เจียง เจ๋อหมิน
เจียง เจ๋อหมิน (จีน: 江泽民; พินอิน: Jiāng Zémín; 17 สิงหาคม ค.ศ. 1926 – 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022) เป็นนักการเมืองชาวจีนที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ ค.ศ. 1989 ถึง 2002 ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางตั้งแต่ ค.ศ. 1989 ถึง 2004 และประธานาธิบดีจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1993 ถึง 2003 เจียงเป็นผู้นำสูงสุดคนที่สามของจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1989 ถึง 2002 เขาเป็นผู้นำแกนหลักของผู้นำจีนรุ่นที่สาม หนึ่งในผู้นำแกนหลักทั้งสี่คนร่วมกับเหมา เจ๋อตง, เติ้ง เสี่ยวผิง และสี จิ้นผิง เขาเกิดในหยางโจว มณฑลเจียงซู เจียงเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนขณะศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย หลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1949 เขาได้รับการฝึกอบรมที่โรงงานสตาลินออโตโมบิลเวิกส์ในมอสโก ต่อมาใน ค.ศ. 1962 เขากลับมายังเซี่ยงไฮ้และดำรงตำแหน่งในสถาบันต่าง ๆ และในช่วง ค.ศ. 1970 ถึง 1972 เขาถูกส่งไปโรมาเนียในฐานะสมาชิกคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องจักรในประเทศนั้น หลัง ค.ศ. 1979 เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการสองคณะโดยรองนายกรัฐมนตรี กู่ มู่ เพื่อดูแลเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ ในปี ค.ศ. 1982 เขาดำรงตำแหน่งรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่และสมาชิกคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เจียงได้รับแต่งตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. 1985 ต่อมาถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำนครเซี่ยงไฮ้ และเป็นสมาชิกกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1987 เจียงขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่คาดคิดในฐานะตัวเลือกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้หลังเหตุการณ์การประท้วงและการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 โดยเข้ามาแทนที่จ้าว จื่อหยาง ในตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังถูกปลดจากตำแหน่งเพราะสนับสนุนขบวนการนักศึกษา เมื่ออิทธิพลของ "แปดผู้อาวุโส" ในการเมืองจีนลดลงอย่างต่อเนื่อง[1] เจียงได้รวบรวมอำนาจของตนจนกลายเป็น "ผู้นำสูงสุด" ของประเทศในคริสต์ทศวรรษ 1990[a] ด้วยแรงผลักดันจากการเยือนภาคใต้ของเติ้ง เสี่ยวผิงใน ค.ศ. 1992 เจียงได้แนะนำคำว่า "เศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม" อย่างเป็นทางการในการกล่าวปราศรัยในระหว่างการประชุมใหญ่ครั้งที่ 14 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จัดขึ้นในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นการเร่งให้เกิดการ "ปฏิรูปและเปิดประเทศ" อย่างรวดเร็ว ภายใต้การนำของเจียง จีนประสบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมากพร้อมกับการปฏิรูปตลาดอย่างต่อเนื่อง การส่งมอบฮ่องกงคืนจากสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1997 และมาเก๊าคืนจากโปรตุเกสใน ค.ศ. 1999 ตลอดจนการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกใน ค.ศ. 2001 ล้วนเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในสมัยของเขา ประเทศจีนยังได้เห็นความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับโลกภายนอก ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์ยังคงรักษาอำนาจควบคุมประเทศไว้อย่างเหนียวแน่น เจียงเผชิญกับการวิจารณ์เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงการปราบปรามขบวนการฝ่าหลุนกง ผลงานของเขาที่มีต่อหลักคำสอนของพรรค ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "สามตัวแทน" ได้ถูกบรรจุไว้ในธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 2002 เจียงทยอยสละตำแหน่งผู้นำอย่างเป็นทางการตั้งแต่ ค.ศ. 2002 ถึง 2004 โดยหู จิ่นเทา ได้เข้ามาสืบทอดตำแหน่งแทน แม้ทั้งเจียงและกลุ่มการเมืองของเขาจะยังคงมีอิทธิพลต่อพรรคและประเทศต่อไปอีกนาน ใน ค.ศ. 2022 เจียงถึงแก่อสัญกรรมในเซี่ยงไฮ้ด้วยวัย 96 ปี และได้รับการจัดรัฐพิธีศพ ชีวิตช่วงต้นเจียง เจ๋อหมิน เกิดที่เมืองหยางโจว มณฑลเจียงซู เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1926[2] บ้านเกิดบรรพบุรุษของเขาคือหมู่บ้านเจียงชุน (江村) ในอำเภอจิงเต๋อ มณฑลอานฮุย ที่นี่ยังเป็นบ้านเกิดของบุคคลสำคัญในแวดวงวิชาการและปัญญาชนของจีนหลายคน[3] เจียงเติบโตขึ้นในช่วงที่ประเทศจีนตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น เจียง ช่างชิง ลุงและพ่อบุญธรรมของเขา เสียชีวิตระหว่างการต่อสู้กับญี่ปุ่นและได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษของชาติในสมัยเจียง เจ๋อหมิน[4]: 40 หลังการเสียชีวิตของช่างชิง เจ๋อหมินก็กลายมาเป็นทายาทชายของเขา[5] เจียงเข้าศึกษาในภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยแห่งชาติจงยัง ในหนานจิงที่ถูกญี่ปุ่นยึดครอง ก่อนจะย้ายไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติเจียวทง (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง) เขาสำเร็จการศึกษาจากที่นั่นใน ค.ศ. 1947 ด้วยปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า[6] เจียงเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเขายังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย[7] หลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เจียงได้รับการฝึกอบรมที่โรงงานสตาลินออโตโมบิลเวิกส์ในมอสโกในคริสต์ทศวรรษ 1950[8] นอกจากนี้เขายังทำงานให้กับโรงงานผลิตรถยนต์แห่งแรกของฉางชุน[9] เมื่อเจียงมีส่วนร่วมในพรรคคอมมิวนิสต์มากขึ้นเรื่อย ๆ งานหลักของเขาก็เปลี่ยนจากงานทางเทคนิคด้านวิศวกรรมไปเป็นงานบริหารและการเมือง[4]: 140 อาชีพช่วงต้นใน ค.ศ. 1962 เขากลับไปยังเซี่ยงไฮ้และดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยไฟฟ้าเซี่ยงไฮ้ ใน ค.ศ. 1966 เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการและรองเลขาธิการพรรคของสถาบันวิจัยวิศวกรรมความร้อนในอู่ฮั่น ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยกระทรวงอุตสาหกรรมจักรกลที่ 1 เมื่อการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเริ่มต้นขึ้นในปีเดียวกันนั้น เขาไม่ได้ประสบความทุกข์ยากมากนักในช่วงความวุ่นวาย แต่ถูกปลดจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันและถูกส่งตัวไปยังโรงเรียนแกนนำ 7 พฤษภาคม ใน ค.ศ. 1970 หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแกนนำ เขาก็ได้รับตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานความสัมพันธ์ต่างประเทศของกระทรวงฯ และถูกส่งไปประจำอยู่ที่สาธารณรัฐสังคมนิยมโรมาเนีย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องจักรจำนวน 15 แห่งในประเทศนั้น หลังเสร็จสิ้นภารกิจใน ค.ศ. 1972 เขาได้เดินทางกลับประเทศจีน[10][11] ใน ค.ศ. 1979 หลังความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาเริ่มผ่อนคลายลง เติ้ง เสี่ยวผิงได้ตัดสินใจส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZs) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสี่ทันสมัยของเขา[12] คณะมนตรีรัฐกิจของจีนได้จัดตั้งคณะกรรมการระดับรัฐมนตรีขึ้นสองคณะเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ คณะกรรมการทั้งสองมีรองนายกรัฐมนตรีกู มู่ เป็นประธาน ซึ่งได้แต่งตั้งเจียงให้ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการทั้งสอง เทียบเท่ากับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย[13] บทบาทของเจียงคือการทำให้แน่ใจว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษเหล่านี้จะเพิ่มความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจโดยไม่กลายเป็น "ช่องทาง" สำหรับอุดมการณ์ต่างชาติ[13] ใน ค.ศ. 1980 เจียงนำคณะผู้แทนเดินทางไปศึกษาดูงานเขตเศรษฐกิจพิเศษใน 12 ประเทศ เมื่อกลับมา เขาเสนอรายงานฉบับหนึ่งที่มีแนวคิดใหม่ซึ่งแนะนำให้หน่วยงานท้องถิ่นมีอำนาจลดหย่อนภาษีและให้เช่าที่ดิน รวมถึงเพิ่มอำนาจให้แก่กิจการร่วมค้าต่างชาติ[14] รายงานนี้ทำให้บรรดาผู้นำพรรคเกิดความ "แตกตื่นตกใจ" ในเบื้องต้น แต่การนำเสนอที่เน้นรูปธรรมและเชิงประจักษ์ของเขานั้นได้ดึงดูดความสนใจของเติ้ง เสี่ยวผิง ข้อเสนอของเขาได้รับการอนุมัติจากสภาประชาชนแห่งชาติ ทำให้เจียงเป็น "ผู้บุกเบิก" ในการนำทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิงไปปฏิบัติ[15] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1982 เขาถูกบีบให้ออกจากตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการทั้งสองคณะ หลังถูกกดดันจากรองนายกรัฐมนตรีกู่และนายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ หวัง เต้าหาน จ้าว จื่อหยาง "นักปฏิรูปผู้กระตือรือร้น" ได้แต่งตั้งเจียงให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการคนแรกและเลขาธิการพรรคประจำกระทรวงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่[16] ในการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 12 ที่จัดขึ้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 1982 เจียงได้กลายเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งมีหน้าที่กำหนดนโยบายและเลือกสมาชิกกรมการเมือง[16] เซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. 1985 เกิดการปรับเปลี่ยนทางการเมืองขึ้นในเซี่ยงไฮ้ เลขาธิการพรรคเฉิน กั๋วต้ง และนายกเทศมนตรีหวัง เต้าหาน ถูกปลดจากตำแหน่งด้วยปัญหาเรื่องอายุ กลับกัน รุ่ย ซิ่งเหวินกลายเป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่ของเซี่ยงไฮ้ และเจียงก็กลายเป็นนายกเทศมนตรีคนใหม่ของเซี่ยงไฮ้ เจียงได้รับคำวิจารณ์ทั้งดีและไม่ดีเมื่อดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี นักวิจารณ์หลายคนมองว่าเขาเป็นเพียง "กระถางดอกไม้" ซึ่งเป็นคำภาษาจีนที่ใช้เปรยบุคคลที่ดูเหมือนจะมีประโยชน์ แต่แท้จริงแล้วไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน[17] หลายคนให้เครดิตการเติบโตของเซี่ยงไฮ้ในช่วงเวลานั้นแก่จู หรงจี[18] ในช่วงเวลานี้ เจียงเป็นผู้ที่เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในการปฏิรูปเศรษฐกิจของเติ้ง เสี่ยวผิง เพื่อพยายามระงับความไม่พอใจของนักศึกษาใน ค.ศ. 1986 เจียงได้กล่าวสุนทรพจน์เก็ตตีสเบิร์กเป็นภาษาอังกฤษต่อหน้ากลุ่มนักศึกษาผู้ประท้วง[19][20] ในการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 13 ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1987 เจียงถูกเลื่อนตำแหน่งจากนายกเทศมนตรีเป็นเลขาธิการพรรคประจำนครเซี่ยงไฮ้ ตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุดในเมืองและรายงานตรงต่อรัฐบาลกลาง[21] เขายังเข้าร่วมกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนตามธรรมเนียมสำหรับเลขาธิการพรรคของเมืองใหญ่[21] การประท้วงและการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในเดือนเมษายน ค.