Share to:

 

กรณีพิพาทอินโดจีน

กรณีพิพาทอินโดจีน
วันที่28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 – 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484
สถานที่
อินโดจีนของฝรั่งเศส
ผล

ไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ[1]

  • ญี่ปุ่นมาเป็นตัวกลางเจรจาหยุดยิง[2]
ดินแดน
เปลี่ยนแปลง
ฝรั่งเศสยกดินแดนพิพาทในอินโดจีนของฝรั่งเศสให้แก่ไทยตามการตัดสินของญี่ปุ่น[3]:22[4]:78
คู่สงคราม
ไทย

 ฝรั่งเศสเขตวีชี

ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
พลตรี หลวงพิบูลสงคราม
(ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบก)
นายพลเรือเอก หลวงสินธุสงครามชัย
(ผู้บัญชาการทหารเรือ)
พลอากาศโท หลวงอธึกเทวเดช
(ผู้บัญชาการทหารอากาศ)
ฌ็อง เดอกู
กำลัง
กำลังพล 60,000 นาย
รถถัง 134 คัน
เครื่องบินรบ 140 ลำ[5]
เรือป้องกันชายฝั่ง 3 ลำ
เรือตอร์ปิโด 12 ลำ
เรือดำน้ำ 4 ลำ
ทหารฝรั่งเศส 50,000 นาย
(ทหารอาณานิคม 38,000 นาย)
รถถังเบา 20 คัน
เครื่องบินรบ 100 ลำ
เรือลาดตระเวนเบา 1 ลำ
เรือปืน 4 ลำ
ความสูญเสีย
พื้นดิน:
เสียชีวิต 54 นาย[6]
บาดเจ็บ 307 นาย
ตกเป็นเชลย 21 นาย
เสียอากาศยาน 8–13 ลำ
ทะเล:
เสียชีวิต 36–300+ นาย[7][8]
เรือตอร์ปิโดจม 3 ลำ[7]
สูญเสียเรือลาดตระเวนเบา 1 ลำ
รวม:
418–700+ นาย[7][8]
พื้นดิน:
เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ 321 นาย
สูญหาย 178 นาย
ตกเป็นเชลย 222 นาย
เสียอากาศยาน 22 ลำ
ทะเล:
ไม่มี[7][8]
รวม: มากกว่า 721 นาย

กรณีพิพาทอินโดจีน หรือ สงครามอินโดจีน ในต่างประเทศเรียกว่า สงครามฝรั่งเศส-ไทย เป็นการสู้รบระหว่างไทยกับฝรั่งเศส​ที่เกิดจากฝรั่งเศส​พูดกับทหารชั้นผู้น้อยของไทยว่าประเทศไทยความเจริญเข้าไม่ถึงทำให้วันที่​ 1​ มกราคม​ 2484​ -​ 4​ พฤษภาคม​ 2484 จอมพล​แปลก พิบูลสงคราม​ สั่งให้ทหารไทยบุกเข้าดินแดนฝรั่งเศส​แบบที่ฝรั่งเศส​ไม่ทันตั้งตัว​ ทำให้ฝรั่งเศส​สูญเสีย​ทหาร​ 115 นาย​ จับกุมได้​ 11​ นาย​ เรื่องทำให้ฝรั่งเศส​แพ้ยับ​ ในวันที่​ 9​ พฤษภาคม​ 2484​ ญี่ปุ่น​ได้เขาไกล่เกลี่ยทำให้สงครามจบในที่สุด

จุดเริ่มต้น

จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ขณะตรวจพลในช่วงสงคราม

ในปี พ.ศ. 2482 ขณะฝรั่งเศสจะประกาศสงครามกับเยอรมนีแต่ยังมีความห่วงใยอาณานิคมของตนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงได้เสนอขอให้รัฐบาลไทยทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกันทางแหลมอินโดจีน รัฐบาลไทยได้ตอบว่ายินดีจะรับตกลงตามคำของฝรั่งเศสแต่ขอให้ฝรั่งเศสปรับปรุงเส้นเขตแดนบริเวณแม่น้ำโขงเสียใหม่ให้ถูกต้องและเป็นธรรม ได้ต่อรองกันอยู่หลายเดือน ในที่สุดก็ได้ทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกันเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2484 แต่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน

ภายหลังจากที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้เยอรมนีเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2483 แล้ว รัฐบาลฝรั่งเศสเขตวีชีได้ขอทำให้รัฐบาลไทยให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน รัฐบาลไทยได้ตอบไปเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2483 ว่าพร้อมที่จะให้สัตยาบัน ถ้าฝรั่งเศสยอมรับข้อเสนอของไทย 3 ข้อคือ (1) ให้ถือร่องน้ำลึกเป็นเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศ (2) ขอไชยบุรีและจำปาสัก ซึ่งฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตรงข้ามกับหลวงพระบาง และตรงข้ามกับปากเซ ให้ไทย โดยถือแม่น้ำโขงเป็นพรมแดนระหว่างประเทศ และ (3) ขอให้ฝรั่งเศสรับรองว่าถ้าอินโดจีนเปลี่ยนจากอธิปไตยฝรั่งเศสไป ฝรั่งเศสจะคืนอาณาเขตลาวและกัมพูชาให้ไทย ฝรั่งเศสยอมรับเพียงข้อแรกนอกนั้นปฏิเสธ[9]

สถานการณ์ในประเทศไทยเริ่มขึ้นในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2483 เมื่อคณะนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง รวมทั้งประชาชนร่วมกันเดินขบวนเรียกร้องรัฐบาลเรียกเอาดินแดนคืนจากฝรั่งเศสจากที่สูญเสียไปเมื่อครั้งวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 เช่น เสียมราฐ พระตะบอง จำปาศักดิ์ เป็นต้น พลตรี หลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น (ต่อมาปี พ.ศ. 2485 เป็น จอมพล ป. พิบูลสงคราม) กล่าวขอบคุณนิสิตนักศึกประชาชนที่สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลทางวิทยุกระจายเสียง และปลุกความรู้สึกชาตินิยม เพลงปลุกใจในเวลานั้นได้ถูกเปิดอย่างต่อเนื่อง เช่น เพลงข้ามโขง เพลงดอกฟ้าจำปาศักดิ์ เพลงเสียมราฐ เป็นต้น

ด้านอินโดจีนฝรั่งเศสได้มีการเคลื่อนไหวอย่างคึกคักในการเตรียมกำลังรบ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าฝรั่งเศสเตรียมการรบกับไทย ได้มีการโยกย้ายทหารจากอ่าวตังเกี๋ยมายังชายแดนไทย ได้รวบรวมอาวุธยุทโธปกรณ์และสะสมเสบียงอาหารไว้ตามชายแดนไทยเป็นจำนวนมาก ปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2483 เริ่มมีการส่งทหารเข้ามาแทรกซึมฝั่งไทย รวมทั้งส่งเครื่องบินล้ำแดนเข้ามาทางจังหวัดตราดลึกถึง 5 กิโลเมตร รัฐบาลไทยได้ประท้วง แต่ฝรั่งเศสหาได้นำพาต่อการประท้วงไม่ มิหนำซ้ำเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 ยังได้ส่งเครื่องบินจำนวน 5 เครื่อง เข้ามาโจมตีทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนมแล้วหนีไป มีราษฎรไทยได้รับบาดเจ็บ

เริ่มการสู้รบ

พลตรี หลวงพิบูลสงคราม (ต่อมา คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) กล่าวปราศรัยแก่นิสิตนักศึกษาและประชาชนที่มาชุมนุมเรียกร้องเอาดินแดนอินโดจีน คืนจากฝรั่งเศส ในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2483 ที่หน้ากระทรวงกลาโหม

รัฐบาลไทยตัดสินใจใช้กำลังทหารเพื่อป้องกันประเทศทันทีทั้งทางบกและทางอากาศ พลตรี หลวงพิบูลสงคราม ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2483 ฝ่ายไทยได้ประกาศระดมพลและสั่งเคลื่อนกำลังทหารเข้าประจำชายแดนเพื่อเข้าตีโต้ตอบ และวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2484 กองทัพไทยได้เคลื่อนกองทัพบุกเข้าไปในเขมรและลาว มุ่งยึดดินแดนคืน

การสู้รบทางบก กองพลพายัพ ยึดได้แคว้นหลวงพระบาง ฝั่งขวาห้วยทราย ตรงข้ามเชียงแสน มีเมืองปากลาย หงสา แลเชียงฮ่อน กองทัพอีสาน กองพลอุบลยึดได้แคว้นจำปาศักดิ์ กองพลสุรินทร์ยึดได้เมืองสำโรงจงกัล ทางจังหวัดเสียมราฐ กองทัพบูรพา ยึดได้พื้นที่ทางทิศตะวันตกของศรีโสภณ กองพลจันทบุรียึดได้บ้านกุบเรียง และบ้านห้วยเขมร ทางด้านทิศตะวันตกของบ่อไพลิน และพระตะบอง

การสู้รบทางอากาศ มีการปฏิบัติการตั้งแต่ก่อนการเคลื่อนกำลังทางบกข้ามเขตแดน นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 มีการส่งเครื่องบินขึ้นไปสกัดกั้นเครื่องบินของฝ่ายฝรั่งเศสที่เข้ามาโจมตีไทย จากนั้นก็มีการตอบโต้ด้วยการส่งเครื่องบินไปโจมตีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ในลาวและเขมรอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการส่งเครื่องบินไปโจมตีสนามบินฝรังเศสที่นครวัดเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2484 และพนมเปญ เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นการโจมตีครั้งสุดท้าย

การสู้รบทางเรือ เมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2484 เกิดการปะทะกันของกำลังทางเรือไทยกับฝรั่งเศสในยุทธนาวีเกาะช้าง ฝรั่งเศสได้ส่งกำลังทางเรือส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในอินโดจีนเข้ามาในน่านน้ำไทยทางด้านเกาะช้าง ด้วยความมุ่งหมายที่จะระดมยิงหัวเมืองชายทะเลทางภาคตะวันออกของประเทศไทย เพื่อกดดันให้กำลังทหารของไทยที่รุกข้ามชายแดนต้องถอนกำลังกลับมา กำลังเรือของฝรั่งเศสจำนวน 7 ลำ ปะทะเข้ากับกำลังทางเรือของไทยจำนวน 3 ลำ ผลการปะทะฝ่ายไทยเสียเรือรบไปทั้ง 3 ลำ ฝ่ายฝรั่งเศส เรือลาดตระเวนได้รับความเสียหาย จึงล่าถอยกลับไป

ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจในเวลานั้น (และได้ส่งกำลังทหารมาตั้งฐานทัพที่เมืองฮานอยและเมืองไฮฟองตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2483 แล้ว) เกรงว่าการสู้รบครั้งนี้จะเป็นอุปสรรคต่อแผนของตนที่จะรุกรานลงทางใต้[10] จึงได้ยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ยเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2484 ตกลงให้มีการหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2484[9] และมีการลงนามหยุดยิงบนเรือลาดตระเวนของญี่ปุ่นชื่อนาโตริ หน้าอ่าวเมืองไซ่ง่อน เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2484

สงบศึก

จังหวัดที่ฝรั่งเศสยกจากกัมพูชาให้ไทยถูกจัดกลุ่มใหม่เป็นจังหวัดใหม่ของประเทศไทย คือ จังหวัดพระตะบอง, จังหวัดพิบูลสงคราม และจังหวัดนครจำปาศักดิ์

หลังสิ้นสุดกรณีพิพาท โดยมีญี่ปุ่นเป็นตัวกลางในการเจรจา โดยการหยุดยิงเริ่มมีผลในเวลา 10:00 น. ของวันที่ 28 มกราคม และมีการจัด "การประชุมเพื่อการยุติความเป็นปรปักษ์" ที่สนับสนุนโดยญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นที่ไซง่อน โดยมีเอกสารเบื้องต้นสำหรับการสงบศึกระหว่างรัฐบาลรัฐฝรั่งเศสของจอมพล ฟีลิป เปแต็ง กับราชอาณาจักรไทย ลงนามบนเรือลาดตระเวนนาโตริในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1941 ต่อมาได้ลงนามในอนุสัญญาโตเกียวเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484[11][12] โดยที่ฝรั่งเศสถูกญี่ปุ่นบีบบังคับให้สละการถือครองดินแดนชายแดนที่มีข้อพิพาท ฝรั่งเศสต้องยกดินแดนจากกัมพูชาและลาวให้ไทย ดังที่ระบุไว้ข้างล่างนี้:

