การกบฏโรฮีนจาในพม่าตะวันตก เป็นความขัดแย้งกันด้วยอาวุธระหว่างรัฐพม่า กับชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮีนจา นับแต่ปี พ.ศ. 2490 ความมุ่งหมายทีแรกของพวกเขาในสมัยขบวนการมุญาฮีดีน (2467–2504) คือ การแยกภูมิภาคชายแดนมายู (Mayu) ในรัฐยะไข่ ซึ่งมีประชากรโรฮีนจาอาศัยอยู่ออกจากพม่าตะวันตก แล้วผนวกเข้ากับปากีสถานตะวันออกซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่เพิ่งตั้งใหม่ (ปัจจุบันคือประเทศบังกลาเทศ )[ 43] ในคริสต์ทศวรรษ 1970 การก่อการกำเริบของชาวโรฮีนจาปรากฏอีกในช่วงสงครามปลดปล่อยบังกลาเทศในปี พ.ศ. 2514 และเมื่อไม่นานมานี้ระหว่างเหตุจลาจลในรัฐยะไข่ ความปรารถนาของกลุ่มติดอาวุธโรฮีนจาตามที่สื่อต่าง ๆ รายงานคือ การจัดตั้งส่วนเหนือของรัฐยะไข่เป็นรัฐเอกราชหรือรัฐปกครองตนเอง[ 44] [ 45]
ชาวโรฮีนจามุสลิมอาศัยอยู่ในประเทศพม่าประมาณ 800,000 คน และประมาณ 80% ของจำนวนดังกล่าวอาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ทางภาคตะวันตกของประเทศ ส่วนใหญ่ถูกรัฐบาลพม่าปฏิเสธความเป็นพลเมือง[ 46] [ 47] สหประชาชาติถือว่าโรฮีนจาเป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกข่มเหงที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก[ 47]
มุญาฮิดีนในยะไข่ (พ.ศ. 2490–2504)
การสู้รบของมุญาฮิดีนในยะไข่
การต่อสู้เริ่มจากการจัดตั้งพรรคการเมืองญามีอะตุล อูลามาเอ-อิสลาม นำโดยออมราเมียะห์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากอุลนาร์ โมฮัมหมัด มูซาฮิดข่าน และโมลนาร์ อิบราฮิม ความพยายามของกลุ่มมุญาฮิดีนเพื่อที่จะรวมเขตชายแดนมายู ซึ่งเป็นตำบลหนึ่งในรัฐยะไข่เข้ากับปากีสถานตะวันออก ก่อนการประกาศเอกราชของพม่า มีผู้นำชาวมุสลิมในยะไข่ไปพบมูฮัมหมัด อาลี จินนาห์ ผู้ก่อตั้งปากีสถานเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2489 เพื่อขอความช่วยเหลือในการผนวกมายูเข้ากับปากีสถาน สองเดือนต่อมา มีการจัดตั้งสันนิบาตมุสลิมยะไข่เหนือในอักยับ (ปัจจุบันคือซิตตเว เมืองหลวงของรัฐยะไข่) เพื่อแสดงความต้องการที่จะรวมเข้ากับปากีสถาน แต่จินนาห์ปฏิเสธข้อเสนอนี้ในที่สุด
ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลกลางพม่าปฏิเสธที่จะแยกรัฐมุสลิมในเขตมายูซึ่งมีเมืองบูตีดองและเมืองหม่องด่อ ในที่สุด กลุ่มมุสลิมมุญาฮิดีนในยะไข่เหนือได้ประกาศญิฮาด ต่อพม่า กองทัพมุญาฮิดีนได้เริ่มสู้รบในเมืองบูตีดองและหม่องด่อที่อยู่ตามแนวชายแดนระหว่างพม่ากับปากีสถานตะวันออก อับดุล กาเซมเป็นผู้นำกองทัพมุญาฮิดีน ภายในเวลาไม่กี่ปี กลุ่มกบฏมีความก้าวหน้าไปมาก ยึดครองหมู่บ้านในยะไข่ได้หลายหมู่บ้าน ชาวยะไข่ในเมืองทั้งสองถูกบังคับให้ออกจากบ้าน ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2492 การควบคุมของรัฐบาลในเมืองอักยับได้ลดลง ในขณะที่กลุ่มมุญาฮิดีนเข้ามายึดครองยะไข่เหนือ รัฐบาลพม่าได้จับกุมกลุ่มมุญาฮิดีนที่พยายามจะอพยพชาวเบงกอลเข้ามาในรัฐยะไข่อย่างผิดกฎหมาย เนื่องจากประชากรล้นเกินในปากีสถานตะวันออก
การต่อต้านมุญาฮิดีนโดยกองทัพพม่า
มีการประกาศกฎอัยการศึกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2491 เมื่อการกบฏลุกลามขึ้น และกลุ่มกบฏเข้าล้อมเมืองในเขตมายู กองทัพพม่าที่ 5 และกองทัพชีนที่ 2 ถูกส่งเข้าไปในพื้นที่ กองทัพพม่าได้เริ่มยุทธการเพื่อต่อต้านมุญาฮิดีนในยะไข่เหนือ ระหว่าง พ.ศ. 2493–2497 ยุทธการแรกเริ่มใช้ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2493 ยุทธการที่สองเรียกว่ายุทธการมายูเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2495ในช่วงครึ่งหลังของ พ.ศ. 2497 กลุ่มมุญาฮิดีนได้ฟื้นตัวขึ้นและเข้าโจมตีเมืองบูตีดอง เมืองหม่องด่อ และเมืองยะเตดอง
ผู้นำมุญาฮิดีนที่ถูกอองจีจับกุมได้เมื่อ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2504
พระภิกษุชาวยะไข่ได้ออกมาประท้วงในย่างกุ้งเพื่อต่อต้านกลุ่มมุญาฮิดีน ผลของการกดดันทำให้รัฐบาลพม่าออก "ปฏิบัติการมรสุม" ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2497 กลุ่มมูญาอิดีนจำนวนมากถูกจับกุมและหัวหน้ากลุ่มถูกฆ่า ทำให้กิจกรรมของกลุ่มลดลงไปกลายเป็นกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มที่ก่อการร้ายในภาคเหนือของรัฐยะไข่ ใน พ.ศ. 2500 กลุ่มมุญาฮิดีน 150 คนนำโดยชอร์ มาลุกและซูระห์ ทาน ถูกจับกุม ในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 กลุ่มมุญาฮิดีน 214 คน ในกลุ่มของราชิดถูกจับกุม ในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 กลุ่มมุญาฮิดีน 290 คนทางใต้ของหม่องด่อยอมจำนนต่อกองทัพพม่านำโดยอองจี ในช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการเจรจาระหว่างพม่ากับปากีสถานเกี่ยวกับกบฏตามแนวชายแดน ทำให้ความหวังของกบฏลดลง ในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2504 กลุ่มกบฏมุญาฮิดีนกลุ่มสุดท้ายในบูตีดองถูกกองทัพพม่านำโดยอองจีจับกุมได้
ความตกต่ำของมุญาฮิดีน (พ.ศ. 2505–2513)
หลังจากรัฐประหารของนายพลเน วินใน พ.ศ. 2505 กิจกรรมของกลุ่มมุญาฮิดีนลดลงและเกือบจะหายไป ซัฟฟาร์เป็นผู้นำมุญาฮิดีนที่เหลือ และมีการต่อต้านแยกกันเป็นแห่ง ๆ ตามแนวชายแดนพม่า-ปากีสถาน
ขบวนการอิงศาสนาอิสลามโรฮีนจา
ขบวนการทางทหารที่ใช้ความรุนแรง (พ.ศ. 2514–2531)
ระหว่างสงครามปลดปล่อยบังกลาเทศ ในพ.ศ. 2514 โรฮีนจาที่อยู่ใกล้แนวชายแดนได้สะสมอาวุธจากสงคราม ในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 หัวหน้ากลุ่มกบฏมูญาฮิดีนที่เหลืออยู่คือซัฟฟาร์ได้จัดตั้งพรรคปลดปล่อยโรฮีนจา (RLP) โดยซัฟฟาร์เป็นประธานพรรค ศูนย์กลางการต่อสู้อยู่ที่บูตีดอง เมื่อกองทัพพม่าเริ่มปราบปราม ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2517 ซัฟฟาร์ได้หนีไปบังกลาเทศและบทบาทของเขาได้หายไป
หลังจากการล้มเหลวของ RLP มูฮัมหมัด จาฟาร์ ฮาบิบ อดีตเลขาธิการของ RLP ได้จัดตั้งแนวร่วมโรฮีนจารักชาติ (RPF) ใน พ.ศ. 2517 ต่อมา ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2521 รัฐบาลทหารของเนวินได้จัดยุทธการราชามังกรในยะไข่เพื่อตรวจสอบผู้อพยพที่ผิดกฎหมายที่อาศัยอยู่ในพม่า ทำให้มีชาวโรฮีนจาถูกผลักดันไปยังแนวชายแดนบังกลาเทศ ทำให้มีการลุกฮือของชาวโรฮีนจาตามแนวชายแดน RPF ใช้โอกาสนี้เข้ามาปลุกระดม [ 2] [ 48] [ 49] ต่อมาในราว พ.ศ. 2523 กลุ่มหัวรุนแรงได้แยกออกจาก RPF และจัดตั้งองค์การความเป็นปึกแผ่นโรฮีนจา (RSO) นำโดยมูฮัมหมัด ยูนุส ซึ่งเคยเป็นผู้นำของ RPF มาก่อน ต่อมาได้เป็นองค์กรหลักของโรฮีนจาตามแนวชายแดนพม่า-บังกลาเทศ RSO ประกาศตนเป็นองค์กรทางศาสนาจึงได้รับการสนับสนุนจากโลกมุสลิมรวมทั้ง JeI ในบังกลาเทศและปากีสถาน ฆุลบุดดิน เฮกมัตยัร ฮิซบ์เออิสลามี (HeI) ในอัฟกานิสถาน ฮิซบ์อุลมูญาฮิดีนในรัฐชัมมูและกัศมีร์ (HM) อังกาตัน เบเลีย อิสลาม ซามาเลเซีย (ABIM) และองค์กรยุวชนอิสลามแห่งมาเลเซีย องค์กรทางด้านศาสนาอีกองค์กรหนึ่งของโรฮีนจาคือแนวร่วมอิสลามโรฮีนจาอาระกัน (ARIF) ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2529 โดยนูรุล อิสลาม อดีตรองประธาน RPF
การขยายตัวทางการทหารและการเชื่อมโยงกับฏอลิบานและอัลกออิดะฮ์ (พ.ศ. 2531–2554)
ค่ายทหารของ RSO ตั้งอยู่ที่เมืองคอกส์บาซาร์ทางใต้ของบังกลาเทศ มีการส่งอาวุธจากฏอลิบาน มาให้ตามแนวชายแดนพม่า-บังกลาเทศ บางส่วนได้ส่งทหารไปฝึกในอัฟกานิสถาน[ 50] การขยายตัวของ RSO ในช่วง พ.ศ. 2533 ทำให้รัฐบาลพม่าเข้ามากวาดล้างตามแนวชายแดนพม่า-บังกลาเทศ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2534 ทหารพม่าได้ข้ามพรมแดนไปโจมตีกองทหารในบังกลาเทศซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดกับบังกลาเทศ และในเดือนเมษายน พ.ศ. 2535 ชาวโรฮีนจามากกว่า 250,000 คนถูกผลักดันให้ออกจากยะไข่ซึ่งเหตุการณ์นี้ถูกประณามจากซาอุดีอาระเบีย [ 2] [ 51] ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2537 มีสมาชิก RSO 120 คนเข้าสู่หม่องด่อโดยข้ามแม่น้ำนาฟ ที่เป็นแนวพรมแดนระหว่างพม่ากับบังกลาเทศ ในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2537 มีระเบิดเกิดขึ้นในเมืองหม่องด่อ 12 แห่ง[ 52] ต่อมา ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2541 สมาชิก RSO และแนวร่วมอิสลามโรฮีนจาอาระกัน (ARIF) ได้รวมเข้าด้วยกันและจัดตั้งสภาแห่งชาติโรฮีนจา (RNC) และกองทัพแห่งชาติโรฮีนจา (RNA) นอกจากนั้นได้จัดตั้งองค์กรแห่งชาติโรฮีนจาอาระกัน (ARNO) เพื่อจัดการกับกลุ่มโรฮีนจาที่มีความแตกต่างกันเข้ามาเป็นกลุ่มเดียว ซึ่งมีรายงานว่ากลุ่ม ARNO นี้มีความเกี่ยวพันกับอัลกออิดะฮ์ [ 53]
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554 มีชายชาวโรฮีนจาประมาณ 80-100 คน ในเมืองหม่องด่อตามแนวชายแดนถูกจับกุมโดยกองทัพพม่าที่ประจำตามแนวชายแดนและถูกเชื่อมโยงกับฏอลิบาน[ 54] [ 55] กองทหารฏอลิบานที่ชื่อว่ามูลีวี ฮารุนได้ตั้งค่ายฝึกและจัดทำระเบิดทางเหนือของหม่องด่อติดกับชายแดนบังกลาเทศในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 บุคคลต้องสงสัยที่ถูกจับกุม มี 19 คนถูกนำมาศาลก่อนในเดือนมีนาคมและเมษายนปีเดียวกัน.[ 56] มี 12 คนที่มีความเกี่ยวข้องกับฏอลิบานหรือกองกำลังติดอาวุธอิสลามถูกตัดสินจำคุกเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2554[ 57]
ความเห็นเกี่ยวกับเหตุรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับโรฮีนจา
มอเช เยการ์ นักประวัติศาสตร์ชาวอิสราเอลได้กล่าวว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนมุญาฮิดีนในยะไข่เกิดขึ้นเพราะนโยบายของรัฐบาลที่กดดันต่อชาวมุสลิมโรฮีนจา โดยสาเหตุของปัญหาได้แก่ หลังจากที่พม่าประกาศเอกราช มุสลิมไม่ได้รับการยอมรับในราชการทหาร รัฐบาลพม่าได้รับชาวยะไข่ซึ่งต่อต้านชุมชนมุสลิมเข้ามาเป็นตำรวจและเจ้าหน้าที่แทนชาวมุสลิม มุสลิมถูกทหารและตำรวจจับตามอำเภอใจ การประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติได้ก่อให้เกิดปัญหาแก่มุสลิมโรฮีนจา ชาวกะเหรี่ยง กะชีน และชีนที่นับถือศาสนาคริสต์ ทำให้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้[ 58] เยการ์ยังได้กล่าวว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนมุสลิมในยะไข่เกิดขึ้นก่อนพม่าได้รับเอกราช โดยเกิดขึ้นพร้อมกับการขอแยกดินแดนมายูในรัฐยะไข่ และต้องการเป็นรัฐเอกราชของมุสลิม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2489 มุสลิมในยะไข่ได้เรียกร้องต่อโมฮัมหมัด อาลี จินนาห์เพื่อขอให้ผนวกดินแดนของตนเข้าไปในปากีสถานที่จะตั้งขึ้นใหม่
อย่างไรก็ตาม กบฏมุญาฮิดีนเกิดขึ้นภายใต้การปกครองของอูนุซึ่งเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย และชาวมุสลิมยังได้รับการยอมรับจากรัฐบาล การต่อต้านและการกดดันต่อมุสลิมเกิดขึ้นในสมัยนายพลเน วิน นอกจากนั้น ช่วงเวลาในการประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติยังไม่สอดคล้องกันเพราะพม่าประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเมื่อ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 ในขณะที่กบฏมุญาฮิดีนเริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2490.[ 59]
เอ ชาน นักประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยคันดะได้เสนอว่า ขบวนการมุญาฮิดีนในยะไข่เกิดจากความรุนแรงระดับหมู่บ้านระหว่างชาวโรฮีนจากับชาวยะไข่ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2485[ 60] โดยในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2485 มุสลิมโรฮีนจาจากภาคเหนือของยะไข่ได้ฆ่าชาวพุทธยะไข่ราว 20,000 คน ในเมืองบูตีดองและหม่องด่อ ในช่วงเวลาเดียวกัน มุสลิมโรฮีนจา 5,000 คนในเมืองมีน-บยาและมเยาะอู ถูกชาวยะไข่ฆ่า[ 61] ความรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะอังกฤษติดอาวุธให้ชาวมุสลิมทางภาคเหนือของยะไข่เพื่อสร้างเขตกันชนป้องกันการรุกรานของญี่ปุ่น[ 62] โดยได้สัญญาว่าหากชาวมุสลิมสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร พวกเขาจะได้รับ "พื้นที่แห่งชาติ"[ 63] อย่างไรก็ตาม กองกำลังของโรฮีนจากลับพยายามที่จะทำลายหมู่บ้านของชาวยะไข่แทนที่จะต่อต้านญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว ความขัดแย้งระหว่างยะไข่กับโรฮีนจาจึงเกิดขึ้น[ 60] เมื่อรัฐเอกราชใหม่ของมุสลิมคือปากีสถานกำลังจะได้รับการจัดตั้ง ชาวโรฮีนจาซึ่งขณะนั้นมีกองกำลังติดอาวุธอยู่แล้วจึงต้องการ "พื้นที่แห่งชาติ" ตามที่อังกฤษเคยสัญญาไว้ โดยขอแยกดินแดนมายูออกจากพม่าตะวันตกไปรวมกับปากีสถานตะวันออก มุญาฮิดีนได้ลุกฮือขึ้นในยะไข่ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และเกิดขึ้นต่อเนื่องมา
หมายเหตุ
อ้างอิง
↑ U Nu, U Nu: Saturday's Son, (New Haven and London: Yale University Press) 1975, p. 272.
↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 "Bangladesh Extremist Islamist Consolidation" . by Bertil Lintner. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 22 มิถุนายน 2012. สืบค้นเมื่อ 21 ตุลาคม 2012 . อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "BL-1" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
↑ Myint, Moe (24 October 2017). "Rakhine Crisis in Numbers" . The Irrawaddy . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 27 October 2017. สืบค้นเมื่อ 27 October 2017 .
↑ 4.0 4.1 "New Rakhine Police Chief Appointed" . www.irrawaddy.com . 6 September 2017. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 14 September 2017. สืบค้นเมื่อ 13 September 2017 .
↑ "Myanmar military denies atrocities against Rohingya, replaces general" . Reuters . 13 November 2017. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2017. สืบค้นเมื่อ 29 November 2017 .
↑ Millar, Paul (16 February 2017). "Sizing up the shadowy leader of the Rakhine State insurgency" . Southeast Asia Globe Magazine . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 24 February 2017. สืบค้นเมื่อ 24 February 2017 .
↑ J, Jacob (15 December 2016). "Rohingya militants in Rakhine have Saudi, Pakistan links, think tank says" . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 26 August 2017. สืบค้นเมื่อ 21 December 2016 .
↑ "Arakan Rohingya National Organisation – Myanmar/Bangladesh" . www.trackingterrorism.org (ภาษาอังกฤษ). เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 5 May 2018. สืบค้นเมื่อ 5 May 2018 .
↑ 9.0 9.1 Lewis, Simon; Siddiqui, Zeba; Baldwin, Clare; Andrew R.C., Marshall (26 June 2018). "How Myanmar's shock troops led the assault that expelled the Rohingya" . Reuters (ภาษาอังกฤษ). เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 26 June 2018. สืบค้นเมื่อ 27 June 2018 .
↑ Hunt, Katie. "Myanmar Air Force helicopters fire on armed villagers in Rakhine state" . CNN. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 November 2016. สืบค้นเมื่อ 15 November 2016 .
↑ "PRESS RELEASE: Rohingya National Army (RNA) successfully raided a Burma Army Camp 30 miles from nort..." rohingya.org. 28 May 2001. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 1 May 2017. สืบค้นเมื่อ 21 October 2016 .
↑ "An ethnic militia with daring tactics is humiliating Myanmar's army" . The Economist . 16 April 2020. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 10 June 2020. สืบค้นเมื่อ 10 June 2020 .
↑ Khine, Min Aung; Ko Ko, Thet (23 August 2018). "Western Border on High Alert as ARSA Attack Anniversary Nears" . The Irrawaddy . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 23 August 2018. สืบค้นเมื่อ 23 August 2018 .
↑ 14.0 14.1 14.2 Yegar, Moshe (2002). Between Integration and Secession: The Muslim Communities of the Southern Philippines, Southern Thailand, and Western Burma/Myanmar (ภาษาอังกฤษ). Lexington Books. pp. 37, 30, 44. ISBN 978-0-7391-0356-2 . สืบค้นเมื่อ 17 May 2020 .
↑ Olarn, Kocha; Griffiths, James (11 January 2018). "Myanmar military admits role in killing Rohingya found in mass grave" . CNN . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 18 January 2018. สืบค้นเมื่อ 16 January 2018 .
↑ " 'Beyond comprehension': Myanmar admits killing Rohingya" . www.aljazeera.com . 11 January 2018. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 January 2018. สืบค้นเมื่อ 16 January 2018 .
↑ Brennan, Elliot; O'Hara, Christopher (29 June 2015). "The Rohingya and Islamic Extremism: A Convenient Myth" . The Diplomat . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 9 May 2018. สืบค้นเมื่อ 9 May 2018 .
↑ Lintner, Bertil (20 September 2017). "The truth behind Myanmar's Rohingya insurgency" . Asia Times . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 8 October 2017. สืบค้นเมื่อ 8 October 2017 .
↑ Bhaumik, Subir (1 September 2017). "Myanmar has a new insurgency to worry about" . South China Morning Post . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 9 October 2017. สืบค้นเมื่อ 8 October 2017 .
↑ "One officer and 20 soldiers killed in AA clash" . Mizzima (ภาษาอังกฤษ). 10 April 2019. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 20 July 2019. สืบค้นเมื่อ 20 July 2019 .
↑ 21.0 21.1 Soe, Aung Naing (10 March 2019). "Myanmar says 9 police killed in Arakan Army attack" . AP News . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 20 July 2019. สืบค้นเมื่อ 20 July 2019 .
↑ "3 killed in rocket attack on army tugboat in western Myanmar" . Xinhua . 23 June 2019. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 22 July 2019. สืบค้นเมื่อ 22 July 2019 .
↑ Myint, Moe (8 July 2019). "Two Dead in Rakhine Border Post Attack" . The Irrawaddy . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 20 July 2019. สืบค้นเมื่อ 20 July 2019 .
↑ Myint, Moe (22 July 2019). "Army Officer, 2 Navy Personnel Killed in AA Rocket Attack in Rakhine" . The Irrawaddy . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 22 July 2019. สืบค้นเมื่อ 22 July 2019 .
↑ "Myanmar policeman shot dead in northern Rakhine state" . The Guardian . Agence France-Presse (AFP). 23 December 2018. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 23 December 2018. สืบค้นเมื่อ 23 December 2018 .
↑ "13 policemen die in Rakhine rebel attacks" . The Straits Times (ภาษาอังกฤษ). 5 January 2019. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 5 January 2019. สืบค้นเมื่อ 5 January 2019 .
↑ 27.0 27.1 Slodkowski, Antoni (15 November 2016). "Myanmar army says 86 killed in fighting in northwest" . Reuters India . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 16 November 2016. สืบค้นเมื่อ 17 November 2016 .
↑ "Myanmar tensions: Dozens dead in Rakhine militant attack" . BBC News . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 25 August 2017. สืบค้นเมื่อ 25 August 2017 .
↑ "Nearly 400 die as Myanmar army steps up crackdown on Rohingya militants" . Reuters . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 3 September 2017. สืบค้นเมื่อ 1 September 2017 .
↑ Habib, Mohshin; Jubb, Christine; Ahmad, Salahuddin; Rahman, Masudur; Pallard, Henri (18 July 2018). "Forced migration of Rohingya: the untold experience" . Ontario International Development Agency, Canada. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2019. สืบค้นเมื่อ 26 July 2019 – โดยทาง National Library of Australia.
↑ "Former UN chief says Bangladesh cannot continue hosting Rohingya" . Al Jazeera . 10 July 2019. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 6 September 2019. สืบค้นเมื่อ 5 August 2019 .
↑ "Around 24,000 Rohingya Muslims killed by Myanmar army, 18,000 raped: report" . Daily Sabah . 19 August 2018. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 5 August 2019. สืบค้นเมื่อ 5 August 2019 .
↑ "Myanmar: IDP Sites in Rakhine State (as of 31 July 2018)" (PDF) . OCHA. เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ 11 October 2018. สืบค้นเมื่อ 11 October 2018 .
↑ "Rohingya Crisis in Myanmar" (ภาษาอังกฤษ). Global Conflict Tracker. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 11 October 2018. สืบค้นเมื่อ 11 October 2018 .
↑ "Bangladesh is now home to almost 1 million Rohingya refugees" . The Washington Post . 25 October 2017. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 29 October 2017. สืบค้นเมื่อ 2 November 2017 .
↑ "Pope apologizes to Rohingya refugees for 'indifference of the world' " . CBC News (ภาษาอังกฤษ). เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2017. สืบค้นเมื่อ 2 December 2017 .
↑ "Pope Francis Says 'Rohingya' During Emotional Encounter With Refugees" . Time . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 4 December 2017. สืบค้นเมื่อ 2 December 2017 .
↑ "Pope uses term Rohingya during Asia trip" . BBC News . 1 December 2017. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2017. สืบค้นเมื่อ 2 December 2017 .
