หม่อมเจ้าสวาสดิ์วัฒโนดม ประวิตร
หม่อมเจ้าสวาสดิ์วัฒโนดม ประวิตร (28 เมษายน พ.ศ. 2454 — 1 กันยายน พ.ศ. 2544)[1] เป็นนักเขียนชาวไทย พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงปราจิณกิติบดี ประสูติแต่หม่อมช้อย ประวิตร ณ อยุธยา ทรงใช้นามปากกาว่า ดวงดาว และบังใบ มีผลงานที่มีชื่อเสียง อาทิ "ผยอง", "เชลยศักดิ์", "เคหาสน์สีแดง" และ "ม่านไฟ" เป็นต้น พระประวัติหม่อมเจ้าสวาสดิ์วัฒโนดม ประวิตร เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงปราจิณกิติบดี กับแต่หม่อมช้อย ประวิตร ณ อยุธยา (สกุลเดิม กัลยาณมิตร)[2] ธิดาเจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) ประสูติเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2454 มีโสทรภาดาสององค์ คือ หม่อมเจ้าสีหวิลาศ ประวิตร และหม่อมเจ้ากวีวิศิษฐ์ ประวิตร หม่อมเจ้าสวาสดิ์วัฒโนดมทรงเข้ารับการศึกษาชั้นต้นในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ภายหลังพระบิดาทรงจ้างครูแหม่มมาสอนพิเศษ ณ วังราชสกุลประวิตร เชิงสะพานเทเวศร์ (ปัจจุบันคือตลาดจันทร์ประวิตร) พร้อมกับทรงศึกษาดนตรีจนมีความเชี่ยวชาญทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล และโปรดกีฬาทรงม้า หม่อมเจ้าสวาสดิ์วัฒโนดมโปรดการอ่านหนังสือตั้งแต่ยังทรงเยาว์ และเป็นแรงบันดาลทัยให้นิพนธ์นิยายต่าง ๆ ในเวลาต่อมา เมื่อชันษาได้ 17 ปี ทรงสนิทสนมกับหม่อมเจ้าอากาศดำเกิง รพีพัฒน์ (ชันษา 23 ปี) พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งประทับที่วังใกล้กัน หม่อมเจ้าอากาศดำเกิงทรงกราบทูลให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงสู่ขอหม่อมเจ้าสวาสดิ์วัฒโนดมมาเป็นชายาต่อหม่อมช้อยให้[3] เมื่อปี พ.ศ. 2471 แต่ทรงปฏิเสธเนื่องจากมิได้ทรงมีจิตปฏิพัทธ์ด้วย[4] ในพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เมี่อ พ.ศ. 2469 หม่อมเจ้าสวาสดิ์วัฒโนดม ได้เชิญจั่นหมากทอง ในพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร เครื่องราชอิสริยาภรณ์
งานนิพนธ์หม่อมเจ้าสวาสดิ์วัฒโนดมนิพนธ์นวนิยายเรื่องแรกเมื่อปี พ.ศ. 2478 ขณะชันษาได้ 24 ปี โดยใช้นามปากกาว่า "ดวงดาว" โดยทรงให้เหตุผลว่าโปรดที่จะทอดเนตรดวงดาวในยามค่ำคืน เพราะดูแล้วน่ารักดี แต่เมื่อทรงส่งเรื่อง "คำอธิษฐานของดวงดาว" ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจวันอาทิตย์ นามปากกาได้กลายเป็น "บังใบ" ซึ่งมาลัย ชูพินิจ เป็นผู้ตั้งถวายโดยความเข้าใจผิด ชื่งต่อมาในภายหลังทรงเปลี่ยนมาใช้นามปากกา "ดวงดาว" ตลอดมา และมีผลงานติดต่อมาหลายเรื่อง เช่น นวนิยายเรื่อง "ผยอง", "เชลยศักดิ์" และ "เคหาสน์สีแดง" หม่อมเจ้าสวาสดิ์วัฒโนดมมีจริยวัตรรักสวยรักงาม และมีอารมณ์ขัน โปรดการประพาสต่างจังหวัด เสด็จไปในที่ที่ไม่เจริญ เพื่อทอดเนตรความเป็นอยู่ของชาวบ้าน นำมาเป็นข้อมูลในงานนิพนธ์ เรื่องสั้นต่าง ๆ โดยมีหม่อมราชวงศ์วงศ์ศิริ กฤดากร เป็นพระสหายสนิทที่โปรดที่สุด หม่อมเจ้าสวาสดิ์วัฒโนดมทรงหยุดนิพนธ์นวนิยายในปี พ.ศ. 2508 เพราะไม่ทรงเห็นด้วยกับนิตยสารบางเล่ม ที่ให้ผู้อ่านทายชื่อนักประพันธ์ในนิยายที่ไม่ลงชื่อผู้แต่ง[6] แต่ยังนิพนธ์เรื่องสั้นบ้าง เรื่องสุดท้ายที่นิพนธ์ คือ เรื่อง "อดีตที่รัก" ซึ่งเป็นพระประวัติเมื่อครั้งทรงเยาว์ พิมพ์เป็นหนังสือแจกในงานพระราชทานเพลิงศพ หม่อมหลวงเหมือนจันทร์ ประวิตร (พี่สะใภ้) ซึ่งนิพนธ์ในปี พ.ศ. 2529 หม่อมเจ้าสวาสดิ์วัฒโนดมทรงได้รับการประกาศเกียรติคุณจากสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ได้รับรางวัลนราธิปครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ. 2544[7] หม่อมเจ้าสวาสดิ์วัฒโนดม ประวิตร สิ้นชีพิตักษัยด้วยพระอาการเส้นโลหิตในสมองตีบ เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2544 ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สิริชันษา 90 ปี นับเป็นหม่อมเจ้าองค์สุดท้ายของราชสกุลประวิตร ภายหลังจากสิ้นชีพิตักษัย กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติหม่อมเจ้าสวาสดิ์วัฒโนดม ประวิตร (ดวงดาว) เป็น "บูรพศิลปิน" เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559[8] ผลงาน
พงศาวลี
อ้างอิง
|