บิล คลินตัน
วิลเลียม เจฟเฟอร์สัน คลินตัน (อังกฤษ: William Jefferson Clinton) หรือรู้จักในชื่อ บิล คลินตัน (Bill Clinton) เกิดวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1946 เป็นประธานาธิบดีคนที่ 42 ของสหรัฐอเมริกา[1] ระหว่างค.ศ. 1993 - ค.ศ. 2001 ก่อนหน้านั้นเขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอ และ ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยอาร์คันซอ[2] คลินตันเกิดและเติบโตในรัฐอาร์คันซอและเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ต่อมา เขาได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดและตามด้วยการการศึกษาต่อโรงเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยเยล ซึ่งเขาได้พบกับฮิลลารี รอดแฮมที่นั่น และสมรสกันใน ค.ศ. 1975 หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมาย คลินตันกลับไปอาร์คันซอและชนะการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ[3] ในฐานะผู้ว่าการ เขาได้ปรับปรุงระบบการศึกษาของรัฐและดำรงตำแหน่งประธานสมาคมผู้ว่าการรัฐแห่งชาติ คลินตันได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1992 โดยเอาชนะจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันในขณะนั้น และ รอสส์ เพโรต์ จากพรรคอิสระ ด้วยวัย 46 ปี คลินตันจึงกลายเป็นประธานาธิบดีที่อายุน้อยที่สุดเป็นลำดับสามของสหรัฐอเมริกา นโยบายเร่งด่วนของคลินตันคือการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังสิ้นสุดสงครามอ่าว เขาลงนามในกฎหมายความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) และพระราชบัญญัติควบคุมอาชญากรรมรุนแรงและการบังคับใช้กฎหมาย[4] แต่ไม่ผ่านแผนการปฏิรูปการดูแลสุขภาพแห่งชาติ ในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1994 พรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งและได้ควบคุมสภาคองเกรสเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี ในช่วงเวลานี้ คลินตันเริ่มเน้นนโยบายอนุรักษ์นิยมมากขึ้น[5] ในนโยบายภายในประเทศที่สนับสนุนการปฏิรูปสวัสดิการและโครงการประกันสุขภาพเด็กตลอดจนมาตรการควบคุมการเงิน นอกจากนี้ เขายังแต่งตั้ง รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก และ สตีเฟน บรีเยอร์ ให้ดำรงตำแหน่งในศาลสูงสุด ในช่วงสามปีแรกในการดำรงตำแหน่งของคลินตัน สำนักงานงบประมาณรัฐสภารายงานการเกินดุลงบประมาณ ซึ่งเป็นการเกินดุลครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1969 ในนโยบายต่างประเทศ คลินตันสั่งให้ทหารสหรัฐเข้าแทรกแซงในสงครามบอสเนียและโคโซโว ลงนามในข้อตกลงเดย์ตันสันติภาพ ลงนามในอิรักในเรื่องพระราชบัญญัติการปลดปล่อยซึ่งต่อต้านซัดดัม ฮุสเซน เข้าร่วมในข้อตกลงออสโลที่หนึ่ง และการประชุมสุดยอดแคมป์เดวิดเพื่อพัฒนากระบวนการสันติภาพของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ และช่วยเหลือกระบวนการสันติภาพของไอร์แลนด์เหนือ คลินตันได้ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 หลังชนะการเลือกตั้งต่อ บ็อบ โดล จากพรรครีพับลิกัน ใน ค.ศ. 1996 ในสมัยที่ 2 ของคลินตันนั้นได้เกิดเรื่องอื้อฉาวลูวินสกี ซึ่งเริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1996 เมื่อคลินตันถูกร้องเรียนว่าเริ่มมีสัมพันธ์กับโมนิกา ลูวินสกี นักศึกษาฝึกงานในทำเนียบขาว วัย 22 ปี ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1998 ข่าวความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ถูกพาดหัวข่าวในแท็บลอยด์[6] เรื่องอื้อฉาวดังกล่าวทวีความรุนแรงขึ้นตลอดทั้งปี[7] โดยสิ้นสุดในวันที่ 19 ธันวาคม เมื่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติถอดถอนเขา และกลายเป็นประธานาธิบดีคนที่สองของสหรัฐฯ ที่ถูกถอดถอนต่อจากแอนดรูว์ จอห์นสัน บทความการฟ้องร้องสองฉบับที่สภาผู้แทนราษฎรส่งผ่านมีที่มาจากการใช้อำนาจขัดขวางของคลินตันในการขัดขวางการสอบสวน และคลินตันกล่าวเท็จภายใต้คำสาบาน ปีถัดมาการพิจารณาถอดถอนเริ่มขึ้นในวุฒิสภา แต่คลินตันพ้นผิดในทั้งสองข้อกล่าวหา เนื่องจากวุฒิสภาล้มเหลวในการลงคะแนนเสียง เพิกถอนเขาซึ่งเป็นเกณฑ์การพิจารณาตัดสินลงโทษ คลินตันลงจากตำแหน่งเมื่อสิ้นสุดวาระ เขาได้รับการจัดอันดับในระดับสูงในการจัดอันดับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมส่วนตัวของเขาและการกล่าวหาว่าเขาล่วงละเมิดทางเพศทำให้เขาเสียคะแนนนิยมไปมาก นับตั้งแต่ออกจากตำแหน่ง คลินตันได้มีส่วนร่วมในการพูดในที่สาธารณะและทำงานด้านมนุษยธรรม เขาก่อตั้งมูลนิธิคลินตันขึ้นเพื่อช่วยเหลือสังคม เช่น การป้องกันเอชไอวี และภาวะโลกร้อน ใน ค.ศ. 2009 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตพิเศษแห่งสหประชาชาติประจำเฮติ หลังจากเกิดแผ่นดินไหวในเฮติใน ค.ศ. 2010 คลินตันและจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ก่อตั้งกองทุนคลินตันบุชเฮติ เขายังคงมีบทบาทในการเมืองของพรรคเดโมแครต เช่น การช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2008 เขายังช่วยหาเสียงและสนับสนุน บารัก โอบามา ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2012[8] และการช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 ของภรรยาของเขา ประวัติชีวิตในวัยเด็กบิล คลินตันเกิดในเมืองโฮป รัฐอาร์คันซอ โดยมีชื่อว่า วิลเลียม เจฟเฟอร์สัน ไบลท์ ที่ 3 (William Jefferson Blythe III) ซึ่งตั้งตามชื่อพ่อของเขาเอง คือ วิลเลียม เจฟเฟอร์สัน ไบลท์ จูเนียร์ (William Jefferson Blythe Jr., 1918-1946) ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ก่อนคลินตันเกิดเพียง 3 เดือน หลังจากนั้นนางเวอร์จิเนีย เดลล์ แซสซิดี (Virginia Dell Cassidy, 1923-1994) ผู้เป็นมารดา ได้แต่งงานใหม่กับนายโรเจอร์ คลินตัน (Roger Clinton, 1908-1967) ซึ่งบิลได้เปลี่ยนนามสกุลตามอย่างเป็นทางการเมื่ออายุ 14 ปี ผู้ว่าการรัฐบิล คลินตันจบการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ จากนั้นได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดทางด้านการเมืองการปกครอง หลังกลับมาจากอ็อกซ์ฟอ์ด คลินตันเข้าศึกษาต่อที่ โรงเรียนกฎหมาย มหาวิทยาลัยเยล จบการศึกษาปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเยลในปี ค.ศ. 1973[9] ที่เยลเขาได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นที่กลายมาเป็นภรรยาในอนาคต คือ นางฮิลลารี ร็อดแฮม (Hillary Rodham Clinton) คลินตันสอนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยอาร์คันซอ จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่วงการการเมือง เขาได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอเมื่อ ค.ศ. 1978 และยังเป็นผู้ว่าการรัฐที่มีอายุน้อยที่สุดในขณะนั้น หลังจากการเป็นผู้ว่าการรัฐสมัยแรก คลินตันแพ้ให้กับนาย แฟรงก์ ดี. ไวต์ จากพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1980 แต่เขาสามารถกลับมาได้รับเลือกตั้งได้อีก 4 สมัยติดกัน ในช่วงปี ค.ศ. 1982-ค.ศ. 1992 การดำรงตำแหน่งวาระแรกคลินตันเลือกวุฒิสมาชิกอัล กอร์ร่วมทีมรองประธานาธิบดี เอาชนะการเลือกตั้งต่อประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช เมื่อ ค.ศ. 1992 โดยอาศัยจุดขายด้านเศรษฐกิจในประเทศที่ตกต่ำหลังจากประธานาธิบดีบุช ไปเน้นกิจการต่างประเทศอย่างเช่น สงครามอ่าวเปอร์เซีย ในการเลือกตั้งทั่วไประหว่างสมัยของคลินตันใน ค.ศ. 1994 พรรคเดโมแครตได้เสียที่นั่งข้างมากในรัฐสภาเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี ทำให้เกิดสภาวะที่ประธานาธิบดีกับเสียงข้างมากของสภามาจากคนละพรรคกัน คลินตันมีสัมพันธ์อันดีกับนายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ แห่งสหราชอาณาจักร เขามีบทบาทในกิจการต่างประเทศที่สำคัญ เช่น การส่งทหารเข้าไปในประเทศโซมาเลีย การโจมตีกรุงคอซอวอของอดีตประเทศยูโกสลาเวียเดิม สันติภาพในไอร์แลนด์เหนือ และกรณีของประเทศอิสราเอลกับปาเลสไตน์ การดำรงตำแหน่งวาระที่สองคลินตันได้ชัยชนะอีกครั้งในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1996 ต่อสมาชิกวุฒิสภาบ็อบ โดล จากพรรครีพับลิกัน เหตุการณ์สำคัญในการดำรงตำแหน่งวาระที่สอง คือ คลินตันถูกเปิดกระบวนการฟ้องให้ขับออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1998 โดยวุฒิสภาในหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ทางเพศกับ โมนิก้า ลูวินสกี้ นักศึกษาฝึกงานในทำเนียบขาว เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่สองที่ถูกอิมพีชเมนต์ต่อจากประธานาธิบดี แอนดรูว์ จอห์นสัน ผู้นำในการสืบสวนคืออัยการอิสระ นายเคนเนธ สตาร์ (Kenneth Starr) การไต่สวนของวุฒิสภาดำเนินไปใน ค.ศ. 1999 ซึ่งต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ในการถอดถอนประธานาธิบดี ซึ่งกระบวนการดังกล่าวสิ้นสุดลงโดยเสียงในวุฒิสภาไม่พอออกเสียงว่าเขามีความผิด ก่อนจะหมดวาระประธานาธิบดีสมัยที่สอง คลินตันได้ตกลงกับศาลในการยุติการสืบสวน ซึ่งแลกกับการถอนใบอนุญาตทางกฎหมายเป็นเวลา 5 ปี ตำแหน่งทางวิชาการอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|