธอร์แลนด์เข้ามารับตำแหน่งต่อจากพอสเตคูกลู ใน ค.ศ. 2017[37] และเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2018 ภายหลังการประกาศรายชื่อนักเตะที่จะลงแข่งขันฟุตบอลโลก สหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลียประกาศว่า เกรแฮม อาร์โนลด์ จะรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนภายหลังจบฟุตบอลโลก 2018 ไปจนถึงฟุตบอลโลก 2022[38] ในฟุตบอลโลก 2018 ออสเตรเลียอยู่ร่วมกลุ่มกับเดนมาร์ก, ฝรั่งเศส และเปรู ในนัดแรกพวกเขาแพ้ฝรั่งเศส 1–2 โดยได้รับความชื่นชมจากผลงาน[39] และยังเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม เสมอเดนมาร์กในนัดที่สอง 1–1[40] ก่อนจะตกรอบโดยแพ้เปรูในนัดสุดท้าย 0–2[41] ฟัน มาร์ไวก์ ลาออกเพื่อเปิดทางให้กับ อาร์โนลด์ ด้วยความคาดหวังว่าออสเตรเลียจะทำผลงานได้ดีและป้องกันแชมป์เอเชียนคัพได้ในปี 2019 พวกเขาอยู่ร่วมกลุ่มกับจอร์แดน, ซีเรีย และ ปาเลสไตน์ พวกเขาแพ้ในนัดแรกต่อจอร์แดนอย่างเหนือความคาดหมาย 0–1[42] แต่ยังเข้าสู่รอบต่อไปจากการชนะในสองนัดถัดมาที่พบกับ ปาเลสไตน์ (3–0) และ ซีเรีย (3–2)[43] ตามด้วยการชนะจุดโทษอุซเบกิสถานในรอบ 16 ทีมสุดท้าย[44] แต่พวกเขาแพ้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เจ้าภาพ 0–1 ในรอบก่อนรองชนะเลิศที่สนามกีฬาฮัซซาอ์ บิน ซายิด สนามเดียวกับที่พวกเขาแพ้จอร์แดนในนัดเปิดสนาม[45] ในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2 ออสเตรเลียชนะรวด 8 นัดผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 อย่างง่ายดาย โดยในรอบที่ 3 นี้พวกเขาอยู่ร่วมกับซาอุดีอาระเบีย, ญี่ปุ่น, โอมาน, จีน และ เวียดนาม แต่พวกเขาจบอันดับสาม ส่งผลให้ต้องไปแข่งขันรอบที่ 4 พบกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเอาชนะไปได้ 2–1 ผ่านเข้าไปพบเปรูในรอบเพลย์ออฟระหว่างสมาพันธ์ ก่อนจะเอาชนะในการดวลจุดโทษตัดสินหลังจากเสมอกัน 0–0 ส่งผลให้พวกเขาผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งที่ 6[46] ออสเตรเลียอยู่ร่วมกลุ่มกับฝรั่งเศส, เดนมาร์ก และ ตูนิเซีย ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 และผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายก่อนจะแพ้อาร์เจนตินา 1–2 ในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2023 ออสเตรเลียผ่านรอบแบงกลุ่มในฐานะแชมป์กลุ่มด้วยการมีเจ็ดคะแนน ตามด้วยการชนะอินโดนีเซียด้วยผลประตู 4–0 แต่พวกเขาแพ้เกาหลีใต้ในรอบก่อนรองชนะเลิศในช่วงต่อเวลา 1–2 ชื่อเรียกทีมชาติออสเตรเลียมีฉายาที่เรียกกันทั่วไปว่า ซอกเกอร์รูส์ (Socceroos) คิดค้นโดย โทนี ฮาลสเดต ผู้สื่อข่าวชาวออสเตรเลียในปี 1967 ในการรายงานข่าวของเขาในขณะทีมร่วมแข่งขันรายการพิเศษที่เวียดนามในช่วงสงครามเวียดนาม และนับตั้งแต่นั้นชื่อนี้ก็เป็นที่นิยมเรียกทั้งในกลุ่มผู้สนับสนุนในประเทศ และสหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย ชื่อนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของชาวออสเตรเลียในการใช้ภาษาพูดในประเทศ[47] รวมถึงความนิยมในการใช้ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย (Australian English) ในการตั้งชื่อทีมกีฬา[48] และชื่อนี้ยังสื่อความหมายถึงจิงโจ้ (Kangaroo) ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของประเทศ คำว่า รูส์ ยังเป็นที่นิยมในการเรียกทีมกีฬาระดับชาติอื่น ๆ ของออสเตรเลียเช่น Hockeyroos ใช้สำหรับทีมฮอกกี้หญิงทีมชาติออสเตรเลีย และในปัจจุบันสายการบินควอนตัสเป็นผู้สนับสนุนหลักของทีมชาติออสเตรเลีย จึงนิยมเรียกกันว่าควอนตัสซอกเกอร์รูส์ ผลงาน
นักเตะชุดปัจจุบันรายชื่อผู้เล่น 26 คนที่ถูกเรียกตัวในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022[49][50] ข้อมูลการลงเล่นและการทำประตูนับถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 หลังจากการพบกับ ตูนิเซีย
อดีตผู้เล่นที่มีชื่อเสียง
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ฟุตบอลทีมชาติออสเตรเลีย |