อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ)
เอบราแฮม ลิงคอล์น (อังกฤษ : Abraham Lincoln , 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 – 15 เมษายน ค.ศ. 1865) เป็นทนายความและรัฐบุรุษชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 16 แห่งสหรัฐ ตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 1861 จนกระทั่งถูกลอบสังหารเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1865 ลิงคอล์นประสบความสำเร็จในการนำพาประเทศผ่านพ้นสงครามกลางเมืองอเมริกา ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ทางรัฐธรรมนูญ ทางทหารและศีลธรรมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ[ 2] [ 3] ด้วยความสำเร็จดังกล่าว ลิงคอล์นจึงสามารถรักษาความเป็นสหภาพของสหรัฐเอาไว้ได้ นอกจากนี้เขายังนำทางไปสู่การเลิกทาส สร้างความมั่งคงแข็งแกร่งให้กับรัฐบาลกลาง ตลอดจนส่งเสริมการเศรษฐกิจและการเงินให้ทันสมัย
ลิงคอล์นเกิดในครอบครัวยากจน ณ เมืองฮ็อดเจนวิลล์ รัฐเคนทักกี ซึ่งสมัยนั้นเป็นพรมแดนทางตะวันตกของสหรัฐ ส่วนใหญ่ลิงคอล์นศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง และได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพทนายความในรัฐอิลินอยส์ ใน ค.ศ. 1836 เขากลายเป็นผู้นำพรรควิก และได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐอิลลินอยระหว่าง ค.ศ. 1834 - 1842 และต่อมาได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ใน ค.ศ. 1846 โดยดำรงตำแหน่งอยู่หนึ่งสมัย ลิงคอล์นเน้นการปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้ทันสมัย และต่อต้านสงครามเม็กซิโก-อเมริกา หลังหมดวาระลิงคอล์นกลับไปประกอบวิชาชีพกฎหมายจนประสบความสำเร็จ เมื่อกลับมาสู่เวทีการเมืองอีกครั้งใน ค.ศ. 1854 ลิงคอล์นกลายเป็นผู้นำก่อตั้งพรรคใหม่ คือ พรรคริพับลิกัน ในระหว่างการโต้วาที กับตัวแทนพรรคเดโมแครต สตีเฟน เอ. ดักลัส ใน ค.ศ. 1858 ลิงคอล์นแสดงจุดยืนทางการเมืองที่คัดค้านการขยายตัวของสถาบันทาส แต่ก็แพ้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแก่ดักลัส คู่แข่งผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองชนิดไม่แทรกแทรงการมีอยู่ของสถาบันทาส โดยเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ประชาชนควรมีสิทธิกำหนดเอง
ลิงคอล์นกลายเป็นตัวแทนผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคริพับลิกัน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1860 ในฐานะนักการเมืองผู้มีทัศนะทางการเมืองเป็นกลาง (moderate) และมาจากรัฐที่คะแนนเสียงไม่แน่นอน (swing state) แต่แม้จะแทบไม่ได้รับเสียงสนับสนุนเลยในทางใต้ ลิงคอล์นก็กวาดคะแนนเสียงในทางเหนือและได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐใน ค.ศ. 1860 ชัยชนะการเลือกตั้งของลิงคอล์นกระตุ้นให้เจ็ดรัฐทาสทางใต้ตัดสินใจประกาศแยกตัวออกจากสหภาพ และก่อตั้งสมาพันธรัฐ ทันทีโดยไม่รอให้มีพิธีเข้ารับตำแหน่งเสียก่อน การถอนตัวของนักการเมืองฝ่ายใต้ ทำให้พรรคของลิงคอล์นกุมที่นั่งในรัฐสภาคองเกรสได้อย่างเด็ดขาด แต่ความพยายามที่จะประนีประนอมต่างจบลงด้วยความล้มเหลว และเหลือเพียงสงครามเป็นทางเลือกสุดท้าย
สงครามกลางเมืองเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1861 เมื่อกองกำลังของนายพลโบริการ์ด แห่งฝ่ายสมาพันธรัฐเปิดการยิงโจมตีฟอร์ตซัมเทอร์ รัฐฝ่ายเหนือให้การตอบรับการเรียกระดมพลอย่างแข็งขัน ลิงคอล์นดำเนินกลยุทธการเมืองอย่างชาญฉลาด และเขายังเป็นนักปราศัยที่มีทักษะการพูดที่ทรงพลัง สมารถโน้มน้าวจิตใจผู้คนได้[ 4] สุนทรพจน์ที่เกตตีสเบิร์ก ของเขาใน ค.ศ. 1863 เป็นสุนทรพจน์ที่มีการยกคำพูดไปอ้างอิงมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา[ 5] และเป็นคำนิยมอันอุโฆษ ต่ออุดมคติแห่งหลักการชาตินิยม สาธารณรัฐนิยม สิทธิเท่าเทียม เสรีภาพ และประชาธิปไตย
