ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์
ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ นักพูดที่มีชื่อเสียง เจ้าของฉายา ต้นตำรับนักพูดเมืองไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข, อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร, และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ รวม 5 สมัย ประวัติทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ เกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2487 ที่อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เป็นพี่ชายของ ประสาร มฤคพิทักษ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ สมาชิกวุฒิสภาไทย ชุดที่ 10 สมาชิกวุฒิสภาไทย ชุดที่ 11 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทวิทยาศาสตร์ สาขาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดล จากนั้นได้เดินทางไปศึกษาต่อด้านการพูดและมนุษยสัมพันธ์ที่สถาบันเดล คาร์เนกี กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อศึกษาจบแล้วเดินทางกลับประเทศไทย ได้ก่อตั้งสถาบันพัฒนาบุคลิกภาพและการพูดในที่ชุมชน เมื่อปี พ.ศ. 2515 ซึ่งถือได้ว่าเป็นสถาบันสอนการพูดแห่งแรก ๆ ของประเทศไทย และยังคงดำเนินกิจการจนถึงปัจจุบัน การทำงานนักพูดทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ เป็นที่รู้จักดีจากการเป็นนักพูด เป็นบุคคลแรกที่จัดการทอล์คโชว์ขึ้นในประเทศไทย เป็นวิทยากรอบรมการพูดและสร้างเสริมบุคลิกภาพ จนทำให้ได้รับการขนานนามว่า "ต้นตำรับนักพูดเมืองไทย"[1] ปัจจุบัน เป็นพิธีกรดำเนินรายการ เก่ง3 ซึ่งเป็นรายการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองและเรื่องทั่วไปของบ้านเมือง ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไททีวี ช่อง 2 ในเวลาประมาณ 21.00 น. ทุกคืนวันเสาร์ การเมืองทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ เคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคพลังใหม่ ในปี พ.ศ. 2517[2] และเป็นกรรมการบริหารพรรคกิจประชาคม[3] เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ของพรรคพลังธรรม 4 สมัย นับตั้งแต่การเลือกตั้งปี พ.ศ. 2531 จนถึงปี พ.ศ. 2538 ภายหลังจากที่ไม่ได้รับเลือกตั้งใน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2539 ทินวัฒน์ได้ย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย และลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 72 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2544 โดยในระยะแรกไม่ได้รับเลือกตั้ง ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่ง ภายหลังจาก ประยุทธ มหากิจศิริ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี นอกจากนี้ ทินวัฒน์เคยเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข[4] และประธานคณะธรรมาธิการการสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ข้อวิจารณ์ระเบิดน้ำมันหมูวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2544 ในขณะนั้นเป็นช่วงสงครามอิรัก สหรัฐอเมริกาบุกโจมตีอิรักทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน ทินวัฒน์ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาว่า ไม่เห็นด้วยที่จะใช้ความรุนแรงสยบความรุนแรง การสั่งสอนชาวอัฟกันนั้นไม่ยาก ไม่ต้องใช้ขีปนาวุธ, ไม่ต้องใช้เอฟ-14, ไม่ต้องใช้โทมาฮอว์ก, ใช้แค่ระเบิดน้ำมันหมู หรือเครื่องบินพ่นน้ำมันหมูก็พอ และระบุด้วยว่า ได้ส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้ว หลังการให้สัมภาษณ์ ได้เกิดความไม่พอใจจากบุคคลภายในพรรคไทยรักไทยและภายนอก โดยเฉพาะชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม ทำให้กรรมการกลางอิสลามยื่นหนังสือถึงพันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เพื่อกดดันนายทินวัฒน์ให้ลาออกจาก สส. จนในวันที่ 18 กันยายน 2544 ทินวัฒน์ได้ประกาศลาออกจากการเป็น สส. ต่อที่ประชุมพรรค โดยกล่าวว่า "ไม่คิดว่าหมูเป็นสถาบันที่เป็นศัตรูกับอิสลามผมเป็นคนโชคร้าย แต่มองโลกในแง่ดีมีอารมณ์ขัน คิดว่าสหรัฐฯ ไม่น่าจะใช้อาวุธ หรืออะไรที่มีต้นทุนสูงในการปราบปรามผู้ก่อการร้าย มีคนกล่าวหาว่าผมไม่ระวังคำพูด ผมก็อาย เพราะผมเป็นอาจารย์สอนพูด และเป็นเสียเอง ก็ไม่ควรให้อภัยตนเอง ขอยืนยันว่าไม่มีเจตนาที่จะลบหลู่ศาสนาใด ผมถือโอกาสขออภัยต่อพี่น้องมุสลิมทั่วประเทศว่า ไม่มีเจตนาล่วงเกินต่อศาสนา เพียงแต่ต้องการลดความรุนแรงของโลก และไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่ได้ส่ง เพราะหลังจากที่ผมพูดไปแล้วเห็นท่าไม่ดี มีคนวิจารณ์มาก จึงได้สั่งให้ลูกน้องเบรกไว้ก่อน"[5] ทำให้ทินวัฒน์เป็น สส.ที่มีอายุการทำงานในสภาสั้นที่สุด เพียง 27 วันเท่านั้น คำสังให้พิทักษ์ทรัพย์ในปี พ.ศ. 2554 ได้มีคำสั่งศาลล้มละลายกลาง โดยธนาคารกรุงเทพเป็นโจทย์ผู้ฟ้องร้อง สั่งให้ทินวัฒน์ และมาลีรัตน์ ภริยา เป็นบุคคลล้มละลาย และมีคำสังให้พิทักษ์ทรัพย์ในบริษัทของเจ้าตัว[6]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |