พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์
นายพันเอกพิเศษ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ (23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2395[1] – 16 มีนาคม พ.ศ. 2478[2]) เป็นอดีตอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส ผู้มีบทบาทสำคัญทางการทูตของไทยในช่วงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้นำคณะพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการทูลเกล้าฯ ถวายคำกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน ร.ศ. 103 และเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดทีปทุตตมาราม ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา ขณะผนวชเป็นพระภิกษุ ในฉายา "พระชินวรวงศ์" พระประวัติปฐมวัยและการศึกษานายพันเอกพิเศษ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ประสูติเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2394 (แบบสากล พ.ศ. 2395) ที่วังท่าพระ เป็นพระโอรสองค์สุดท้ายในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสีหวิกรม อธิบดีกรมช่างศิลป์หมู่และช่างศิลา กับหม่อมน้อย ชุมสาย ณ อยุธยา (สกุลเดิม ภมรมนตรี) อดีตหม่อมในสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ เมื่อประสูติมีพระยศที่ หม่อมเจ้าปฤษฎางค์ หม่อมเจ้าปฤษฎางค์ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นนักเรียนหลวงเสด็จไปศึกษาที่โรงเรียนราฟเฟิลล์ ประเทศสิงคโปร์ พร้อมกับพระราชอนุชาในรัชกาลที่ 5 อีกหลายพระองค์ จากนั้นได้เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2414 และเข้าศึกษาในราชวิทยาลัยแห่งลอนดอน (King's College London) มหาวิทยาลัยลอนดอน ในสาขาวิทยาศาสตร์ประยุกต์และวิศวกรรมศาสตร์ [3]เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาและเสด็จกลับสยามในปี พ.ศ. 2419 แล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับราชการตำแหน่งผู้ช่วยราชการในพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนเรศรวรฤทธิ์ ต่อมาหม่อมเจ้าปฤษฎางค์ได้ทรงขอกลับไปศึกษาต่อเพิ่มเติมที่ประเทศอังกฤษในด้านวิศวกรรมโยธา และด้านการจัดการโรงกษาปณ์ [4] รับราชการในปี พ.ศ. 2423 ขณะมีชันษาได้ 29 ปี ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นล่ามและตรีทูตในคณะของเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร และได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตไทยคนแรกประจำราชสำนักเซนต์เจมส์แห่งอังกฤษ และประจำประเทศต่าง ๆ ในยุโรปและอเมริการวมถึง 12 ประเทศ ได้เป็นผู้แทนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งออสเตรีย-ฮังการีและพระเจ้ากรุงปรัสเซีย ก่อนจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นอัครราชทูตประจำกรุงปารีส พร้อมทั้งรับพระราชทานสถาปนาพระอิศริยยศเป็น "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า" และรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎสยาม ชั้นที่ 1 มหาสุราภรณ์ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุติยจุลจอมเกล้า เมื่อปี พ.ศ. 2426 ขณะมีพระชันษาได้ 32 ปี[5] ในปี พ.ศ. 2428 พระองค์เจ้าปฤษฎางค์มีพระชันษาได้ 34 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ให้แสดงความเห็นต่อการเสียเอกราชของพม่าจากสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่สาม และแนวการปรับปรุงการปกครองของสยามเพื่อรับมือกับสถานการณ์ทำนองเดียวกันที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ทรงตั้งพระราชหฤทัยให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ถวายความคิดเห็นเป็นการส่วนพระองค์ แต่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้นำพระราชหัตถเลขาและคำกราบบังคมทูลดังกล่าวไปประชุมปรึกษาพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนเรศร์วรฤทธิ์ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ และข้าราชการผู้ใหญ่ในสถานทูต และได้ตกลงกันว่าจะทูลเกล้าฯ ถวายความเห็นรวมกันทั้ง 4 พระองค์ พร้อมทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อีก 7 คน อันเป็นที่มาของคำเสนอให้ปฏิรูปการเมืองการปกครอง หรือ "คำกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน ร.ศ. 103" ซึ่งสาระสำคัญคือขอให้มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลักในการปกครองบ้านเมืองด้วยระบอบประชาธิปไตย [4] หลังการทูลเกล้าฯ ถวายความเห็นดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอทั้ง 3 พระองค์ และพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ เสด็จกลับสยาม แต่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ยังไม่เสด็จกลับทันที ด้วยทรงติดภารกิจในการลงพระนามให้สยามเป็นสมาชิกในสหภาพสากลไปรษณีย์ และจัดพิมพ์แสตมป์สยามในระบบสากลเป็นครั้งแรก (โปรดเกล้าฯ พระราชทานอำนาจในการดำเนินการดังกล่าวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2428)[6] หลังจากนั้นจึงเสด็จกลับสยามพร้อมกับพระองค์เจ้าสวัสดิโสภณในเดือนมกราคม พ.ศ. 2429 กล่าวกันว่าเพราะการทำเกินพระราชประสงค์ในการถวายความคิดเห็นครั้งนั้น พระองค์เจ้าปฤษฎางค์จึงไม่เป็นที่โปรดปรานนับแต่นั้นเป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม เมื่อเสด็จกลับมาถึงสยามแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์เข้ารับราชการในกรมไปรยสนีย์แลโทรเลข[7] ซึ่งกำลังอยู่ในระยะเริ่มจัดตั้ง โดยทรงรับตำแหน่งเป็นจางวางกรมไปรยสนีย์แลโทรเลข และยังได้ทรงปฏิบัติราชการอื่นที่สำคัญอีกหลายอย่าง จนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ในปี พ.ศ. 2432 ในระยะนี้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ทรงประสบปัญหาส่วนพระองค์ด้านการเงินอย่างหนัก และถูกเรียกคืนบ้านหลวงเนื่องจากทรงมีปัญหาในการบริหารจัดการเงินงบประมาณกรมไปรยสนีย์แลโทรเลข และทรงพยายามจะบรรจุพระอนุวงศ์พระองค์หนึ่งเข้ารับราชการในกรมโยธาธิการ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงาน (พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ทรงมีส่วนร่วมในการร่างแผนจัดตั้งหน่วยงานด้วย) เพื่อตอบแทนเจ้านายพระองค์หนึ่งซึ่งได้ประทานความช่วยเหลือทางการเงินแก่พระองค์[8] พระองค์จึงคิดว่ามีศัตรูที่คอยจ้องเล่นงานพระองค์อยู่ตลอดเวลาและเกิดความท้อใจที่จะรับราชการต่อไป ลาออกจากราชการและผนวชในปี พ.ศ. 2434 ขณะมีพระชันษาได้ 40 ปี พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้ตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น ไปราชการที่ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างทางเสด็จกลับ ขบวนเสด็จได้แวะที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เนื่องจากสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงพระประชวรอย่างกะทันหันและจำเป็นต้องพักรักษาพระองค์ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้ตัดสินพระทัยลาออกจากราชการโดยไม่มีการบอกกล่าวและทรงทิ้งจดหมายกราบบังคมทูลลาออกไว้ ก่อนจะเสด็จไปยังเมืองต่าง ๆ ในต่างประเทศ เพื่อหางานทำ ทั้งที่ไซ่ง่อน (โคชินไชนา) กรุงพนมเปญ (กัมพูชาในอารักขาของฝรั่งเศส)[9] รัฐเปรัก (อาณานิคมมลายูของอังกฤษ)[10] จนกระทั่งได้เสด็จไปที่ประเทศศรีลังกาและทรงผนวชเป็นพระภิกษุในปี พ.ศ. 2439 ขณะมีพระชันษาได้ 45 ปี โดยมีพระวัสกะฑุเว ศรีสุภูติ (Waskaḍuwe Śrī Subhūti) พระสังฆนายกแห่งกรุงโคลัมโบ เป็นพระอุปัชฌาย์[11] ทรงได้รับพระฉายาว่า "ชินวรวงฺโส ภิกขุ" หรือ "พระชินวรวงศ์" (ในเอกสารภาษาต่างประเทศ ทรงใช้พระนามว่า Bhikkhu P.C. Jinavaravamsa) ภายหลังทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดทีปทุตตมาราม เป็นวัดไทยวัดแรกในกรุงโคลัมโบ ระหว่างปี พ.ศ. 2448 - 2453[12] ระหว่างที่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ดำรงสมณเพศเป็นพระภิกษุชินวรวงศ์นั้น ได้มีการค้นพบพระบรมสารีริกธาตุภายในซากโบราณสถานกรุงกบิลพัสดุ์ที่ประเทศอินเดียในปี พ.ศ. 2439 เมื่อพระชินวรวงศ์ทรงทราบข่าวดังกล่าวจึงเสด็จไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดพบ[13] และทรงแนะนำให้รัฐบาลอังกฤษซึ่งปกครองอินเดีย (บริติชราช) ทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[14] เพราะเป็นพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวในสมัยนั้นที่เป็นพุทธมามกะ ต่อมาเมื่อทางสยามตอบรับการทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมสารีริกธาตุจากรัฐบาลอังกฤษ และมอบหมายให้พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) ข้าหลวงมณฑลนครศรีธรรมราช เป็นผู้ออกไปรับพระบรมสารีริกธาตุในปี พ.ศ. 2442 ปรากฏว่าพระชินวรวงศ์ได้เกิดความขัดแย้งกับพระยาสุขุมนัยวินิตอย่างรุนแรง เนื่องจากพระองค์ได้บอกกับพระยาสุขุมนัยวินิตว่า ทรงแอบหยิบเอาพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระเศียรที่รัฐบาลอังกฤษรวบรวมไว้จากการค้นพบดังกล่าวมาองค์หนึ่ง หากรัฐบาลอังกฤษไม่ยอมทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ก็จะนำพระบรมสารีริกธาตุส่วนนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเสียเอง พระยาสุขุมนัยวินิตซึ่งมีความรู้ทางพระพุทธศาสนาและภาษาบาลีเป็นอย่างดี จึงแจ้งแก่พระชินวรวงศ์ว่าพระองค์ได้ต้องอาบัติปาราชิกข้อ "อทินนาทานสิกขาบท" (คือ การลักทรัพย์ การถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้) ไปแล้ว ขาดจากความเป็นพระภิกษุ ณ นาทีที่กระทำเช่นนั้นแล้ว และได้รายงานเรื่องดังกล่าวไปยังทางสยาม[15][16] เมื่อทางสยามทราบเรื่องพระชินวรวงศ์ต้องอาบัติปาราชิกตามที่พระยาสุขุมนัยวินิตได้รายงานไปก็เห็นด้วยเช่นนั้น และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ ได้มีโทรเลขไปยังพระชินวรวงศ์ผ่านกงสุลสยามในโคลัมโบว่า พระชินวรวงศ์จะเข้าไปสยามแบบเป็นพระไม่ได้ เพราะต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ในเวลานั้นพระชินวรวงศ์มีแผนการจะเสด็จกลับสยามเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงได้รับโทรเลขดังกล่าวจึงทรงล้มเลิกแผนการเสด็จกลับ และภายหลังแม้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาสกรุงโคลัมโบระหว่างทางเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2450 แต่พระชินวรวงศ์ก็ไม่ได้รับโอกาสให้เข้าเฝ้าฯ ทั้งในสมณเพศ เพราะรัฐบาลสยามยังคงตั้งเงื่อนไขไว้ว่าพระชินวรวงศ์จะเข้าเฝ้าได้ก็ต่อเมื่อลาสิกขาออกเป็นฆราวาสแล้วเท่านั้น[16] อนึ่ง พระบรมสารีริกธาตุที่สยามได้รับมาจากรัฐบาลอังกฤษนั้น โปรดเกล้าฯ ให้บรรจุไว้ที่พระบรมบรรพต วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และแบ่งไปยังประเทศต่าง ๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนา ลาสิกขาและบั้นปลายพระชนม์ชีพพระองค์เจ้าปฤษฎางค์เสด็จกลับประเทศสยามในปลายปี พ.ศ. 2453 (แต่ปฏิทินสากลเปลี่ยนเป็น ค.