ลิงคอล์นให้ความสนใจต่อมิติทางการทหาร และกิจการในยามสงครามอย่างใกล้ชิด เป้าหมายของเขาคือการรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว สมัยประธานาธิบดีของลิงคอล์นมีจุดเด่นที่การใช้อำนาจฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี (presidential power) อย่างกว้างขวางและเฉียบขาด เมื่อรัฐทางใต้ประกาศตนเป็นกบฏต่อสหภาพ ลิงคอล์นจึงใช้อำนาจของตนยับยั้งการใช้ เฮบีอัส คอร์ปัส (habeas corpus) หรือ หมายสั่งเรียกไต่สวนเหตุผลในการคุมขัง ในสถานการณ์นั้น ซึ่งนำไปสู่การจับกุมและกักขังผู้ต้องสงสัยว่าสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนหลายพันคนโดยไม่มีการไต่สวน ในด้านการทูต ลิงคอล์นสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางการทหารกับอังกฤษ โดยสามารถจัดการกับกรณีเรือ เทรนต์ (Trent affair) ในช่วงปลาย ค.ศ. 1861 ได้อย่างเฉียบขาด ลิงคอล์นบริหารการสงครามด้วยความรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคัดเลือกนายพลระดับสูง ดังเช่นการเลือก ยูลิสซิส เอส. แกรนท์ เข้ามาเป็นผู้บัญชาการสั่งการกองทัพแทนที่ จอร์จ มี้ด ซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปกองทัพ ทำให้ฝ่ายสหภาพสามารถทำสงครามได้หลายภูมิภาคการรบ หรือเขตสงคราม (theater) พร้อม ๆ กัน[ 6] ลิงคอล์นให้การสนับสนุน นายพลแกรนต์ ทำสงครามที่ทั้งยืดเยื้อ นองเลือดและเบ็ดเสร็จ ฝ่ายสมาพันธรัฐแม้จะได้เปรียบจากการเป็นฝ่ายตั้งรับ ก็อ่อนแรงลงไปเรื่อย ๆ โดยการโจมตีของฝ่ายสหภาพไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบนสนามรบ แต่ยังรวมถึงการปิดกั้น และทำลายทางคมนาคนขนส่ง ทั้งทางแม่น้ำและทางรถไฟ รวมไปถึงฐานทางเศรษฐกิจของฝ่ายสมาพันธรัฐ จนในที่สุดแกรนต์สามารถเข้าเดินทัพเข้ายึดริชมอนด์ เมืองหลวงของสมาพันธรัฐได้ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1865
ในส่วนภาระกิจด้านการเลิกทาส ลิงคอล์นไม่เพียงแต่ใช้สงครามเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย แต่ยังดำเนินกิจกรรมทางนโยบายอื่น ๆ เช่น การออกการประกาศเลิกทาส ใน ค.ศ. 1863 (หลังได้รับชัยชนะในยุทธการที่แอนตีแทม) การเกลี้ยกล่อมให้รัฐชายแดนประกาศให้สถาบันทาสเป็นสิ่งผิดกฎหมาย การออกกฎหมาย Confiscation Act เพื่อยึดและปลดปล่อยทาสจากผู้ที่ถูกศาลพิพากษาว่าให้การสนับสนุนฝ่ายสมาพันธรัฐ[ 7] [ 8] และช่วยผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐครั้งที่สิบสาม จนผ่านสภาคองเกรสในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1865 ซึ่งห้ามการมีและซื้อขายทาสตลอดไป ในทุก ๆ พื้นที่ที่อยู่ใต้การปกครองของสหรัฐ
ลิงคอล์นเป็นนักการเมืองที่ฉลาดหลักแหลม มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสถานการณ์อำนาจในแต่ละมลรัฐ เขาพยายามเกลี้ยกล่อมระหว่างสมาชิกพรรคเดโมแครต สายสงครามซึ่งต้องการให้มีการประนีประนอมในประเด็นเรื่องสถาบันทาส และสมาชิกริพับลิกันหัวก้าวร้าว ซึ่งต้องการกำจัดกบฏฝ่ายใต้และสถาบันทาสให้สิ้นซากโดยเร็วที่สุด[ 9] [ 10] ยิ่งไปกว่านั้น เขายังบริหารแคมเปญจ์การลงเลือกตั้งใหม่ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1864 ด้วยตนเอง ช่วงปลายสงคราม ลิงคอล์นถือมุมมองการฟื้นฟูบูรณะ (Reconstruction) แบบผ่อนผัน โดยแสวงการรวมและบูรณะประเทศอย่างรวดเร็ว ผ่านนโยบายการปรองดองที่ไม่มีเงื่อนไขยุ่งยาก ในสภาวะที่ความแตกแยกอย่างขมขื่นยังไม่ลดลงไป อย่างไรก็ดี เพียงห้าวันหลังการยอมจำนนของโรเบิร์ต อี. ลี ผู้บัญชาการกองทัพของฝ่ายสมาพันธรัฐ ลิงคอล์นถูกลอบยิงในโรงละคร โดยนักแสดงผู้ฝักใฝ่สมาพันธรัฐ จอห์น วิลค์ส บูธ (John Wilkes Booth) และเสียชีวิตในวันต่อมา การลอบสังหารลิงคอล์นเป็นการลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐเป็นครั้งแรก และเป็นเหตุการณ์ทำให้ทั้งประเทศตกอยู่ในความโศกเศร้า นักวิชาการและสาธารณชนชาวอเมริกันจัดให้ลิงคอล์นเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีสหรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาจวบจนปัจจุบัน[ 11] [ 12]
ประวัติ
ชิวิตตอนต้น
เพิงไม้หลังนี้เป็นสถานที่เกิดของลิงคอล์น
เอบราแฮม ลิงคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 เป็นบุตรของ โทมัส ลิงคอล์น และแนนซี่ แฮงค์ ทั้งสองไม่ได้เรียนหนังสือและประกอบอาชีพชาวนาในตะวันตกของเมือง ฮาร์ดิน รัฐแมสซาชูเซตส์ บรรพบุรุษของลิงคอล์นมาตั้งรกรากที่เมืองนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ส่วนทายาทของเขาได้ย้ายถิ่นฐานจาก รัฐเพนซิลเวเนีย ไปยัง รัฐเวอร์จิเนีย ต่อจากนั้นก็ไปยังเมืองชนบทที่ไม่ได้รับการพัฒนา[ 13]