↑ "Myanmar bars U.N. rights investigator before visit" . Reuters . 2017. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 28 December 2017. สืบค้นเมื่อ 28 December 2017 .
↑ "China and Russia oppose UN resolution on Rohingya" . The Guardian . 24 December 2017. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 27 December 2017. สืบค้นเมื่อ 28 December 2017 .
↑ "Myanmar Military Investigating a Mass Grave in Rakhine" . Time . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 23 December 2017. สืบค้นเมื่อ 28 December 2017 .
↑ "100,000 Rohingya on first repatriation list | Dhaka Tribune" . www.dhakatribune.com . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 27 December 2017. สืบค้นเมื่อ 28 December 2017 .
↑ Yegar, Moshe (1972). Muslims of Burma . Wiesbaden: Verlag Otto Harrassowitz. p. 96.
↑ "টার্গেট আরাকান ও বাংলাদেশের কয়েকটি জেলা স্বাধীন রাষ্ট্রের স্বপ্ন জঙ্গিদের (Some Arakan and Bangladeshi militants target of Independent State)" . Dainik Purbokone Bangladesh. สืบค้นเมื่อ 22 October 2012 .
↑ "নতুন রাষ্ট্র গঠনে মিয়ানমারের ১১ টি বিচ্ছিন্নতাবাদী গ্রুপ সংগঠিত হচ্ছে (11 secessionist group is organizing to create a new state in Burma)" . The Editor, Bangladesh. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-05-08. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22 .
↑ "Myanmar, Bangladesh leaders 'to discuss Rohingya' " . Agence France-Presse. 29 June 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2012-07-18. สืบค้นเมื่อ 2015-05-19 .
↑ 47.0 47.1 "The Rohingya: A humanitarian crisis" . Al Jazeera. สืบค้นเมื่อ 23 January 2014 .
↑ Lintner, Bertil (1999). Burma in Revolt: Opium and Insurgency Since 1948, . Chiang Mai: Silkworm Books. pp. 317 –8.
↑ "Bangladesh: Breeding ground for Muslim terror" . by Bertil Lintner. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2012-10-18. สืบค้นเมื่อ 2012-10-21 .
↑ "Rohingyas trained in different Al-Qaeda and Taliban camps in Afghanistan" . By William Gomes. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2018-01-03. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22 .
↑ Selth, Andrew (Nov–Dec 2003). Burma and International Terrorism, . Australian Quarterly, vol. 75, no. 6,. pp. 23–28. {{cite book }}
: CS1 maint: extra punctuation (ลิงก์ )
↑ "Rohingya Terrorists Plant Bombs, Burn Houses in Maungdaw" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-10-14. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22 .
↑ "Wikileaks Cables: ARAKAN ROHINGYA NATIONAL ORGANIZATION CONTACTS WITH AL QAEDA AND WITH BURMESE INSURGENT GROUPS ON THE THAI BORDER" . Revealed by Wikileaks. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22 .
↑ "Nearly 80 Suspected Taliban Members Arrested in Burma" . Narinjara News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-10-04. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22 .
↑ "Muslims Arrested in Arakan State Accused of Taliban Ties" . Irrawaddy News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-10-05. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22 .
↑ "19 Alleged Members of Taliban Group Brought to Trial" . Narinjara News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-10-04. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22 .
↑ "Twelve Suspected Taliban Sentenced to Jail" . Narinjara News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-10-04. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22 .
↑ Lall, Marie (23 November 2009). Ethnic Conflict and the 2010 Elections in Burma [ลิงก์เสีย ] . Chatham House .
↑ Burmese Encyclopedia . Yangon: Burma Translation Society. 1963. p. 167.
↑ 60.0 60.1 Aye Chan (2005). "The Development of a Muslim Enclave in Arakan (Rakhine) State of Burma (Myanmar)" (PDF) . SOAS. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2013-07-12. สืบค้นเมื่อ November 1, 2011 .
↑ Kyaw Zan Tha, MA (July 2008). "Background of Rohingya Problem": 1.
↑ Field-Marshal Viscount William Slim (2009). Defeat Into Victory: Battling Japan in Burma and India, 1942-1945 . London: Pan. ISBN 0330509977 .
↑ Howard Adelman (2008). Protracted displacement in Asia: no place to call home . Ashgate Publishing, Ltd. p. 86. ISBN 0754672387 . สืบค้นเมื่อ 12 April 2011 .