ศ. 1989 หู เย่าปัง อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนถึงแก่อสัญกรรม ซึ่งก่อนหน้านั้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1987 เขาถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่งและถูกกล่าวหาว่าสนับสนุน "การเปิดเสรีชนชั้นกระฎุมพี"[22] อสัญกรรมของเขากระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์การประท้วงและการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989[23] นำไปสู่วิกฤติทางอุดมการณ์ระหว่างกลุ่ม "เสรีนิยม" (ผู้สนับสนุนการปฏิรูปอย่างรวดเร็ว) และ "อนุรักษ์นิยม" (ผู้สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป)[24] หลังจากที่หนังสือพิมพ์ World Economic Herald ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เซี่ยงไฮ้พยายามตีพิมพ์บทความสรรเสริญเพื่อฟื้นฟูชื่อเสียงของหูและยกย่องจุดยืนปฏิรูปของเขา เจียงก็เข้ามาควบคุมคณะบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้[25][26] เมื่อการประท้วงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พรรคคอมมิวนิสต์จึงประกาศกฎอัยการศึกและส่งกำลังทหารเข้ากรุงปักกิ่งในเดือนพฤษภาคม[27] ในเซี่ยงไฮ้ ผู้ประท้วง 100,000 คนเดินขบวนบนท้องถนน และนักศึกษา 450 คนอดอาหารประท้วง[28] หลังผ่านไปสามวัน เจียงได้พบปะกับกลุ่มบุคคลเหล่านั้นด้วยตนเองเพื่อยืนยันให้พวกเขาแน่ใจว่าพรรคมีเป้าหมายร่วมกัน และเพื่อสัญญาว่าจะมีการเจรจาหารือกันในอนาคต พร้อมกันนั้นเขายังส่งโทรเลขไปยังคณะกรรมาธิการกลางเพื่อสนับสนุนการประกาศกฎอัยการศึกอย่างแน่วแน่[27] คำปราศรัยต่อสาธารณชนของเขาซึ่งวางแผนอย่างรอบคอบได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้งนักศึกษาผู้สนับสนุนประชาธิปไตยและผู้อาวุโสในพรรค[29] วันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1989 เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำสูงสุดได้ตัดสินใจแต่งตั้งเจียงขึ้นเป็นเลขาธิการใหญ่คนใหม่แทนจ้าว จื่อหยาง[29] ผู้ซึ่งสนับสนุนผู้ประท้วง[30][31] เจียงได้รับเลือกให้เป็นผู้สมัครประนีประนอมแทนหลี่ รุ่ยหวน จากเทียนจิน นายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง ผู้อาวุโส หลี่ เซียนเนี่ยน เฉิน ยฺหวิน และผู้อาวุโสที่เกษียณอายุไปแล้วเพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คนใหม่[32] ก่อนหน้านั้น เขาเคยถูกมองว่าเป็นผู้สมัครที่ไม่น่าจะได้รับเลือก[33] ขึ้นสู่อำนาจเจียงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ในการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 ของคณะกรรมาธิการกลางจีนชุดที่ 13 ในวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1989 โดยมีฐานอำนาจภายในพรรคค่อนข้างเล็ก ดังนั้นจึงมีอำนาจจริงน้อยมาก[34][7] พันธมิตรที่น่าไว้วางใจที่สุดของเขาคือเหล่าผู้อาวุโสพรรคที่ทรงอิทธิพลอย่างเฉิน ยฺหวิน และหลี่ เซียนเนี่ยน เขาถูกเชื่อว่าเป็นเพียงตัวแทนชั่วคราวจนกว่ารัฐบาลสืบทอดอำนาจที่มั่นคงกว่าของเติ้งจะสามารถจัดตั้งขึ้นได้[35] และเชื่อกันว่าบุคคลสำคัญอื่น ๆ ทั้งในพรรคและกองทัพ เช่น ประธานาธิบดีหยาง ช่างคุน และหยาง ไป่ปิง น้องชายของเขากำลังวางแผนรัฐประหาร[36] ในการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดใหม่ หลังเหตุการณ์สังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินใน เจียงได้วิจารณ์ช่วงเวลาที่ผ่านมาว่า "หนักทางเศรษฐกิจ อ่อนทางการเมือง" และสนับสนุนให้เพิ่มการทำงานด้านความคิดทางการเมือง[37] แอนน์-แมรี เบรดี เขียนว่า "เจียง เจ๋อหมิน เป็นนักการเมืองผู้มีประสบการณ์และความเข้าใจในความสำคัญของงานด้านอุดมการณ์มาช้านาน การประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสมัยใหม่ของการโฆษณาชวนเชื่อและงานด้านความคิดทางการเมืองในจีน" ไม่นานหลังจากนั้น กรมโฆษณาชวนเชื่อกลางได้รับทรัพยากรและอำนาจมากขึ้น "รวมถึงอำนาจในการแทรกแซงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาชวนเชื่อและกวาดล้างกลุ่มบุคคลที่สนับสนุนขบวนการประชาธิปไตย"[37] กรมการเมืองยังออกรายชื่อ "เจ็ดสิ่ง" ที่เกี่ยวข้องกับ "ประเด็นที่อยู่ในความกังวลของมวลชนทั่วโลก" โดยให้ความสำคัญกับการทุจริตภายในพรรคเป็นอันดับแรก[38] เจียงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1989 สืบทอดตำแหน่งจากเติ้ง[39] และประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1993[40] การแต่งตั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นธรรมเนียมปฏิบัติที่ผู้นำสูงสุดของจีนจะดำรงตำแหน่งผู้นำพรรค ประธานาธิบดี และประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางพร้อมกัน[41] ผู้นำประเทศในช่วงไม่กี่ปีแรก เจียงต้องอาศัยการสนับสนุนจากเติ้ง เสี่ยวผิงเพื่อรักษาอำนาจไว้ [42] ซึ่งบังคับให้เจียงมี "จุดยืนชาตินิยมสุดโต่ง" ต่อไต้หวันและสหรัฐ[43] เจียงสนับสนุนคำเรียกร้องของเติ้งที่ต่อต้าน "การเปิดเสรีชนชั้นกระฎุมพี" แต่ในขณะที่เจียงถูกมองว่าเป็น "นักปฏิรูปผู้มีความคิดสร้างสรรค์"[44] เขาก็ [โน้มเอียง] ไปสู่มุมมองที่อนุรักษ์นิยมมากกว่าของผู้อาวุโสในพรรคและเพื่อนร่วมงานกรมการเมืองของเขา[45] เติ้งสนับสนุนการปฏิรูปมากกว่ามาก โดยกล่าวว่า "การเอนไปทางซ้ายนั้นเป็นอันตรายยิ่งกว่า" การเอนไปทางขวา[46] ใน ค.ศ. 1992 เติ้งเริ่มวิจารณ์ความเป็นผู้นำของเจียง ระหว่างการเยือนภาคใต้ของเติ้ง เขาแนะอย่างเป็นนัยว่าอัตราการปฏิรูปยังไม่เร็วพอ[47] เจียงเริ่มระมัดระวังมากขึ้น และสนับสนุนการปฏิรูปของเติ้งอย่างเต็มที่[48] เจียงได้บัญญัติศัพท์ใหม่ว่า "เศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม" เพื่อเปลี่ยนเศรษฐกิจสังคมนิยมที่วางแผนโดยส่วนกลางของจีนให้กลายเป็นเศรษฐกิจตลาดที่รัฐบาลควบคุม[49] นับเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการตระหนักถึง "สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน" ของเติ้ง[50] ในเวลาเดียวกัน เจียงยังยกระดับผู้สนับสนุนของเขาจากเซี่ยงไฮ้ให้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงในรัฐบาล หลังสามารถฟื้นความไว้วางใจของเติ้งกลับมาได้ เขายุบคณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลางที่ล้าสมัยใน ค.ศ. 1992 ซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษาที่ประกอบด้วยผู้อาวุโสพรรค การพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 การปฏิรูปเศรษฐกิจหลังเหตุการณ์เทียนอันเหมินโดยรองนายกรัฐมนตรีและต่อมาคือนายกรัฐมนตรีจู หรงจี พร้อมด้วยการสนับสนุนของเจียงเริ่มมีเสถียรภาพและประเทศก็อยู่ในวิถีการเติบโตที่สม่ำเสมอ ในเวลาเดียวกัน จีนต้องเผชิญปัญหาเศรษฐกิจและสังคมมากมาย ในงานรัฐพิธีศพของเติ้งใน ค.ศ. 1997 เจียงได้กล่าวสดุดีรัฐบุรุษอาวุโส เจียงสืบทอดประเทศจีนที่เต็มไปด้วยการทุจริตทางการเมือง และเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่เติบโตเร็วเกินกว่าจะรักษาเสถียรภาพของทั้งประเทศได้ นโยบายของเติ้งที่ว่า "บางพื้นที่สามารถรวยได้ก่อนพื้นที่อื่น" ทำให้เกิดช่องว่างความมั่งคั่งระหว่างภูมิภาคชายฝั่งและมณฑลภายใน เจียงและจูเริ่มการปฏิรูปครั้งใหญ่ต่อรัฐวิสาหกิจ (SOE) ในช่วงดำรงตำแหน่ง ตามแนวคิดของ "จับใหญ่ ปล่อยเล็ก" อุตสาหกรรมหนักจำนวนหนึ่งถูกยกเลิกการควบคุม และรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมหลายแห่งถูกปิดกิจการหรือแปรรูปเป็นเอกชน ส่งผลให้รัฐวิสาหกิจเสียตำแหน่งงานมากถึง 40 ล้านตำแหน่งในช่วงแรก[51][52] เจียงยังควบคุมดูแลการทำลาย "ชามข้าวเหล็ก" ทำให้จีนสามารถเข้าร่วมองค์การการค้าโลกใน ค.ศ. 2001[53] ผลจากการปฏิรูปทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40 ในพื้นที่เมืองบางแห่ง และตลาดหลักทรัพย์มีความผันผวนอย่างมาก ขนาดของการย้ายถิ่นจากชนบทเข้าสู่เขตเมืองเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และมีการดำเนินการน้อยมากเพื่อแก้ไขช่องว่างความมั่งคั่งระหว่างเมืองกับชนบทที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รายงานอย่างเป็นทางการระบุตัวเลขสัดส่วน GDP ของจีนที่ถูกย้ายและนำไปใช้ในทางที่ผิดโดยเจ้าหน้าที่ทุจริตอยู่ที่ร้อยละ 10[54] เป้าหมายยิ่งใหญ่ที่สุดของเจียงในด้านเศรษฐกิจคือ ความมั่นคง และเขาเชื่อว่ารัฐบาลที่มีเสถียรภาพและอำนาจรวมศูนย์สูงจะเป็นปัจจัยเบื้องต้นที่จำเป็น เขาจึงเลือกที่จะเลื่อนการปฏิรูปทางการเมืองออกไป ซึ่งในหลายแง่มุมของการปกครองกลับทำให้ปัญหาที่ดำเนินอยู่เลวร้ายลงไปอีก[55] เมื่อพื้นที่ชายฝั่งและเขตเศรษฐกิจพิเศษได้รับการพัฒนาเพียงพอแล้ว เจียงจึงพยายามลดความเหลื่อมล้ำทางภูมิศาสตร์โดยส่งเสริมให้เมืองที่ร่ำรวยกว่า "ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน เทคโนโลยี และการจัดการแก่เมืองที่ยากจนกว่าทางตะวันตก"[56] เจียงเสนอแผนพัฒนาภาคตะวันตกของจีน[57]: 401 การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการ เช่น ทางรถไฟสายชิงไห่–ทิเบต และเขื่อนสามผา เริ่มขึ้นภายใต้การนำของเจียง[58] เจียงริเริ่มนโยบาย "ไปสู่สากล" ใน ค.ศ. 1999 ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งเน้นการพัฒนาบริษัทชั้นนำของชาติ เพิ่มอุปสงค์จากต่างประเทศสำหรับสินค้าและบริการของจีน และรักษาความมั่นคงด้านพลังงานและทรัพยากร[59]: 123 นโยบายนี้ทำให้การลงทุนและอิทธิพลของจีนขยายวงกว้างอย่างมากในกลุ่มประเทศโลกใต้ โดยเฉพาะในแอฟริกาและเอเชีย[59]: 124 การต่างประเทศภายใต้การนำของเจียง จีนยังคงดำเนินนโยบายการทูตเพื่อการพัฒนาซึ่งเป็นแนวทางที่เติ้ง เสี่ยวผิงริเริ่มขึ้น[60] พฤติกรรมระหว่างประเทศของจีนโดยทั่วไปอยู่ในเชิงปฏิบัติและสามารถคาดเดาได้[60] ในระหว่างที่เจียงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างจีนกับสหรัฐ[61] อย่างไรก็ตาม นโยบายต่างประเทศของเจียงส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงรับและไม่มีการเผชิญหน้า นโยบายต่างประเทศภายใต้การนำของเจียงสืบทอดมาจากนโยบายของเติ้ง เสี่ยวผิง นั่นคือ เทากวางหย่างฮุ่ย หรือ "ซ่อนพรสวรรค์และคอยเวลา" ซึ่งเน้นการใช้ถ้อยคำที่แสดงถึงความร่วมมือและเลี่ยงการโต้แย้ง[62] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1993 กองทัพเรือสหรัฐได้หยุดเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ของจีนชื่อ หยินเหอ โดยมีข้อสงสัยที่ไม่ถูกต้องว่าเรือลำดังกล่าวอาจบรรทุกสารตั้งต้นอาวุธเคมีมุ่งหน้าไปยังอิหร่าน[63] แม้จีนจะปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ แต่สหรัฐได้ตัดสัญญาณ GPS ของเรือ ทำให้เรือสูญเสียทิศทางและต้องทอดสมอบนทะเลหลวงเป็นเวลา 24 วันกระทั่งยอมให้ตรวจสอบ[63] ไม่พบสารตั้งต้นทางเคมีบนเรือ[63] จีนเรียกร้องขอคำขอโทษอย่างเป็นทางการ แต่สหรัฐปฏิเสธที่จะขอโทษหรือจ่ายค่าชดเชย[63] แม้จะเผชิญกับความอับอายจากอุบัติการณ์หยินเหอ เจียงก็ยังคงแสดงท่าทีเป็นมิตรต่อสหรัฐและนำ "สูตรสิบหกอักษร" มาใช้กับการทำงานร่วมกับสหรัฐ ได้แก่ "เพิ่มความเชื่อมั่น ลดปัญหา ขยายความร่วมมือ และเลี่ยงการเผชิญหน้า"[63] ใน ค.ศ. 1993 เจียงสั่งให้มีการทดสอบขีปนาวุธหลายครั้งในน่านน้ำรอบเกาะไต้หวันเพื่อประท้วงรัฐบาลสาธารณรัฐจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีหลี่ เติงฮุย ซึ่งถูกมองว่ากำลังเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศออกจากนโยบายจีนเดียว[64]: 224–225 สหรัฐส่งกลุ่มเรือบรรทุกเครื่องบินสองกลุ่มไปยังบริเวณใกล้ไต้หวัน และจีนก็ลดระดับความตึงเครียดลง[64]: 225 ผลจากการตอบสนองของสหรัฐ ทำให้เจียงสั่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนเริ่มโครงการปฏิรูปกองทัพเป็นเวลา 10 ปี[64]: 225 ใน ค.ศ. 1997 เจียงเดินทางเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการ การเดินทางครั้งนี้ดึงดูดกลุ่มผู้ประท้วงหลากหลายกลุ่มตั้งแต่ขบวนการเอกราชทิเบตไปจนถึงผู้สนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยในจีน เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยมีบางส่วนเป็นภาษาอังกฤษ แต่ไม่อาจหลบเลี่ยงคำถามเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพได้ ในการประชุมสุดยอดอย่างเป็นทางการกับประธานาธิบดีบิล คลินตัน บรรยากาศเป็นไปอย่างผ่อนคลายเนื่องจากทั้งสองฝ่ายพยายามแสวงหาจุดร่วมกัน แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะเพิกเฉยต่อประเด็นที่ขัดแย้งกัน คลินตันเดินทางเยือนจีนในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1998 และให้คำมั่นว่าจีนกับสหรัฐเป็นพันธมิตรในโลก ไม่ใช่ศัตรู[65] หลังสหรัฐทิ้งระเบิดสถานทูตจีนในเบลเกรดใน ค.