บางครั้งโธมัส ลิงคอล์น พ่อของอิบราฮัม ลิงคอล์น ถูกคาดหวังและนำไปเปรียบเทียบกับพลเมืองที่มั่งคั่ง ในเขตพื้นที่เพาะปลูกใน รัฐเคนทักกี เขาทำให้น้ำท่วมฟาร์มในช่วงฤดูใบไม้ผลื เดือนธันวาคม ค.ศ. 1808 เพื่อนำเงินสด $200 นำไปใช้หนี้[ 14] ครอบครัวของลิงคอล์นชอบไปทำพิธีการทางศาสนาที่โบสถ์ ฮาร์ดเชลล์ แบบติสท์ แต่ตัวของ อับราฮิม ลิงคอล์น ไม่เคยไปร่วมกับทางครอบครัวเลย
ใน ค.ศ. 1816 ครอบครัวของลิงคอล์นถูกบังคับให้มาเริ่มต้นทำนาใหม่ที่เพอร์รี่ รัฐอินดีแอนา [ 15] จากนั้นเขาได้บันทึกไว้ว่า การย้ายถิ่นฐานในครั้งนี้เปรียบเสมือนการตกเป็นทาส
เมื่อลิงคอล์นอายุ 9 ขวบ แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคที่เกิดจากการบริโภคน้ำนมจากแม่โคที่กินอาหารสัตว์ ที่เป็นพิษ เมื่ออายุ 34 หลังจากนั้นไม่นาน พ่อของเขาได้แต่งงานใหม่กับ ซาห์ร่า บุช จอห์นสัน และเอบราแฮม ลิงคอล์นเองก็ได้รับความอบอุ่นจากแม่เลี้ยงคนใหม่นี้มาก ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อของเขายังคงห่างเหิน[ 16]
ค.ศ. 1830 หลังจากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาที่ดินในรัฐอินเดียนา บานปลายออกไปมากขึ้น ครอบครัวลิงคอล์นจึงตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่สาธารณะ[ 17] เมคอน รัฐอิลลินอย หลังจากที่พายุฤดูร้อนพัดกระหน่ำจนบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ครอบครัวของเขาจึงตัดสินใจกลับไปอินเดียนา ถัดมา พ่อของลิงคอล์นย้ายครอบครัวไปยังบ้านและที่ดินใหม่ที่เมืองโคลส์ รัฐอิลลินอย
ลิงคอล์นใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนเพียง 18 เดือนขาน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาชอบที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่า นอกจากนี้ลิงคอล์นยังมีทักษะเกี่ยวกับการใช้ขวานอีกด้วย[ 18]
ภาพแรกของมาดามลิงคอล์น ถ่ายโดย ชีเฟิร์ด ใน 1846
ชีวิตครอบครัว
ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1842 เอบราแฮม ลิงคอล์น แต่งงานกับ แมร์รี่ ทอดด์ ลิงคอล์น ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าของทาสที่มีชื่อเสียงจากเคนทักกี ทั้งคู่มีบุตรด้วยกับ 4 คน โรเบิร์ต ทอดด์ เกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1843 ซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่อยู่รอดมาจนถึงวัยบรรลุนิติภาวะ ส่วนบุตรคนอื่น ๆ เสียชีวิตเมื่อวัยเด็ก เอ็ดวาร์ด แบ็งเกอร์ ลิงคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1846 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1850 วิลเลียม วอลเลส ลิงคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่สปริงฟิลด์ ค.ศ. 1850 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1862 ที่ วอชิงตัน ดี.ซี. โทมัส แทด ลิงคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1853 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1871 ในชิคาโก
ชีวิตการทำงานและบทบาททางการเมือง
1832 ขณะอายุได้ 23 ลิงคอล์นเข้าหุ้นส่วนซื้อร้านเล็ก ๆ ด้วยสินเชื่อ ในนิวซาเล็ม รัฐอิลินอยส์ ขณะนั้นสภาพเศรษฐกิจกำลังขยายตัวเร็ว แต่ธุรกิจของลิงคอล์นกลับต้องดิ้นรน และสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจขายหุ้นส่วนที่ตนถือ ในเดือนมีนาคมนั้นเอง ลิงคอล์นก็เริ่มอาชีพทางการเมือง
การเมืองพรรคริพับลิกันระหว่าง 1854-1860
การเลือกตั้งประธานาธิบดีใน ค.ศ. 1860
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 1860 (พ.ศ. 2403) มีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน และเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ผลักดันประเทศอเมริกาเข้าสู่สงครามกลางเมือง ประธานาธิบดี เจมส์ บิวแคนัน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น เป็นชาวอเมริกันทางตอนเหนือที่มีความคิดเห็นเข้าข้างฝ่ายใต้ ประธานาธิบดีบิวแคนันมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการทำให้เนื้อคำพิพากษาคดี เดร็ด สก๊อต ออกมากว้างในลักษณะเป็นคุณกับนายทาสเช่นนั้น โดยบิวแคนันเป็นคนเขียนจดหมายชักจูงให้ตุลาการสมทบแห่งศาลสูงสุดสหรัฐ โรเบิร์ต เกรีย (Robert Grier) โหวตร่วมกับฝ่ายเสียงข้างมากในคณะศาลให้ สก็อตต์ ทาสผิวดำแพ้คดี[ 19] เพื่อให้ศาลสามารถออกคำพิพากษาปฏิเสธอำนาจของรัฐบาลกลางได้อย่างเด็ดขาด ในประเด็นที่เกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาส การเข้ากดดันตุลาการในคดี เดร็ด สก็อตต์ ของ ปธน. บิวแคนันกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว และก่อเกิดผลสะท้อนกลับเชิงลบทางการเมืองต่อพรรคเดโมแครตเป็นอย่างยิ่ง ความไม่พอใจในคำพิพากษา เดร็ด สก็อตต์ ของชาวอเมริกันในรัฐทางเหนือ ช่วยให้พรรคริพับลิกันได้รับชัยชนะได้ที่นั่งสภาผู้แทนเพิ่มในการเลือกตั้งกลางเทอม 1858[ 20] และเข้าควบคุมได้ทั้งสภาคองเกรสในการเลือกตั้งใหญ่ 1860
ความแตกแยกในพรรคเดโมแครต
"เดอะเรลแคนดีเดต" เป็นนโยบายที่ประกาศว่าจะยกเลิกทาสในสหรัฐ ซึ่งเป็นนโยบายหลักของลิงคอล์น ที่ถูกยกให้เป็นประเด็นสำคัญในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 1860 ของพรรคริพับลิกัน ซึ่งนำโดยเอบราแฮม ลิงคอล์น เป็นผลมาจากความระส่ำระสายภายในของพรรคเดโมแครตเอง โดยช่วงปลายเดือนเมษายน 1860 พรรคเดโมแครตมารวมตัวประชุมที่ เมืองชาลส์ตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา เพื่อคัดเลือกตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี ในขณะนั้น ชาลส์ตัน เป็นเมืองที่แตกแยกทางความคิดมาก มีนักปราศัยเรียกร้องการแยกตัวจากสหภาพ (ซึ่งเรียกว่า พวกกินไฟ หรือ fire-eaters) เดินอยู่เต็มถนน และเปิดฉากล้อเลียน สว. สตีเฟน เอ. ดักลัส กับผู้สนับสนุนชาวเหนือของดักลัสอยู่เนือง ๆ แม้ในระหว่างสมาชิกพรรคเดโมแครตเอง ก็แตกกันออกเป็นฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ โดยตัวแทนพรรคฝ่ายใต้ สนับสนุนนโยบายขยายสถาบันทาส โดยการใช้กฎหมายทาส (slave codes ) ในทุกพื้นที่ของสหรัฐ ในขณะที่สมาชิกพรรคจากทางเหนือคิดว่านั่นเป็นเรื่องเสียสติ เพราะมีแต่จะทำให้เสียเสียงสนับสนุนในรัฐทางเหนือ
เมื่อการประชุมดำเนินต่อไป เสียงส่วนใหญ่ยังคงยืนกรานสนับสนุน หลักการอำนาจอธิปไตยปวงชนของดักลัส ที่ต้องการให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ของสหรัฐ ออกเสียงกำหนดกันเอาเองในเรื่องความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาส การตัดสินใจนี้ทำให้ตัวแทนจากรัฐทางตอนใต้ซึ่งเป็นพวกสนับสนุนสถาบันทาส และคำพิพากษา เดร็ด สก็อตต์ พากัน "วอล์กเอ้าท์" จากการประชุมแห่งชาติของพรรคเดโมแครต (DNC) หลังจากล้มเหลวในการโหวตเพื่อลงมติถึง 57 ครั้ง การประชุม DNC ก็ถูกเลื่อนไปเป็นเดือนมิถุนายน 1860 ที่บัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ แต่พวกฝ่ายใต้หัวแข็งกร้าวก็ขัดขวางการลงมติอีก และจบลงที่การเดินออกจากที่ประชุมอีกครั้ง ฝ่ายเดโมแครตที่เหลือจึงเสนอชื่อ สตีเฟน ดักลัส ให้เป็นตัวแทนลงสมัครลงชิงตำแหน่ง ส่วนสมาชิกพรรคฝ่ายใต้เป็นพวกสนับสนุนคำพิพากษาคดีเดร็ด สก็อตต์ กลับมาหารือกันใหม่ที่ริชมอนด์ เวอร์จิเนีย แล้วเลือก นายจอห์น ซี. เบรกคินริดจ์ (John C. Breckinridge) ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดี มาเป็นผู้แทนลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตฝ่ายใต้
การหาเสียง
กลางเดือนพฤษภาคม นักการเมืองพรรครีพับลิกันมารวมตัวกันที่ชิคาโก ในตึกการประชุม "The Wigwam" ที่เพิ่งสร้างใหม่ ในขณะนั้นพรรครีพับลิกันมั่นใจแล้วว่าการเลือกตั้งคราวนี้ฝ่ายตนน่าจะชนะ[ 22] ทางพรรคประชุมและมีมติร่วมกันว่าจะไม่คุกคามสถาบันทาสในภาคใต้ แต่ก็ไม่อยากให้สถาบันทาสขยายตัวต่อไปในดินแดนที่กำลังได้รับการบุกเบิกทางทิศตะวันตก ผู้เสนอชื่อเข้าแข่งขันต่างสนับสนุนนโยบายการขยายตัวของประเทศ โดยสัญญาว่าจะผ่าน Holmstead Act เพื่อสร้างกระท่อมที่อยู่อาศัยให้ฟรี สำหรับผู้ที่จะบุกเบิกไปตั้งถิ่นฐานในทิศตะวันตก และจะให้มีการระดมทุนเพื่อสร้างทางรถไฟข้ามทวีปอเมริกาเหนือด้วย
พรรครีพับลิกันตกลงเลือกลิงคอล์นเป็นตัวแทนผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรค เพราะเห็นว่าท่านเป็นนักการเมืองสายกลางที่ไม่แข็งกร้าวไปทางใดทางหนึ่ง และน่าจะได้เปรียบในพื้นที่เพนซิลเวเนีย กับรัฐทางมิดเวสต์ ตัวลิงคอล์นเองก็ไม่ใช่นักเลิกทาส (abolitionist) แต่เขาสามารถสะท้อนความรู้สึกที่กำลังขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ ในหมู่ชาวรัฐตอนเหนือว่า สถาบันทาสเป็นภัยคุกคามต่อสหภาพและอนาคตของประเทศ
ผลการเลือกตั้ง 1860 ตามการลงคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง
ในส่วนพรรครัฐธรรมนูญสหภาพ (Constitutional Union Party) นั้นประกอบไปด้วย นักการเมืองสายอนุรักษ์นิยมจากพรรควิกส์ (whigs) เดิม และพวกที่มาจากรัฐ"ชายแดน" (คือ รัฐที่ประกอบเป็นรัฐกันชนตามแนวชายแดนระหว่างฝ่ายหนือและฝ่ายใต้) ที่ต่อต้านการสลายตัวของสหภาพแต่ก็เห็นอกเห็นใจรัฐทาสทางใต้ และเนื่องจากพวกนี้ไม่นิยมพูดถึงประเด็นเรื่องทาส จึงได้รับความนิยมจากผู้อาศัยในรัฐทางใต้บางรัฐ ได้แก่เทนเนสซี, เวอร์จิเนีย, และเคนทักกี นายจอห์น เบลล์ ตัวแทนลงสมัครฯของพรรคจากรัฐเทนเนสซี สัญญาที่จะรักษาไว้ซึ่งสิทธิของทุกฝ่ายตามรัฐธรรมนูญ (รวมถึงสิทธิของรัฐที่จะปกครองตนเอง และสิทธิในการถือครองทาสเป็นทรัพย์สิน) และความคงอยู่ของสหภาพ แต่ประชาชนทางเหนือส่วนใหญ่ มองพรรคนี้ว่าเป็นพวก "คนแก่" ที่ไม่ทันกับการเมืองของยุคสมัย
พรรคเดโมแครตมี สว.สตีเฟน เอ. ดักลัส (ผู้ร่างกฎหมาย แคนซัส-เนบรากา) เป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามเดโมแครตฝ่ายเหนือ ดักลัสสนับสนุนแนวคิดว่าด้วยการกำหนดความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาสโดยทางอธิปไตยปวงชน (กล่าวคือประสงค์จะให้สภาคองเกรสทำตัวเป็นกลาง ไม่เข้าแทรกแทรงไม่ว่าจะเพื่อจำกัด หรือสนับสนุนการขยายตัวของสถาบันทาสไปในพื้นที่ใหม่ ๆ ของสหรัฐ) ดักลาสเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อเตือนถึงภัยของการสูญเสียสหภาพ แต่ก็ได้รับความนิยมทางตอนเหนือสู้ลิงคอล์นไม่ได้ ส่วน เบรกคิริดจ์ ตัวแทนผู้ลงสมัครของเดโมแครตฝ่ายใต้ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็น "คนทรยศ" และ เป็นพวก "บ่อนทำลายสหภาพ" จึงมีคะแนนนิยมจำกัดอยู่แต่ในภาคใต้
โดยภาพรวมการเลือกตั้ง 1860 เป็นการแข่งขันที่แยกเป็นสองภาคส่วน ฝ่ายลิงคอล์นนั้น แทบไม่ได้รับความนิยมในทางใต้เลย โดยไม่ชนะในรัฐทางใต้แม้แต่รัฐเดียว นอกจากนี้รัฐจำนวน 10 จาก 15 รัฐทางใต้ไม่ยอมใส่ชื่อลิงคอล์นลงไปในบัตรเลือกตั้งด้วยซ้ำ[ 25] การหาเสียงของลิงคอล์นจึงเป็นการแสวงหาชัยชนะเด็ดขาดทางเหนือ ซึ่งมีดักลาสเป็นคู่แข่ง ในขณะที่ เบรกคินริดจ์ กับ เบลล์ ก็ไปแบ่งคะแนนเสียงกันทางใต้ ลิงคอล์นจึงกวาดคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) ไปแบบท่วมท้น และเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง 1860 แม้ว่าจะได้รับคะแนนนิยมทั่วประเทศเพียงแค่ 40%[ 26] กลายเป็นผู้สมัครพรรคริพับลิกันคนแรกที่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี
หมายเหตุ
↑ 1.0 1.1 ถูกปลดจากยศบัญชาการในยศร้อยเอก และถูกเกณฑ์ใหม่ในยศพลทหาร
อ้างอิง
↑ Carpenter, Francis B. (1866). Six Months in the White House: The Story of a Picture . Hurd and Houghton. p. 217 .
↑ William A. Pencak (2009). Encyclopedia of the Veteran in America . ABC-CLIO. p. 222. ISBN 978-0-313-08759-2 . สืบค้นเมื่อ June 27, 2015 .
↑ Paul Finkelman; Stephen E. Gottlieb (2009). Toward a Usable Past: Liberty Under State Constitutions . U of Georgia Press. p. 388. ISBN 978-0-8203-3496-7 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ September 5, 2015. สืบค้นเมื่อ June 27, 2015 .
↑ Randall (1947), pp. 65–87.
↑ Bulla (2010), p. 222.
↑ Nevins, Ordeal of the Union (Vol. IV), pp. 6–17.
↑ Donald (1996), p. 314
↑ Carwardine (2003), p. 178.
↑ Tagg, p. xiii.
↑ Donald (1996), pp. 315, 331–333, 338–339, 417.
↑ "Ranking Our Presidents" เก็บถาวร 2017-08-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน . James Lindgren. November 16, 2000. International World History Project.
↑ "Americans Say Reagan Is the Greatest President" . Gallup Inc. February 28, 2011.
↑ "leavitt+lincoln"&source=web&ots=13iVWZoQKM&sig=h81o17hAbYDnrOUx1FYVMmd6anQ&hl=en#PPA459, M1 History of the Town of Hingham, Massachusetts, Vol. II, Thomas Tracy Bouve, Published by the Town, 1893
↑ The farm site is now preserved as part of Abraham Lincoln Birthplace National Historic Site .
