คำสิงห์ ศรีนอก
คำสิงห์ ศรีนอก (เกิด 25 ธันวาคม พ.ศ. 2473) นามปากกา ลาว คำหอม เป็นบุคคลชาวไทย ได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ใน พ.ศ. 2535 คำสิงห์เกิดที่บ้านหนองบัวสะอาด ตำบลหนองบัวสะอาด อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ในครอบครัวชาวนา ต่อมาสำเร็จการศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยได้รับรางวัลนักเขียนเรื่องสั้นดีเด่น วาระครบ 100 ปี เรื่องสั้นไทย งานของลาว คำหอม นอกจากจะเป็นที่ยอมรับและนิยมยกย่องในวงวรรณกรรมไทยแล้ว ยังได้รับความสนใจจากวงวรรณกรรมต่างประเทศ โดยมีการแปลงานของเขาเป็นภาษาอังกฤษ สวีเดน เดนมาร์ก ดัตช์ ญี่ปุ่น สิงหล มลายู เยอรมัน (จัดพิมพ์ 6 เรื่อง) และภาษาฝรั่งเศส (จัดพิมพ์ 4 เรื่อง)[2] เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน ยืนยันว่าคำสิงห์เป็นนักแต่งเรื่องสั้นที่ดีที่สุดของประเทศไทย[3] ประวัติคำสิงห์เกิดเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2473 ณ บ้านหนองบัวสะอาด ตำบลบัวใหญ่ อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา[4] บิดาคือ นายสวย ศรีนอก มารดาคือ นางขำ ศรีนอก มีญาติพี่น้อง 7 คน และเป็นบุตรคนที่ 6 ของครอบครัว[5] เขาเกิดในแถบชนบททางภาคอีสานของไทย ในสมัยเด็กเขาได้อ่านหนังสือมากมายโดยรับการสนับสนุนจากลุงที่เป็นพระและบิดามารดา[6] และหลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมบางใหญ่ ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ และเข้าเรียนในคณะวารสารศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พร้อมกัน[7] ในช่วงนี้เองที่ท่านได้ตกอยู่ในช่วงที่ไม่มีเงินจะซื้อกินซื้ออยู่ เลยต้องไปอยู่ในวัดแห่งหนึ่งและเริ่มงานผู้สื่อข่าวการเมืองของหนังสือแนวหน้ารายวัน และเขียนเรื่องสั้นในนามปากการ ค.ส.น. ตีพิมพ์ในหนังสือแนวหน้าฉบับวันจันทร์ในช่วง พ.ศ. 2493 - 2494 และใน พ.ศ. 2495 เริ่มเข้ารับราชการเป็นพนักงานป่าไม้เขตจังหวัดเชียงใหม่ แต่ประจำอยู่ที่อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน อยู่ราวสามปี ก่อนลาออกจากราชการกลับมากรุงเทพฯ เป็นผู้ช่วยนักวิจัย สถาบันค้นคว้าของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ประจำประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2499 ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้รู้จักกับชาวต่างชาตินาม ดำเนิน การเด่น ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนฝรั่งที่ร่วมก่อตั้งสำนักพิมพ์เกวียนทองในเวลาต่อมา โดยชื่อ ดำเนิน การเด่นก็ได้ ศรีบูรพาตั้งให้ ตอนแรกศรีบูรพาตั้งให้ว่า ดำเนิน ฝ่าพายุ แต่ก็ถูกชนิดแก้ให้เป็น ดำเนิน การเด่น จากชื่อ ภาษาอังกฤษ Robert Golden นอกจากนี้ยังเป็นผู้ที่ทำให้คำสิงห์ได้รู้จักกับศรีบูรพา หรือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ โดยผ่านทางภรรยาของท่าน จูเลียต หรือ ชนิด สายประดิษฐ์ อันเป็นเพื่อนร่วมงานของดำเนิน อีกด้วย[8] การก่อตั้งสำนักพิมพ์เกวียนทองคำสิงห์กลับมาเขียนเรื่องสั้นอีกครั้งลงหนังสือพิมพ์ ปิยมิตร ด้วยนามปากกา "ลาวคำหอม" โดยมี "เขียดขาดำ" เป็นเรื่องแรกที่แต่ง และก่อตั้งสำนักพิมพ์เกวียนทองร่วมกับดำเนิน การเด่น พิมพ์หนังสือเล่มแรกคือ ข้าพเจ้าได้เห็นมา ของ ศรีบูรพา โดย เข้าใจกันว่าอยากช่วยเหลือครอบครัวสายประดิษฐ์ที่ กุหลาบเพิ่งออกจากคุกในคดีกบฏสันติภาพ เล่มต่อมาที่ตีพิมพ์นั่นคือ ปีศาจ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ ซึ่งรวมเล่มมาจากเรื่องสั้นของท่านอันพิมพ์กับนิตยสารสามสมัย ตามมาด้วย ความเป็นอนิจจังของสังคม ของปรีดี พนมยงค์[9] ในปี 2501 ฟ้าบ่กั้น ของคำสิงห์ก็ถูกรวมเล่มจากเรื่องสั้นในปิยมิตร พิมพ์ออกมา คาดว่าเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของสำนักพิมพ์เกวียนทอง น่าเสียดายที่หลังจากวางแผงได้เพียงไม่นาน ก็เกิดการรัฐประหารยึดอำนาจของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขึ้น ทำให้ต้องถูกเก็บไปนาน จนกระทั่งปี 2512 สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มาเยี่ยมบ้านคำสิงห์พร้อม เทพศิริ สุขโสภา ค้นพบหนังสือเล่มนี้จึงนำมาตีพิมพ์ครั้งที่ 2 โดยสำนักพิมพ์ศึกษิตสยาม และได้รับการแปลไปหลายภาษา โดยเฉพาะกับภาษาอังกฤษที่ได้รับสนับสนุนแปลจากสำนักพิมพ์ ออกซฟอร์ดสาขากัวลาลัมเปอร์ และแปลโดย ดำเนิน การเด่น เพื่อนฝรั่งของเขานั่นเอง[10] ชีวิตในยุค 6 ตุลา และการลี้ภัยในต่างแดนในขณะที่จอมพลสฤษดิ์ครองอำนาจ คำสิงห์ก็ถูกบีบบังคับให้จำต้องหลบลี้หนีภัยออกไปทำไร่ทำสวนอยู่ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เนื่องจากการปิดบังและปราบปรามสื่อฝ่ายก้าวหน้า รวมถึงมีการจับกุมและสังหารปัญญาชนมากมาย นั่นทำให้สวนที่ปากช่องกลายเป็นแหล่งพักพิงของปัญญาชนหลายคนในช่วงนั้นด้วย คำสิงห์ไม่ได้เขียนงานอีกเลยจนกระทั่งจอมพลสฤษดิ์สิ้นอำนาจหลังจากถึงแก่อสัญกรรมลงในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 ในช่วงปี พ.ศ. 2510–2511 คำสิงห์ได้เดินทางไปรับรางวัล Time Life ที่สหรัฐอเมริกา และระหว่างทางกลับไทยก็ได้แวะไปในหลายประเทศทั้งฝรั่งเศส เยอรมัน อิสราเอล และที่โกตดิวัวร์ หรือ ไอวอรีโคสต์ ในแอฟริกาและบรรยายเกี่ยวกับวรรณคดีและวรรณกรรมไทยในหลายมหาวิทยาลัย ก่อนจะกลับไทยและมีส่วนร่วมในวารสารของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ชื่อ สังคมศาสตร์ปริทัศน์ บทความส่วนใหญ่ซึ่งเกี่ยวข้องกับความไม่เที่ยงธรรมในสังคมไทยนี้ได้ถูกรวบรวมตีพิมพ์เมื่อปี 2518 ในชื่อ กำแพง คำสิงห์ยังคงทำงานเขียนของตนและทำงานในไร่ที่ปากช่องต่อไปจนกระทั่งหลังการปราบปรามชุมนุมนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 คำสิงห์ก็เริ่มมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น คำสิงห์เข้าร่วมกับพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยและได้รับเลือกเป็นรองประธานพรรค โดยมี นายบุญสนอง บุณโยทยาน เป็นเลขาธิการพรรค และหลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 คำสิงห์ได้หนีเข้าป่าไปจนถึงลาวจากการที่งานเขียนของเขาถูกสั่งห้ามทั้งหมดเช่นเดียวกับนักเขียนปัญญาชนคนอื่น ๆ หลายเดือนต่อมา คำสิงห์ก็เกิดขัดแย้งกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยทำให้เขาและครอบครัวถูกเนรเทศไปยังสวีเดน ในช่วงปี 2520 ระหว่าง 5 ปีนั้นเองเขาก็ได้รับการดูแลจากพรรคสังคมนิยมแห่งสวีเดนและได้รับเกียรติให้เป็นสมาชิกสมาคมนักเขียนแห่งสวีเดน และในช่วงเวลานี้เองที่เขานำงานเขียนเรื่อง แมว อันเป็นนวนิยายเรื่องแรกกลับมาเขียนอีกครั้ง หลังจากที่ต้นฉบับแรกหายไปในช่วงความวุ่นวายช่วงปี 2519 ก่อนจะตีพิมพ์ในปี 2526 หลังจากที่คำสิงห์กลับมากรุงเทพฯในปี 2524 ประสบการณ์ในสวีเดนของเขาถูกเล่าในหนังสือ กระเตงลูกเลียบขั้วโลก ซึ่งตีพิมพ์ในอีกหลายปีให้หลัง[11] ผลงาน
นามปากกาอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|