ศ. 1999 เจียงดูเหมือนจะแสดงท่าทีแข็งกร้าวในประเทศ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาแสดงท่าทีประท้วงในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น และไม่มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมใด ๆ[55] เจียงเห็นว่าความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสหรัฐกับจีนมีความสำคัญเกินกว่าจะถูกทำลายเพราะอารมณ์ชั่ววูบและได้พยายามบรรเทาความโกรธแค้นของประชาชนจีน[66] อุบัติการณ์เกาะไหหลำเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่เจียงเป็นประธานาธิบดี[67] วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2001 เครื่องบินสอดแนมอีพี-3 ของสหรัฐชนกับเครื่องบินขับไล่ไอพ่นเฉิ่นหยาง เจ-8 ของจีนกลางอากาศเหนือทะเลจีนใต้[67] จีนเรียกร้องขอคำขอโทษอย่างเป็นทางการและยอมรับคำกล่าว "ขออภัยอย่างยิ่ง" ของคอลิน พอเวลล์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐว่าเพียงพอแล้ว[67] แม้กระนั้น เหตุการณ์นี้ก็สร้างความรู้สึกเชิงลบต่อสหรัฐในหมู่ประชาชนจีนและทำให้ประชาชนมีความรู้สึกชาตินิยมมากขึ้น[67] ในฐานะมิตรสหายส่วนตัวของฌ็อง เครเตียง อดีตนายกรัฐมนตรีแคนดา[68] เจียงได้เสริมสร้างสถานะทางเศรษฐกิจของจีนในระดับนานาชาติโดยพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศต่าง ๆ ที่การค้าส่วนใหญ่จำกัดอยู่ในเขตเศรษฐกิจของสหรัฐ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภูมิหลังทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมของเจียงทำให้เขาให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และการศึกษาในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1989 เจียงได้ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีต่อการพัฒนาผลิตภาพทางสังคมในงานมอบรางวัลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับชาติ และยืนยันถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในการให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1994 เขาเสนอต่อการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 14 ให้ "ยกระดับวิทยาศาสตร์และการศึกษาเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ" และใน ค.ศ. 1996 เขาได้วางยุทธศาสตร์การ "สร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และการศึกษา" ในปีถัดมา คณะมนตรีรัฐกิจได้เปิดตัวโครงการนวัตกรรมความรู้ โครงการนวัตกรรมเทคโนโลยี โครงการ 211 โครงการ 985 และอื่น ๆ[69] วันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1992 คณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของเจียงได้อนุมัติโครงการอวกาศขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ นั่นคือโครงการอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมของจีน[70] ตลอดระยะเวลาดำเนินโครงการ เขามักเดินทางไปยังเมืองอวกาศปักกิ่ง ศูนย์ส่งดาวเทียมจิ่วเฉฺวียน และสถานที่อื่น ๆ อีกหลายแห่งเพื่อตรวจสอบและพบปะบุคลากรทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการนี้ เขายังเข้าร่วมชมการปล่อยยานอวกาศเฉินโจว 3 ซึ่งเป็นยานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุม ณ สถานที่จริง[71] หลังพัฒนามานานกว่าทศวรรษ จีนก็กลายเป็นประเทศที่สามของโลกต่อจากสหภาพโซเวียต/รัสเซีย และสหรัฐที่สามารถพัฒนาระบบการส่งมนุษย์ขึ้นสู่อวกาศด้วยตนเองได้สำเร็จใน ค.ศ. 2003 การออกสื่อหนังสือพิมพ์เหรินหมินรื่อเป้าและรายการซินเหวินเหลียนปัวของสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) ที่ออกอากาศเวลา 19.00 น. ต่างนำเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับเจียงเป็นข่าวหน้าหนึ่งหรือข่าวสำคัญ โดยสถานการณ์เช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึง ค.ศ. 2006 เมื่อหู จิ่นเทาทำการปรับเปลี่ยนการบริหารสื่อ เจียงปรากฏตัวต่อหน้าสื่อตะวันตกอย่างไม่เป็นทางการและให้สัมภาษณ์กับไมก์ วอลเลซจากช่องซีบีเอสที่เป่ย์ไต้เหอใน ค.ศ. 2000 ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขามักใช้ภาษาต่างประเทศต่อหน้ากล้องบ่อยครั้ง ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษารัสเซียล้วนนานถึง 40 นาที[72] ในการพบปะกับชารอน เชิง นักข่าวฮ่องกงใน ค.ศ. 2000 เกี่ยวกับกรณีที่รัฐบาลกลางดูเหมือนจะใช้ "ราชโองการ" เพื่อสนับสนุนต่ง เจี้ยนหฺวาให้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การเขตบริหารพิเศษฮ่องกงเป็นสมัยที่สอง เจียงได้ตำหนินักข่าวฮ่องกงเป็นภาษาอังกฤษว่า "เรียบง่ายเกินไป บางครั้งก็ไร้เดียงสา"[73] สามตัวแทนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2000 เจียงได้นำเสนอทฤษฎีสามตัวแทน ซึ่งต่อมาถูกบรรจุไว้ในธรรมนูญพรรคและรัฐธรรมนูญในฐานะ "ความคิดสำคัญ" ตามรอยลัทธิมากซ์–เลนิน ความคิดของเหมา เจ๋อตง และทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง[74][57]: 474–475 ได้รับการกำหนดอย่างเป็นทางการว่าเป็นพัฒนาการล่าสุดของสังคมนิยมอัตลักษณ์จีนในสมัยของเจียง[75] สามตัวแทนให้เหตุผลสนับสนุนการรวมชนชั้นธุรกิจทุนนิยมใหม่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของพรรค และการเปลี่ยนอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีนจากการปกป้องผลประโยชน์ของชาวนาและกรรมกรไปสู่การปกป้องผลประโยชน์ของ "ประชาชนส่วนใหญ่" ซึ่งเป็นสำนวนที่มุ่งเอาใจชนชั้นผู้ประกอบการที่กำลังเติบโต นักวิจารณ์อนุรักษ์นิยมภายในพรรค เช่น เติ้ง ลี่ฉฺวิน ฝ่ายซ้ายหัวรุนแรง ได้ประณามสิ่งนี้ว่าเป็นการทรยศต่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์อย่างแท้จริง[74] ก่อนถ่ายโอนอำนาจแก่ผู้นำรุ่นต่อไป เจียงได้บรรจุทฤษฎีสามตัวแทนของตนเข้าไปในธรรมนูญของพรรค ร่วมกับลัทธิมากซ์–เลนิน ความคิดเหมา เจ๋อตง และทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิงในการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 16 ใน ค.ศ. 2002[76] การปราบปรามฝ่าหลุนกงในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1999 เจียงได้ก่อตั้งหน่วยงานนอกกฎหมายขึ้นมา หน่วยงานนี้มีชื่อว่าสำนักงาน 610 เพื่อปราบปรามฝ่าหลุนกง คุกและเลมิชระบุว่าเจียงเป็นกังวลว่าขบวนการทางศาสนาใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมนี้กำลัง "แทรกซึมเข้าสู่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและกลไกของรัฐอย่างเงียบ ๆ"[77] วันที่ 20 กรกฎาคม กองกำลังความมั่นคงได้จับกุมนักจัดกิจกรรมฝ่าหลุนกงหลายพันคนที่พวกเขาระบุว่าเป็นผู้นำ[78] การข่มเหงที่ตามมามีลักษณะเป็นการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อทั่วประเทศ เช่นเดียวกับการจำคุกโดยพลการและการบังคับปรับทัศนคติต่อนักจัดกิจกรรมฝ่าหลุนกง ซึ่งบางครั้งนำไปสู่การเสียชีวิตจากการถูกทารุณกรรมระหว่างกักขัง[79][80][81]
ลงจากอำนาจก่อนการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 16 หู จิ่นเทาได้รับ "การสนับสนุนเกือบเป็นเอกฉันท์" ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนใหม่[82] เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของจีนในฐานะประเทศที่มีความมั่นคงและเป็นที่เคารพนับถือ เจียงและหูได้ให้ความสำคัญกับความสามัคคี โดยมุ่งมั่นที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เป็นไปอย่างราบรื่นและกลมกลืน[83][84] เจียงลงจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคและออกจากคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง แต่ยังคงดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง[85] ซึ่งมีอำนาจควบคุมกองทัพและนโยบายต่างประเทศของชาติ[86] เจียงจะยังคงให้คำปรึกษาหูจาก "หลังม่าน" และมีการตกลงอย่างเป็นทางการว่า เจียงจะได้รับการ "ปรึกษาหารือในทุกเรื่องที่สำคัญของรัฐ"[86] ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าใจกันโดยปริยายว่าหูจะไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้นำ "แกนหลัก" ดังเช่นเจียง เติ้ง และเหมา[87] ในการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 16 สมาชิกใหม่ส่วนใหญ่ในคณะกรรมาธิการสามัญนั้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่เรียกว่า "กลุ่มเซี่ยงไฮ้" ของเจียง โดยบุคคลสำคัญที่สุดคือรองประธานาธิบดีเจิ้ง ชิ่งหง ผู้ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของเจียงมานานหลายปี และรองนายกรัฐมนตรีหฺวาง จฺวี๋ อดีตเลขาธิการพรรคประจำนครเซี่ยงไฮ้[88] หลังหูสืบทอดตำแหน่งเลขาธิการพรรคต่อจากเจียง เจียงก็ยังคง "[ครอบงำ] ชีวิตสาธารณะ" ต่อไปอีกหลายปี[89] เซาท์ไชนามอร์นิงโพสต์ประกาศว่า "สมัยใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นในประเทศจีนแล้ว แต่ไม่ใช่ยุคของรองประธานาธิบดีหู จิ่นเทา [...] หากแต่เป็นยุคใหม่ของประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน ผู้เพิ่งลาออกจากเลขาธิการพรรค"[85] ในช่วงเริ่มต้นของวิกฤตซาร์สใน ค.ศ. 2003 เจียงมีความเงียบอย่างเห็นได้ชัด ผู้สังเกตการณ์มีความเห็นต่างกันไปว่าสิ่งนี้บ่งบอกถึงอิทธิพลที่ลดลงของเขาหรือเป็นการแสดงความเคารพต่อหู[90] มีการโต้แย้งว่าการจัดการสถาบันที่เกิดจากการประชุมใหญ่ครั้งที่ 16 นั้นทำให้เจียงอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถใช้อิทธิพลได้มากนัก[91] แม้ว่าเจียงจะเป็นประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง แต่สมาชิกส่วนใหญ่ของคณะกรรมการฯ ล้วนเป็นทหารอาชีพ หนังสือพิมพ์ "กองทัพปลดปล่อยประชาชนรายวัน" ซึ่งเชื่อว่าสะท้อนมุมมองของเสียงส่วนใหญ่ในคณะกรรมการฯ ได้ตีพิมพ์บทความในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2003 โดยอ้างคำพูดของผู้แทนทหารสองนายว่า "การมีศูนย์กลางเดียวเรียกว่า 'ความภักดี' ขณะที่การมีสองศูนย์กลางจะนำไปสู่ 'ปัญหา'" การกระทำนี้ถูกตีความว่าเป็นการวิจารณ์ความพยายามของเจียงในการใช้อำนาจร่วมกับหูตามแบบของเติ้ง เสี่ยวผิง[92] วันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 2004 หลังการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 16 เจียงในวัย 78 ปีได้ลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางของพรรค ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้ายของเขาในพรรค หกเดือนต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2005 เจียงได้ลาออกจากตำแหน่งสำคัญที่สุดตำแหน่งสุดท้ายของเขา นั่นคือ ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางของรัฐ ซึ่งถือเป็นการปิดฉากอาชีพทางการเมืองของเจียง[โปรดขยายความ] เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังมีการคาดการณ์เป็นเวลาหลายสัปดาห์ว่ากลุ่มผู้มีอำนาจในพรรคกำลังกดดันให้เจียงลาออก ตามกำหนดเดิม วาระการดำรงตำแหน่งของเจียงจะสิ้นสุดใน ค.ศ. 2007 หูสืบทอดตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางจากเจียง แต่ในความพ่ายแพ้ทางการเมืองที่เห็นได้ชัดของเจียงนั้น พลเอก สฺวี ไฉโฮ่ว ไม่ใช่เจิ้ง ชิ่งหง ได้รับแต่งตั้งให้สืบทอดตำแหน่งรองประธานจากหู ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น การเปลี่ยนผ่านอำนาจครั้งนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดยุคสมัยของเจียงในจีนอย่างเป็นทางการ ซึ่งกินเวลาโดยประมาณระหว่าง ค.ศ. 1989 ถึง 2004[93] ใน ค.ศ. 2008 เจียงได้ตีพิมพ์บทความวิชาการเกี่ยวกับทรัพยากรพลังงานสะอาดของจีนและอีกบทความหนึ่งเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน[94]: 100 การปรากฏตัวอย่างเป็นทางการหลังเกษียณเจียงยังคงปรากฏตัวอย่างเป็นทางการต่อไปหลังจากสละตำแหน่งสุดท้ายใน ค.ศ. 2005 ตามลำดับความสำคัญที่กำหนดไว้อย่างเข้มงวดของจีน ชื่อของเจียงจะปรากฏอยู่ถัดจากชื่อของหู จิ่นเทาเสมอ และอยู่ก่อนหน้าชื่อของสมาชิกคนอื่น ๆ ที่เหลือในคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง ใน ค.ศ. 2007 เจียงปรากฏตัวร่วมเวทีกับหู จิ่นเทาในงานฉลองครบรอบ 80 ปีการก่อตั้งกองทัพปลดปล่อยประชาชน[95] และร่วมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์การทหารแห่งการปฏิวัติของประชาชนจีนพร้อมด้วยหลี่ เผิง, จู หรงจี และอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ[96] วันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2008 เจียงปรากฏตัวในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ปักกิ่ง[97] เขายังยืนข้างหู จิ่นเทาในพิธีสวนสนามครบรอบ 60 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009[98] ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2011 รายงานเท็จเกี่ยวกับการถึงแก่อสัญกรรมของเจียงเริ่มแพร่หลายในสื่อข่าวนอกจีนแผ่นดินใหญ่และบนอินเทอร์เน็ต[99][100] แม้ว่าเจียงอาจจะป่วยและกำลังเข้ารับการรักษา แต่ข่าวลือดังกล่าวได้รับการปฏิเสธจากแหล่งข่าวอย่างเป็นทางการ[101] วันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 2011 เจียงปรากฏตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขากล่าวคำไว้อาลัยก่อนกำหนดในปักกิ่งในงานรำลึก 100 ปีการปฏิวัติซินไฮ่[102] เจียงปรากฏตัวอีกครั้งในการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 18 ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 และเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองครบรอบ 65 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 ในงานเลี้ยงเขาได้นั่งข้างสี จิ้นผิง ผู้ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อจากหู จิ่นเทา ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2015 เจียงเข้าร่วมพิธีสวนสนามฉลองครบรอบ 70 ปีการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นั่น เจียงได้นั่งข้างสี จิ้นผิงกับหู จิ่นเทาอีกครั้ง[103] เขาปรากฏตัวในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเซี่ยงไฮ้[104] หลังสี จิ้นผิงขึ้นสู่อำนาจใน ค.ศ. 2012 ตำแหน่งของเจียงในลำดับความสำคัญก็ลดลง ขณะที่เขามักจะได้นั่งข้างสี จิ้นผิงในงานทางการ ชื่อของเขามักถูกกล่าวหลังจากสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง[105] เจียงปรากฏตัวอีกครั้งในการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 19 ในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2017[106] เขาปรากฏตัวในวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 2019 ในพิธีศพของอดีตนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง[107][108][109] เขายังเข้าร่วมพิธีสวนสนามครบรอบ 70 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2019 ถือเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณชนครั้งสุดท้ายก่อนถึงแก่อสัญกรรม[110] เขาไม่ได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 20 ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2022[111] ครอบครัวและชีวิตส่วนตัวเจียงแต่งงานกับหวัง เย่ผิง ซึ่งเป็นชาวหยางโจวเช่นกันใน ค.ศ. 1949[112] เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา เพราะแม่บุญธรรมของเจียงคือป้าของหวัง หวังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยการศึกษานานาชาติเซี่ยงไฮ้[113] พวกเขามีบุตรชายด้วยกันสองคนคือ เจียง เหมียนเหิง และเจียง เหมียนคัง[114] เจียง เหมียนเหิงกลายเป็นนักวิชาการและนักธุรกิจที่ทำงานในโครงการอวกาศของจีนและผู้ก่อตั้งบริษัท เกรซ เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง คอร์ปอเรชั่น (Grace Semiconductor Manufacturing Corporation)[115] เชื่อกันว่าเจียงมีมิตรภาพอันยาวนานกับนักร้องซ่ง จู่อิง, เฉิน จื้อลี่ และคนอื่น ๆ[116][117][118][119][120][121] หลังการขึ้นสู่อำนาจของสี จิ้นผิง ซ่งและผู้ภักดีต่อเจียงคนอื่น ๆ รวมถึงซ่ง จู่ยฺวี่ น้องชายของเธอตกอยู่ภายใต้การสอบสวนเรื่องการทุจริต[122][123] เจียงมีความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศหลายภาษา[124] รวมทั้งภาษาอังกฤษและรัสเซีย เขายังคงเป็นผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียวของจีนที่พูดภาษาอังกฤษได้[124] เขาสนุกกับการพูดคุยกับนักท่องเที่ยวต่างชาติเกี่ยวกับศิลปะและวรรณกรรมในภาษาแม่ของพวกเขา นอกเหนือจากการร้องเพลงต่างประเทศในภาษาต้นฉบับของพวกเขาด้วย ใน ค.ศ. 1987 เขาร้องเพลง When We Were Young และเต้นรำกับไดแอนน์ ไฟน์สไตน์ นายกเทศมนตรีซานฟรานซิสโกในขณะนั้น[125] เจียงยังเล่นอูกูเลเลในระหว่างการเยือนฮาวายใน ค.ศ. 1997 ด้วย[125] อสัญกรรมเจียงถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 ขณะมีอายุได้ 96 ปี ในเซี่ยงไฮ้ สำนักข่าวซินหัว สื่อของรัฐบาลจีนรายงานว่าเขาอสัญกรรมในเวลา 12:13 น. จากโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและอวัยวะหลายส่วนล้มเหลว[126][127] ในวันอสัญกรรม รัฐบาลได้ออกประกาศลดธงชาติครึ่งเสาในสถานที่สำคัญของปักกิ่งและสถานทูตในต่างประเทศ ชาวต่างชาติไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมกิจกรรมไว้อาลัยอย่างเป็นทางการ[128] ร่างของเจียงถูกฌาปนกิจที่สุสานปฏิวัติปาเป่าชานและเถ้ากระดูกของเขาถูกโปรยไว้ใกล้ปากแม่น้ำแยงซี[129]: 129 มรดกนโยบายของหู จิ่นเทา ผู้สืบทอดตำแหน่งของเขา และเวิน เจียเป่า ถูกมองกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นความพยายามแก้ไขความไม่สมดุลที่รับรู้ได้และเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นแต่การเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไปสู่มุมมองการพัฒนาที่กว้างขึ้นซึ่งรวมถึงปัจจัยที่ไม่ใช่เศรษฐกิจ เช่น สุขภาพและสิ่งแวดล้อม[130] ในประเทศ มรดกและชื่อเสียงของเจียงนั้นผสมผสานกัน