↑ It is now in Spencer County, Indiana.
↑ Donald, (1995) pp. 28, 152.
↑ Lincoln Trail Homestead State Park
↑ Abraham Lincoln, The Physical Man
↑ Faragher, John Mack; และคณะ (2005). Out of Many: A History of the American People (Revised Printing (4th Ed) ed.). Englewood Cliffs, N.J: Prentice Hall. p. 388 . ISBN 0-13-195130-0 .
↑ "Party Divisions of the House of Representatives" . United States House of Representatives. สืบค้นเมื่อ 15 กันยายน 2017 .
↑ Burlingame, Michael (Sep 21, 2017). "ABRAHAM LINCOLN: CAMPAIGNS AND ELECTIONS" . Miller Center (UVA) .
↑ SCHULTEN, Susan (Nov. 10, 2010). "How (and Where) Lincoln Won". The New York TImes .
↑ ibid.
บรรณานุกรม
Adams, Charles F. (April 1912). "The Trent Affair" . The American Historical Review . The University of Chicago Press. 17 (3): 540–562. doi :10.2307/1834388 . JSTOR 1834388 .
Ambrose, Stephen E. (1962). Halleck: Lincoln's Chief of Staff . Louisiana State University Press. OCLC 1178496 .
Baker, Jean H. (1989). Mary Todd Lincoln: A Biography . W. W. Norton & Company. ISBN 978-0-393-30586-9 .
Bartelt, William E. (2008). There I Grew Up: Remembering Abraham Lincoln's Indiana Youth . Indianapolis: Indiana Historical Society Press. p. 79 . ISBN 978-0-87195-263-9 .
Basler, Roy Prentice , บ.ก. (1946). Abraham Lincoln: His Speeches and Writings . World Publishing. OCLC 518824 .
Basler, Roy P., บ.ก. (1953). The Collected Works of Abraham Lincoln . Vol. 5. Rutgers University Press.
Belz, Herman (1998). Abraham Lincoln, Constitutionalism, and Equal Rights in the Civil War Era . Fordham University Press. ISBN 978-0-8232-1769-4 .
Belz, Herman (2006). "Lincoln, Abraham". ใน Frohnen, Bruce; Beer, Jeremy; Nelson, Jeffrey O (บ.ก.). American Conservatism: An Encyclopedia . ISI Books. ISBN 978-1-932236-43-9 .
Bennett Jr, Lerone (February 1968). "Was Abe Lincoln a White Supremacist?" . Ebony . Vol. 23 no. 4. Johnson Publishing. ISSN 0012-9011 .
Blue, Frederick J. (1987). Salmon P. Chase: a life in politics . The Kent State University Press. ISBN 0-87338-340-0 .
Boritt, Gabor (1994) [1978]. Lincoln and the Economics of the American Dream . University of Illinois Press. ISBN 0-252-06445-3 .
Bulla, David W.; Gregory A. Borchard (2010). Journalism in the Civil War Era . Peter Lang Publishing Inc. ISBN 1-4331-0722-8 .
Burlingame, Michael (2008). Abraham Lincoln: A Life . Vol. I. Baltimore, MD: Johns Hopkins University Press. ISBN 978-0-8018-8993-6 .
Burlingame, Michael (Sep 21, 2017). "ABRAHAM LINCOLN: CAMPAIGNS AND ELECTIONS" . Miller Center (UVA) .
Carwardine, Richard J. (Winter 1997). "Lincoln, Evangelical Religion, and American Political Culture in the Era of the Civil War" . Journal of the Abraham Lincoln Association . Abraham Lincoln Association. 18 (1): 27–55.
Carwardine, Richard (2003). Lincoln . Pearson Education Ltd. ISBN 978-0-582-03279-8 .
Cashin, Joan E. (2002). The War Was You and Me: Civilians in The American Civil War . Princeton University Press. ISBN 978-0-691-09173-0 .
Chesebrough, David B. (1994). No Sorrow Like Our Sorrow . Kent State University Press. ISBN 978-0-87338-491-9 .
Cox, Hank H. (2005). Lincoln And The Sioux Uprising of 1862 . Cumberland House Publisher. ISBN 978-1-58182-457-5 .
Cummings, William W.; James B. Hatcher (1982). Scott Specialized Catalogue of United States Stamps . Scott Publishing Company. ISBN 0-89487-042-4 .
Dennis, Matthew (2002). Red, White, and Blue Letter Days: an American Calendar . Cornell University Press. ISBN 978-0-8014-7268-8 .
Diggins, John P. (1986). The Lost Soul of American Politics: Virtue, Self-Interest, and the Foundations of Liberalism . University of Chicago Press. ISBN 0-226-14877-7 .
Dirck, Brian R. (2007). Lincoln Emancipated: The President and the Politics of Race . Northern Illinois University Press. ISBN 978-0-87580-359-3 .
Dirck, Brian (2008). Lincoln the Lawyer . University of Illinois Press. ISBN 978-0-252-07614-5 .
Donald, David Herbert (1948). Lincoln's Herndon . A. A. Knopf. OCLC 186314258 .
Donald, David Herbert (1996) [1995]. Lincoln . Simon and Schuster. ISBN 978-0-684-82535-9 . online
Donald, David Herbert (2001). Lincoln Reconsidered . Knopf Doubleday Publishing Group. ISBN 978-0-375-72532-6 . online
Douglass, Frederick (2008). The Life and Times of Frederick Douglass . Cosimo Classics. ISBN 1-60520-399-8 .
Dunne, Jemima; Regan, Regan, eds. (2015). The Civil War: A Visual History . Penguin Random House.