อย่างไรก็ตาม ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ไทยได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศมหาอำนาจและฝรั่งเศสที่เป็นฝ่ายชนะสงคราม นำไปสู่ ความตกลงระงับกรณีระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ซึ่งทำที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 หรือที่รู้จักในชื่อ ความตกลงวอชิงตัน มีผลให้อนุสัญญาดังกล่าวถูกยกเลิกไป กลับไปสู่สถานะเดิม โดยไทยต้องคืนดินแดน อินโดจีน ที่ได้มาทั้งหมดให้กับประเทศฝรั่งเศส

ภายหลังจากที่กองทัพไทยมีชัยชนะต่ออินโดจีนฝรั่งเศส พลตรี หลวงพิบูลสงคราม ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศจอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2484

สนธิสัญญา

อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

การแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้ได้รับการยกย่องจากประชาชนชาวไทยอย่างกว้างขวาง และถือเป็นชัยชนะส่วนตัวของจอมพล แปลก โดยนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยสามารถได้สิทธิประโยชน์จากมหาอำนาจยุโรปได้ แม้ว่าจะเป็นชาติที่อ่อนแอก็ตาม ในขณะที่ฝรั่งเศสในอินโดจีนมองความขัดแย้งนี้เป็นสิ่งที่ระลึกถึงความขมขื่นต่อความโดดเดี่ยวหลังความพินาศที่ฝรั่งเศส

เพื่อฉลองชัยชนะ จอมพล แปลกทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของทหาร ตำรวจ และพลเรือนที่เสียชีวิตไปในการรบครั้งนี้

ทางญี่ปุ่นต้องการรักษาทั้งความสัมพันธ์ในการทำงานกับวิชีและสถานะเดิม ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องยอมรับดินแดนที่ได้จากฝรั่งเศสเพียงหนึ่งส่วนสี่ แล้วต้องจ่ายสัมปทานแก่ฝรั่งเศส 6 ล้านpiastres

อย่างไรก็ตาม ผู้ได้รับประโยชน์จากความขัดแย้งที่แท้จริงคือญี่ปุ่น ซึ่งสามารถขยายอิทธิพลทั้งในประเทศไทยและอินโดจีนได้ ทางญี่ปุ่นต้องการใช้ไทยและอินโดจีนเป็นฐานทัพในการรุกรานพม่าของบริติชและบริติชมาลายาในภายหลัง ญี่ปุ่นได้รับคำสัญญาลับจากจอมพล แปลกว่าจะสนับสนุนตนในการโจมตีมาลายาและพม่า แต่ว่าเขาไม่รักษาคำสัญญา[13]

ในเวลาต่อมา ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและไทยอยู่ในสภาวะตึงเครียด เมื่อจอมพล แปลกที่รู้สึกผิดหวัง หันไปเข้าหาอังกฤษและอเมริกาเพื่อกำจัดสิ่งที่เขามองว่าเป็นการรุกรานของญี่ปุ่นที่ใกล้จะเกิดขึ้น[14] อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่นเข้ารุกรานประเทศไทยและมาลายา โดยมีการสู้รบเพียง 5 ชั่วโมงก่อนลงนามสงบศึก ประเทศไทยกลายเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นจนถึง พ.ศ. 2488

หลังสงครามในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2489 เมื่อรัฐบาลชั่วคราวฝรั่งเศสขู่ว่าจะทำให้สถานะการเป็นสมาชิกสหประชาชาติของไทยเป็นโมฆะ ทางไทยจึงต้องยกกัมพูชาตะวันตกเฉียงเหนือและดินแดนแทรกของลาว 2 แห่งที่แม่น้ำโขงฝั่งไทยคืนให้ฝรั่งเศส[15] โดยนำไปสู่ความตกลงระงับกรณีระหว่างไทยกับฝรั่งเศส พ.ศ. 2489 ที่แก้ไขปัญหาและวางแนวทางฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ

ผลกระทบ

การเบียดเบียนคริสต์ศาสนิกชนเกิดขึ้นหลายแห่งทั่วประเทศ รวมทั้งที่หมู่บ้านสองคอน จังหวัดนครพนม ซึ่งชาวบ้านทั้งหมดเป็นชาวคาทอลิก บาทหลวงปอล ฟีเก อธิการโบสถ์แม่พระไถ่ทาสซึ่งเป็นโบสถ์ประจำชุมชน ได้ถูกขับออกนอกประเทศ สีฟอง อ่อนพิทักษ์ และซิสเตอร์อีก 2 คน คือ ซิสเตอร์พิลา ทิพย์สุข ซิสเตอร์คำบาง สีคำพอง จึงช่วยกันดูแลความเชื่อของชาวบ้านแทน การเบียดเบียนยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มีซิสเตอร์ถูกข่มขืน รูปศักดิ์สิทธิ์ถูกเหยียดหยามทำลาย สีฟองจึงเขียนจดหมายร้องเรียนไปยังนายอำเภอมุกดาหาร แต่จดหมายนั้นกลับตกไปอยู่ในมือของตำรวจ ตำรวจจึงเขียนจดหมายปลอมว่านายอำเภอให้สีฟองไปพบ ตำรวจลือ เมืองโคตร และตำรวจหน่อ พาสีฟองออกจากบ้านสองคอนตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พอเช้าวันที่ 16 ตำรวจลือก็ยิงเขาเสียชีวิตที่บ้านพาลุกา นับเป็นชาวไทยคาทอลิกคนแรกที่ได้พลีชีพเป็นมรณสักขี[16]

อ้างอิง

  1. Tucker, World War II: The Definitive Encyclopedia and Document Collection p. 649
  2. Fall, p. 22. "On the seas, one old French cruiser sank one-third of the whole Thai fleet ... Japan, seeing that the war was turning against its pupil and ally, imposed its 'mediation' between the two parties."
  3. Fall, Bernard B. (1994). Street Without Joy: The French Debacle in Indochina. Stackpole Books. ISBN 0-8117-1700-3.
  4. Windrow, Martin (2004). The Last Valley. Weidenfeld and Nicolson. ISBN 0-306-81386-6.
  5. Royal Thai Air Force. (1976) The History of the Air Force in the Conflict with French Indochina. Bangkok.
  6. Sorasanya Phaengspha (2002) The Indochina War: Thailand Fights France. Sarakadee Press.
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 Journoud, Pierre (2012). Face à la France, une victoire de Thaïs (8 ed.). fr:Guerres & Histoire. p. 72.
  8. 8.0 8.1 8.2 "The Battle of Koh Chang (January 1941)" netmarine.net
  9. 9.0 9.1 28 พฤศจิกายน 2483 ฝรั่งเศสบอมนครพนม เปิดฉากสงคราม “กรณีพิพาทอินโดจีน”
  10. อนุสัญญาสันติภาพระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ลงนาม ณ กรุงโตกิโอ วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2484
  11. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Hesse
  12. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Young, Edward M. 1995
  13. Charivat Santaputra (1985) Thai Foreign Policy 1932–1946. Thammasat University Press.
  14. Judith A. Stowe. (1991) Siam becomes Thailand: A Story of Intrigue. University of Hawaii Press. ISBN 0-8248-1393-6
  15. Terwiel, B.J. (2005) Thailand's Political History: From the Fall of Ayutthaya to Recent Times. River Books.
  16. วิกเตอร์ ลาร์เก, บาทหลวง, ประวัติพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย, ฉะเชิงเทรา : แม่พระยุคใหม่, 2539, หน้า 309-15

แหล่งข้อมูลอื่น

Kembali kehalaman sebelumnya