ขณะที่บางคนมองว่าช่วงเวลาที่มีเสถียรภาพและการเติบโตที่ค่อนข้างมากในคริสต์ทศวรรษ 1990 เป็นผลจากการดำรงตำแหน่งของเจียง[131] คนอื่น ๆ ก็โต้แย้งว่าเจียงไม่ได้ทำอะไรมากนักในการแก้ไขความไม่สมดุลของระบบและปัญหาสะสมที่เกิดจากการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วเป็นเวลาหลายปี ทำให้รัฐบาลชุดต่อไปต้องเผชิญกับความท้าทายนับไม่ถ้วน ซึ่งบางอย่างอาจสายเกินกว่าจะแก้ไข[132] ความจริงที่ว่าเจียงขึ้นสู่อำนาจในฐานะผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่เทียนอันเหมินได้ส่งผลต่อการรับรู้เกี่ยวกับการปกครองของเขา ภายหลังการประท้วงที่เทียนอันเหมิน เจียงได้ให้การสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจอนุรักษ์นิยมของเฉิน ยฺหวิน ผู้อาวุโส แต่ต่อมาได้เปลี่ยนไปภักดีต่อแผนปฏิรูปของเติ้ง เสี่ยวผิง หลังจากเติ้งออก "เดินทางเยือนใต้" การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ถูกมองว่าเป็นการใช้โอกาสทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความสับสนในหมู่ผู้ภักดีต่อพรรคในเรื่องที่ว่าพรรคกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใดหรือพรรคมีความเชื่อมั่นอย่างแท้จริงต่อสิ่งใดอีกด้วย[133] ขณะที่การปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องส่งผลให้เกิดความมั่งคั่งระเบิดทั่วประเทศ แต่ยังนำไปสู่การก่อตั้งกลุ่มผลประโยชน์พิเศษในหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจ และการใช้อำนาจรัฐโดยปราศจากการกำกับดูแลที่สำคัญใด ๆ สิ่งนี้เปิดทางให้เกิดการกระจายผลแห่งการเติบโตที่ไม่เหมาะสม และทำให้เกิดวัฒนธรรมการทุจริตที่ขยายตัวในหมู่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่พรรค[132] หยาง จี้เฉิง นักประวัติศาสตร์และอดีตนักข่าวซินหัว เขียนว่าเจียงอาจได้รับการประเมินทางประวัติศาสตร์ในเชิงบวกหากเขาไม่ตัดสินใจ "อยู่เกินเวลาต้อนรับ" โดยยังคงดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการการทหารส่วนกลางหลังจากที่หูเข้ารับตำแหน่งผู้นำพรรคอย่างเป็นทางการ ยิ่งไปกว่านั้น เจียงยังได้รับเครดิตสำหรับความสำเร็จทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วง 13 ปี "ระหว่าง ค.ศ. 1989 ถึง 2002" ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ระลึกถึงความทรงจำที่เจียงเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์เทียนอันเหมินเท่านั้น แต่ยังละเลยรากฐานทางเศรษฐกิจที่เติ้งวางไว้ ซึ่งอำนาจของเขายังคงมีความสำคัญสูงสุดจนถึงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 นอกจากนี้ เจียงยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงการยืนกรานของเขาในการเขียน "สามตัวแทน" ลงในธรรมนูญพรรคและรัฐธรรมนูญ (ดูด้านล่าง) ซึ่งหยางเรียกว่าความพยายามของเจียงในการ "ยกยอตนเอง" กล่าวคือ เขาเห็นตัวเองเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในแนวทางเดียวกันกับเติ้งและเหมา หยางโต้แย้งว่า "'สามตัวแทน' เป็นเพียงสามัญสำนึก ไม่ใช่กรอบทฤษฎีที่เหมาะสม มันเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองคนใดก็ตามจะบอกกับประชาชนเพื่อให้เหตุผลในการคงการปกครองของพรรครัฐบาลต่อไป"[134] เจียงไม่ได้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ และใน ค.ศ. 1997 เขาส่งมอบการบริหารเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศให้แก่นายกรัฐมนตรีจู หรงจี และเขายังคงดำรงตำแหน่งอยู่จนถึงช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย ภายใต้การนำร่วมกันนี้ จีนแผ่นดินใหญ่สามารถรักษาอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อหัวสูงที่สุดในเศรษฐกิจหลักของโลก สร้างความประหลาดใจให้กับคนทั่วโลกด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง สิ่งนี้ประสบความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่โดยดำเนินกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจตลาดต่อไป นอกจากนี้ เขายังช่วยเพิ่มสถานะในระดับนานาชาติของจีนด้วยการที่จีนเข้าร่วมองค์การการค้าโลกใน ค.ศ. 2001 และปักกิ่งได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน 2008[135] บางคนยังเชื่อมโยงเจียงกับการทุจริตและการเล่นพรรคเล่นพวกที่แพร่หลายซึ่งกลายมาเป็นลักษณะเด่นของกลไกอำนาจคอมมิวนิสต์นับตั้งแต่เจียงอยู่ในอำนาจ ในกองทัพ กล่าวกันว่ารองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง 2 คนซึ่งดำรงตำแหน่งสูงสุดรองจากประธานหู จิ่นเทา คือสฺวี ไฉ่โฮ่ว และกัว ปั๋วสฺยง ขัดขวางการใช้อำนาจของหูในกองทัพ ทั้งสองถูกมองว่าเป็น "ตัวแทนของเจียงในกองทัพ" ท้ายที่สุด มีรายงานว่าทั้งสองรับสินบนเป็นจำนวนมากและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนโยบายปราบปรามการทุจริตภายใต้การนำของสี จิ้นผิง[136] ในเวลาเดียวกัน นักเขียนชีวประวัติของเจียงหลายคนได้ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลของเขามีลักษณะคล้ายกับการปกครองแบบคณาธิปไตยซึ่งตรงข้ามกับการปกครองแบบเผด็จการ[137] นโยบายหลายประการในสมัยของเขามักถูกกล่าวอ้างว่าเป็นผลงานของผู้นำคนอื่นในรัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีจู หรงจี เจียงยังเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำที่ใส่ใจในการขอความเห็นจากที่ปรึกษาคนสนิทของตน เจียงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง[138] แต่ในขณะเดียวกัน ชาวจีนหลายคนก็วิจารณ์ว่าเขาทำตัวปรองดองกับสหรัฐและรัสเซียมากเกินไป ปัญหาการรวมประเทศจีนระหว่างแผ่นดินใหญ่และไต้หวันเริ่มได้รับความสนใจในช่วงที่เจียงดำรงตำแหน่ง[139] เครื่องอิสริยาภรณ์
หนังสือ
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
อ้างอิง
บรรณานุกรม
อ่านเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ เจียง เจ๋อหมิน วิกิคำคมมีคำคมเกี่ยวกับ เจียง เจ๋อหมิน
|