Edgar, Walter B. (1998). South Carolina: A History . University of South Carolina Press. ISBN 978-1-57003-255-4 .
Fish, Carl Russell (October 1902). "Lincoln and the Patronage" . American Historical Review . American Historical Association. 8 (1): 53–69. doi :10.2307/1832574 . JSTOR 1832574 .
Foner, Eric (1995) [1970]. Free Soil, Free Labor, Free Men: The Ideology of the Republican Party before the Civil War . Oxford University Press. ISBN 978-0-19-509497-8 .
Foner, Eric (2010). The Fiery Trial: Abraham Lincoln and American Slavery . W.W. Norton. ISBN 978-0-393-06618-0 .
Goodwin, Doris Kearns (2005). Team of Rivals : The Political Genius of Abraham Lincoln . Simon & Schuster. ISBN 0-684-82490-6 .
Goodrich, Thomas (2005). The Darkest Dawn: Lincoln, Booth, and the Great American Tragedy . Indiana University Press. ISBN 978-0-253-34567-7 .
Graebner, Norman (1959). "Abraham Lincoln: Conservative Statesman". The Enduring Lincoln: Lincoln Sesquicentennial Lectures at the University of Illinois . University of Illinois Press. OCLC 428674 .
Grimsley, Mark (2001). The Collapse of the Confederacy . University of Nebraska Press. ISBN 0-8032-2170-3 .
Guelzo, Allen C. (1999). Abraham Lincoln: Redeemer President . W.B. Eerdmans Publishing. ISBN 0-8028-3872-3 .
Guelzo, Allen C. (2004). Lincoln's Emancipation Proclamation: The End of Slavery in America . Simon & Schuster. ISBN 978-0-7432-2182-5 .
Handy, James S. (1917). Book Review: Abraham Lincoln, the Lawyer-Statesman . Northwestern University Law Publication Association.
Harrison, J. Houston (1935). Settlers by the Long Grey Trail . J.K. Reubush. OCLC 3512772 .
Harrison, Lowell Hayes (2000). Lincoln of Kentucky . University Press of Kentucky. ISBN 0-8131-2156-6 .
Harris, William C. (2007). Lincoln's Rise to the Presidency . University Press of Kansas. ISBN 978-0-7006-1520-9 .
Havers, Grant N. (2009). Lincoln and the Politics of Christian Love . University of Missouri Press. ISBN 0-8262-1857-1 .
Heidler, David S.; Heidler, Jeanne T., บ.ก. (2000). Encyclopedia of the American Civil War: A Political, Social, and Military History . W. W. Norton & Company, Inc. ISBN 978-0-393-04758-5 .
Heidler, David Stephen (2006). The Mexican War . Greenwood Publishing Group. ISBN 978-0-313-32792-6 .
Hofstadter, Richard (October 1938). "The Tariff Issue on the Eve of the Civil War" . American Historical Review . American Historical Association. 44 (1): 50–55. doi :10.2307/1840850 . JSTOR 1840850 .
Holzer, Harold (2004). Lincoln at Cooper Union: The Speech That Made Abraham Lincoln President . Simon & Schuster. ISBN 978-0-7432-9964-0 .
Jaffa, Harry V. (2000). A New Birth of Freedom: Abraham Lincoln and the Coming of the Civil War . Rowman & Littlefield. ISBN 0-8476-9952-8 .
Kelley, Robin D. G. ; Lewis, Earl (2005). To Make Our World Anew: Volume I: A History of African Americans to 1880 . Oxford University Press. ISBN 978-0-19-804006-4 .
Lamb, Brian; Swain, Susan, บ.ก. (2008). Abraham Lincoln: Great American Historians on Our Sixteenth President . PublicAffairs. ISBN 978-1-58648-676-1 .
Lupton, John A. (September–October 2006). "Abraham Lincoln and the Corwin Amendment" . Illinois Heritage . The Illinois State Historical Society. 9 (5): 34.
Luthin, Reinhard H. (July 1994). "Abraham Lincoln and the Tariff". American Historical Review . 49 (4): 609–629. doi :10.2307/1850218 . JSTOR 1850218 .
McClintock, Russell (2008). Lincoln and the Decision for War: The Northern Response to Secession . The University of North Carolina Press. . Online preview .
Madison, James H. (2014). Hoosiers: A New History of Indiana . Bloomington and Indianapolis: Indiana University Press and Indiana Historical Society Press. p. 110. ISBN 978-0-253-01308-8 .
Mansch, Larry D. (2005). Abraham Lincoln, President-Elect: The Four Critical Months from Election to Inauguration . McFarland. ISBN 0-7864-2026-X .
McGovern, George S. (2008). Abraham Lincoln . Macmillan. ISBN 978-0-8050-8345-3 .
McKirdy, Charles Robert (2011). Lincoln Apostate: The Matson Slave Case . Univ. Press of Mississippi. ISBN 978-1-60473-987-9 .
McPherson, James M. (1992). Abraham Lincoln and the Second American Revolution . Oxford University Press. ISBN 978-0-19-507606-6 .
McPherson, James M. (1993). Battle Cry of Freedom: The Civil War Era . Oxford University Press. ISBN 978-0-19-516895-2 .
McPherson, James M. (2009). Abraham Lincoln . Oxford University Press. ISBN 978-0-19-537452-0 .
Miller, William Lee (2002). Lincoln's Virtues: An Ethical Biography (Vintage Books ed.). New York: Random House/Vintage Books. ISBN 0-375-40158-X .
Neely, Mark E. (1992). The Fate of Liberty: Abraham Lincoln and Civil Liberties . Oxford University Press. pp. 3–31.
Neely Jr., Mark E. (December 2004). "Was the Civil War a Total War?" . Civil War History . 50 (4): 434–458. doi :10.1353/cwh.2004.0073 .
Nevins, Allan (1947–71). Ordeal of the Union; 8 vol . Scribner's. ISBN 978-0-684-10416-4 .
Nichols, David A. (2010). Richard W. Etulain (บ.ก.). Lincoln Looks West: From the Mississippi to the Pacific . Southern Illinois University. ISBN 0-8093-2961-1 .
Noll, Mark (2000). America's God: From Jonathan Edwards to Abraham Lincoln . Oxford University Press. ISBN 0-19-515111-9 .
Oates, Stephen B. (1993). With Malice Toward None: a Life of Abraham Lincoln . HarperCollins. ISBN 978-0-06-092471-3 .
Paludan, Phillip Shaw (1994). The Presidency of Abraham Lincoln . University Press of Kansas. ISBN 978-0-7006-0671-9 .
Parrillo, Nicholas (September 2000). "Lincoln's Calvinist Transformation: Emancipation and War" . Civil War History . Kent State University Press. 46 (3): 227–253. doi :10.1353/cwh.2000.0073 .
Peterson, Merrill D. (1995). Lincoln in American Memory . Oxford University Press. ISBN 978-0-19-509645-3 .
Potter, David M.; Don Edward Fehrenbacher (1976). The impending crisis, 1848–1861 . HarperCollins. ISBN 978-0-06-131929-7 .
Prokopowicz, Gerald J. (2008). Did Lincoln Own Slaves? . Vintage Books. ISBN 978-0-307-27929-3 .
Randall, James G. (1947). Lincoln, the Liberal Statesman . Dodd, Mead. OCLC 748479 .
Randall, J.G.; Current, Richard Nelson (1955). Last Full Measure . Lincoln the President. Vol. IV. Dodd, Mead. OCLC 5852442 .
Sandburg, Carl (1926). Abraham Lincoln: The Prairie Years . Harcourt, Brace & Company. OCLC 6579822 .
Sandburg, Carl (2002). Abraham Lincoln: The Prairie Years and the War Years . Houghton Mifflin Harcourt. ISBN 0-15-602752-6 .
Schwartz, Barry (2000). Abraham Lincoln and the Forge of National Memory . University of Chicago Press. ISBN 978-0-226-74197-0 .
Schwartz, Barry (2009). Abraham Lincoln in the Post-Heroic Era: History and Memory in Late Twentieth-Century America . University of Chicago Press. ISBN 978-0-226-74188-8 .
Scott, Kenneth (September 1948). "Press Opposition to Lincoln in New Hampshire" . The New England Quarterly . The New England Quarterly, Inc. 21 (3): 326–341. doi :10.2307/361094 . JSTOR 361094 .
Sherman, William T. (1990). Memoirs of General W.T. Sherman . BiblioBazaar. ISBN 1-174-63172-4 .
Simon, Paul (1990). Lincoln's Preparation for Greatness: The Illinois Legislative Years . University of Illinois. ISBN 0-252-00203-2 .
Smith, Robert C. (2010). Conservatism and Racism, and Why in America They Are the Same . State University of New York Press. ISBN 978-1-4384-3233-5 .
Steers, Edward (2010). The Lincoln Assassination Encyclopedia . Harper Collins. ISBN 0-06-178775-2 .
Striner, Richard (2006). Father Abraham: Lincoln's Relentless Struggle to End Slavery . Oxford University Press. ISBN 978-0-19-518306-1 .
Tagg, Larry (2009). The Unpopular Mr. Lincoln:The Story of America's Most Reviled President . Savas Beatie. ISBN 978-1-932714-61-6 .
Taranto, James; Leonard Leo (2004). Presidential Leadership: Rating the Best and the Worst in the White House . Simon and Schuster. ISBN 978-0-7432-5433-5 .
Tegeder, Vincent G. (June 1948). "Lincoln and the Territorial Patronage: The Ascendancy of the Radicals in the West". Mississippi Valley Historical Review . Organization of American Historians. 35 (1): 77–90. doi :10.2307/1895140 . JSTOR 1895140 .
Thomas, Benjamin P. (2008). Abraham Lincoln: A Biography . Southern Illinois University. ISBN 978-0-8093-2887-1 . online
Trostel, Scott D. (2002). The Lincoln Funeral Train: The Final Journey and National Funeral for Abraham Lincoln . Cam-Tech Publishing. ISBN 978-0-925436-21-4 .
Vorenberg, Michael (2001). Final Freedom: the Civil War, the Abolition of Slavery, and the Thirteenth Amendment . Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-65267-4 .
Warren, Louis A. (1991). Lincoln's Youth: Indiana Years, Seven to Twenty-One, 1816–1830 . Indianapolis: Indiana Historical Society. ISBN 0-87195-063-4 .
White Jr., Ronald C. (2009). A. Lincoln: A Biography . Random House, Inc. ISBN 978-1-4000-6499-1 .
Wills, Garry (1993). Lincoln at Gettysburg: The Words That Remade America . Simon & Schuster. ISBN 0-671-86742-3 .
Wilson, Douglas L. (1999). Honor's Voice: The Transformation of Abraham Lincoln . Knopf Publishing Group. ISBN 978-0-375-70396-6 .
Winkle, Kenneth J. (2001). The Young Eagle: The Rise of Abraham Lincoln . Taylor Trade Publications. ISBN 978-0-87833-255-7 .
Zarefsky, David S. (1993). Lincoln, Douglas, and Slavery: In the Crucible of Public Debate . University of Chicago Press. ISBN 978-0-226-97876-5 .
ดูเพิ่ม
เหตุการณ์ สุนทรพจน์ ครอบครัว มรดก ชีวิตส่วนตัว สถานที่รำลึก