ศ. 1911 แล้ว) ขณะมีพระชันษาได้ 60 ปี เพื่อร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเสด็จกลับสยามครั้งนี้กลายเป็นการเสด็จกลับอย่างถาวร เพราะพระองค์จำต้องลาสิกขาออกเป็นฆราวาสตามเงื่อนไขของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ[16] และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2453 เพื่อให้ได้รับพระบรมราชานุญาตให้เข้าไปถวายบังคมพระบรมศพ แต่หลังจากเสร็จพระราชพิธีพระบรมศพแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ผนวชและกลับไปศรีลังกาอีกครั้ง[17] เนื่องจากทางการสยามยังคงเห็นว่าพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ต้องอาบัติปาราชิกจากเรื่องทรงแอบหยิบเอาพระบรมสารีริกธาตุในครั้งนั้น จึงไม่สามารถกลับเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาได้อีกตลอดชีวิต รวมเวลาที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุได้ 14 พรรษา หลังจากลาสิกขาแล้วทรงทำงานเป็นบรรณาธิการแผนกภาษาไทยให้กับหนังสือพิมพ์ "สยามออบเซิร์ฟเวอร์" ของพระยาอรรถการประสิทธิ์ (วิลเลียม แอลเฟรด คุณะดิลก) อยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นประทับอยู่ในตรอกกัปตันบุช ทรงหาเลี้ยงพระชนม์ชีพด้วยการรับจ้างสอนภาษาอังกฤษ ต่อมาในปี พ.ศ. 2466 พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้ขอกลับเข้ารับราชการอีกครั้งที่กระทรวงการต่างประเทศ ทั้งที่ในเวลานั้นมีพระชันษาได้ 72 ปีแล้ว พระองค์รับราชการได้ไม่นานก็ทรงถูกให้ออกจากราชการ (สำนวนในยุคนั้นเรียกว่า "ถูกดุลย์") เช่นเดียวกับข้าราชการหลาย ๆ คนในเวลานั้น เนื่องจากรัฐบาลจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายในงบประมาณแผ่นดินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ทรงบันทึกไว้ว่าถูกให้ออกจากราชการในปี พ.ศ. 2467)[18] ในช่วงบั้นปลายพระชนม์ชีพ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ทรงย้ายไปพำนักอยู่ในตรอกวัดมหาพฤฒารามวรวิหาร ดำรงพระชนม์ชีพด้วยเงินเบี้ยหวัดในฐานะพระอนุวงศ์และมีพระญาติส่วนหนึ่งให้ความอุปการะ แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการดำรงพระชนม์ชีพ อีกทั้งพระองค์ยังมีพระโรครุมเร้า ประชวรเข้าโรงพยาบาลบ่อยครั้ง ดังข้อความในตอนท้ายของหนังสือพระประวัติซึ่งพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ทรงนิพนธ์ไว้เอง ระบุว่า
พระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ด้วยความยากไร้เช่นนี้ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2477 (แบบสากลคือ พ.ศ. 2478)ขณะมีพระชันษาได้ 84 ปี พระราชทานเพลิงพระศพ ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2479 โดยพระศพของพระองค์ได้รับการบรรจุในโกศราชวงศ์อย่างเก่า[19] คือเป็นโกศไม้สี่เหลี่ยมหุ้มผ้าขาว ยอดโกศเป็นรูปฉัตร 3 ชั้น และไม่มีเครื่องประกอบใด ๆ[20] ชีวิตส่วนพระองค์พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ มีหม่อมคนหนึ่ง ชื่อ หม่อมตลับ ที่เสกสมรสกันก่อนเสด็จไปทรงศึกษาที่ยุโรป แต่ทั้งสองมิได้มีพระโอรสธิดาด้วยกัน ในงานเขียนของ ดับเบิลยู. เอส. บริสโทว์ (W.S. Bristowe) ได้อ้างว่าหม่อมต่างด้าวคนหนึ่งที่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ทรงคบหาเมื่อครั้งอยู่ในลอนดอนเป็นน้องสาวของนาย เจ. สตีเวนส์ (J. Stevens) นายไปรษณีย์คนแรกของเมืองเชียงใหม่ และกล่าวอีกว่าพระองค์เจ้าปฤษฎางค์มีสัมพันธ์สวาทกับสตรีสูงศักดิ์ท่านหนึ่งที่ต่างฝ่ายต่างมีครอบครัวแล้ว[21] แต่ปรากฏด้วยหลักฐานว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่งหม่อมตลับตามไปอยู่ในฐานะภรรยาราชทูตที่ปารีสในปี พ.ศ. 2427 และในที่สุดผู้กล่าวหาพระองค์ได้มีหนังสือไปขอขมาในขณะที่เป็นสังฆราชที่นครโคลัมโบ พระเกียรติยศพระอิสริยยศ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ทรงได้รับพระราชทานทั้งสยามและต่างประเทศ ดังนี้ เครื่องราชอิสริยาภรณ์สยาม
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
ดูเพิ่มอ้างอิง
บรรณานุกรม
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ |