Share to:

 

ประเทศปาปัวนิวกินี

6°S 147°E / 6°S 147°E / -6; 147

รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี

  • Independent State of Papua New Guinea (อังกฤษ)
  • Independen Stet bilong Papua Niugini (ตอกปีซิน)
  • Independen Stet bilong Papua Niu Gini (ฮีรีโมตู)

ที่ตั้งของ ประเทศปาปัวนิวกินี  (เขียว)
ที่ตั้งของ ประเทศปาปัวนิวกินี  (เขียว)
เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
พอร์ตมอร์สบี
09°28′44″S 147°08′58″E / 9.47889°S 147.14944°E / -9.47889; 147.14944
ภาษาราชการ[3][4]
ภาษาพื้นเมือง
851 ภาษา[5]
กลุ่มชาติพันธุ์
ศาสนา
(สำมะโน ค.ศ. 2011)[6]
การปกครองรัฐเดี่ยว ระบบรัฐสภา
ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3
บ็อบ ดาเด
เจมส์ มาราเป
สภานิติบัญญัติรัฐสภาแห่งชาติ
เอกราช 
1 กรกฎาคม ค.ศ. 1949
16 กันยายน ค.ศ. 1975
พื้นที่
• รวม
462,840 ตารางกิโลเมตร (178,700 ตารางไมล์) (อันดับที่ 54)
2
ประชากร
• ค.ศ. 2020 ประมาณ
เพิ่มขึ้นเป็นกลาง 8,935,000 (อันดับที่ 98)
• สำมะโนประชากร ค.ศ. 2011
7,275,324[7]
15 ต่อตารางกิโลเมตร (38.8 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 201)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) ค.ศ. 2019 (ประมาณ)
• รวม
32.382 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[8] (อันดับที่ 124)
3,764 ดอลลาร์สหรัฐ[8]
จีดีพี (ราคาตลาด) ค.ศ. 2019 (ประมาณ)
• รวม
21.543 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[8] (อันดับที่ 110)
2,504 ดอลลาร์สหรัฐ[8]
จีนี (ค.ศ. 2009)41.9[9]
ปานกลาง
เอชดีไอ (ค.ศ. 2019)เพิ่มขึ้น 0.555[10]
ปานกลาง · อันดับที่ 155
สกุลเงินกีนา (PGK)
เขตเวลาUTC+10, +11 (AEST)
ขับรถด้านซ้ายมือ
รหัสโทรศัพท์+675
โดเมนบนสุด.pg

ปาปัวนิวกินี (อังกฤษ: Papua New Guinea; ตอกปีซิน: Papua Niugini; ฮีรีโมตู: Papua Niu Gini) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี[11] (อังกฤษ: Independent State of Papua New Guinea; ตอกปีซิน: Independen Stet bilong Papua Niugini; ฮีรีโมตู: Independen Stet bilong Papua Niu Gini) เป็นประเทศในแถบโอเชียเนีย เป็นพื้นที่ทางตะวันออกของเกาะนิวกินี (พื้นที่ทางตะวันตกเป็นของประเทศอินโดนีเซีย) ตั้งอยู่ในบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ทางเหนือของประเทศออสเตรเลีย และอยู่ทางตะวันตกของหมู่เกาะโซโลมอน มีเมืองหลวงซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้คือพอร์ตมอร์สบี เป็นประเทศเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกด้วยพื้นที่ 462,840 ตารางกิโลเมตร (178,700 ตารางไมล์)[12] และเป็นประเทศสังเกตการณ์ในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ตั้งแต่ ค.ศ. 1976[13]

หลังจากถูกปกครองโดยมหาอำนาจภายนอก 3 ชาติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2427 ปาปัวนิวกินีได้ก่อตั้งอธิปไตยของตนขึ้นในปี 2518 หลังอยู่ภายใต้การปกครองของออสเตรเลียร่วม 60 ปี ซึ่งเริ่มในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปาปัวนิวกินีได้กลายเป็นอาณาจักรที่เป็นอิสระในปี 2518 โดยมีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรเป็นประมุข และกลายเป็นสมาชิกของเครือจักรภพ

ปาปัวนิวกินีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก โดยมีภาษาในประเทศเท่าที่รู้จักถึง 851 ภาษา ในจำนวนนี้มี 11 ภาษาที่ไม่มีผู้พูดอีกต่อไป[5] และยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีพื้นที่ชนบทมากที่สุด เนื่องจากมีเพียง 13.25% ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในใจกลางเมืองใน ค.ศ. 2019[14] ประชากรส่วนใหญ่มากกว่า 8,000,000 คนอาศัยอยู่ในชุมชนต่าง ๆ ซึ่งมีความหลากหลายพอ ๆ กับภาษา[15] ประเทศนี้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการสำรวจน้อยที่สุดในเชิงวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ และเป็นที่เชื่อกันว่ายังมีชนเผ่าท้องถิ่นรวมถึงพันธุ์พืชและสัตว์ที่ยังไม่ได้รับการค้นพบจำนวนมาก[16]

ปาปัวนิวกินีจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนาโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ[17] เกือบ 40% ของประชากรใช้ชีวิตตามธรรมชาติโดยไม่สามารถเข้าถึงโลกภายนอกได้[18] คนส่วนใหญ่เลี้ยงชีพด้วยการทำฟาร์ม ค้าขาย และเกษตรกรรม วิถีชีวิตทางสังคมของพวกเขาผสมผสานศาสนาดั้งเดิมเข้ากับแนวปฏิบัติสมัยใหม่ รัฐบาลปกป้องและให้ความสำคัญต่อชีวิตในชุมชนท้องถิ่น ปาปัวนิวกีนิเป็นสมาชิกของ ประชาคมแปซิฟิก, The Pacific Islands Forum[19] และเครือจักรภพแห่งประชาชาติ[20]

นิรุกติศาสตร์

ศัพท์ papua มีที่มาจากศัพท์พื้นเมืองเก่าที่ไม่ทราบต้นกำเนิด[21] ส่วน "New Guinea" (Nueva Guinea) เป็นศัพท์บัญญัติที่ Yñigo Ortiz de Retez นักสำรวจจักรวรรดิสเปนสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1545 เนื่องจากเขาสังเกตเห็นว่าผู้คนในเกาะนี้มีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมคล้ายกับผู้คนที่เขาเคยเห็นบริเวณชายฝั่งกินีของทวีปแอฟริกา และคำว่า กินี ยังมีรากศัพท์มาจากภาษาโปรตุเกส Guiné ซึ่งหมายถึง "ดินแดนแห่งคนผิวดำ"

ประวัติศาสตร์

หลักฐานทางโบราณคดีระบุว่า มนุษย์เข้ามาตั้งถิ่นฐานบนเกาะนิวกินีประมาณ 42,000 ถึง 45,000 ปีก่อน คาดว่าเป็นกลุ่มคนที่เป็นลูกหลานของผู้อพยพออกจากทวีปแอฟริกา[22] นักเดินเรือชาวโปรตุเกสและสเปนเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เข้ามาในดินแดนแห่งนี้

ในปี 2427 (ค.ศ. 1884) เยอรมันได้เข้ายึดภาคตะวันออกเหนือของเกาะ รวมทั้งเกาะบูเกนวิลล์ (Bougainville) และในปี 2431 (ค.ศ. 1888) สหราชอาณาจักรได้เข้ายึดครองในส่วนใต้ของเกาะ เรียกว่า British New Guinea ส่วนเยอรมนีเข้าครอบครองส่วนเหนือของเกาะอย่างสมบูรณ์ในปี 2442 (ค.ศ. 1899) และเรียกส่วนนี้ว่า German New Guinea จากนั้นในปี 2457 (ค.ศ. 1914) กองทัพออสเตรเลียได้เข้ายึดครองส่วนที่เป็น German New Guinea และปกครองเกาะทั้งสองส่วนจนกระทั่งปี 2484 (ค.ศ. 1941) ญี่ปุ่นได้บุกเข้ายึดและเป็นผู้ปกครองเกาะจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2488 (ค.ศ. 1945) จากนั้น ในปี 2492 (ค.ศ. 1949) ปาปัวและนิวกินีตกอยู่ในภาวะทรัสตีของสหประชาชาติภายใต้ The Papua and New Guinea Act โดยมีออสเตรเลียเป็นผู้ดูแล และเรียกดินแดนนี้ว่า Territory of Papua and New Guinea ต่อมา ในปี 2515 (ค.ศ. 1972) ได้เปลี่ยนชื่อเป็นปาปัวนิวกินี (Papua New Guinea) พร้อมทั้งจัดการเลือกตั้งคณะรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรัฐมนตรีคือ Sir Micheal Somare ซึ่งเป็นผู้นำในการเรียกร้องเอกราชจากออสเตรเลีย และทำให้ปาปัวนิวกินีได้รับเอกราชในปี 2518 (ค.ศ. 1975)

การเมือง

เจมส์ มาแรป นายรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

ระบบรัฐสภาเป็นแบบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาเดียว[23] เรียกว่า “รัฐสภาแห่งชาติ” (National Parliament) ปัจจุบันมีสมาชิก 109 คน โดย 89 คนมาจากการเลือกตั้งทั่วไป (open electorates) และที่เหลืออีก 20 คน มาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด (provincial electorates) วาระ 5 ปี

รูปแบบการปกครอง แบ่งเป็น 3 ระดับคือ ระดับชาติ (National) ระดับจังหวัด (Provincial) และระดับท้องถิ่น (Local) รัฐบาลท้องถิ่น (Provincial Government) ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง โดยรัฐบาลกลางจะแทรกแซงกิจการด้านการบริหาร การคลัง และอื่น ๆ เนื่องจากรัฐบาลท้องถิ่น ส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมที่จะดำเนินการโดยอิสระ[24]

ภูมิศาสตร์

แผนที่ปาปัวนิวกินี

ด้วยขนาด 462,840 ตารางกิโลเมตร (178,704 ตารางไมล์) ทำให้ปาปัวนิวกินีเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 54 ของโลก และประเทศที่เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3[12] ตั้งอยู่ทิศเหนือของประเทศออสเตรเลีย ทิศตะวันตกติดกับประเทศอินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินีมีลักษณะภูมิศาสตร์เป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ และมีภูเขาและภูเขาไฟจำนวนมาก พื้นที่ราบเป็นป่าดิบชื้น และทุ่งหญ้าสะวันนา พืชสำคัญคือ มะพร้าว ปาล์ม และเตย

เศรษฐกิจประเทศ

ปาปัวนิวกินีเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ ทรัพยากรทางทะเล ทองคำ ทองแดง น้ำมันดิบ แก๊สธรรมชาติ รายได้หลักของประเทศขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมการประมง เหมืองทองแดง เหมืองทองคำ และการท่องเที่ยว ส่วนด้านเกษตรกรรม ส่วนใหญ่เป็นการเพาะปลูกกาแฟ โกโก้ และมะพร้าว ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศสิงคโปร์ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศนิวซีแลนด์ สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ทองคำ น้ำมันดิบ กาแฟ ทองแดง ซุง กาแฟ และสัตว์ทะเล ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ น้ำมัน เครื่องจักรและอุปกรณ์การขนส่ง ส่วนประกอบรถยนต์ อาหาร และเชื้อเพลิง

รัฐบาลควบคุมสถานะการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ อัตราเงินเฟ้อต่ำ อัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพ เศรษฐกิจได้รับผลดีจากผลผลิตเหมืองแร่ที่เพิ่มขึ้น และราคาสินค้าส่งออกเพิ่มสูงขึ้นได้แก่ ทอง น้ำมันดิบ ทองแท่ง เป็นผลให้การส่งออกในช่วงไตรมาสของปีขยายตัวร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่าในปีนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลและเศรษฐกิจโดยรวมจะเติบโตในทิศทางที่ดี อย่างไรก็ตาม ในเดือน มี.ค. 2549 UN ได้เสนอปรับสถานะการพัฒนาของปาปัวนิวกินีจากประเทศกำลังพัฒนาเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) ซึ่ง นรม. Sir Michael ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว

รัฐบาลพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ขยายการส่งออก (Export-led economy) แสวงหาความร่วมมือกับประเทศในเอเชีย (look north) และมีบทบาทนำในกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก (Work Pacific) การลงนามความตกลงทางการค้ากับนิวซีแลนด์เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 ทำให้ปาปัวนิวกินีส่งออกสินค้าเกษตร เช่น มะพร้าว เผือก ขิง ไปยังตลาดนิวซีแลนด์ นอกจากนี้ ปาปัวนิวกินียังได้รับโควตาการส่งออกปลาทูน่าไปยังตลาด EU เพิ่มขึ้น ในการประชุมรัฐมนตรีการค้าของเอเปกครั้งที่ 12 ปาปัวนิวกินีตอบรับที่จะยกเลิกการอุดหนุนสินค้าส่งออกทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2556

ประชากร

ผู้อยู่อาศัยในโบกา-โบกา หมู่บ้านบนชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของแผ่นดินใหญ่ ปาปัวนิวกินี

ปาปัวนิวกินี ประกอบด้วยชนหลายเผ่าพันธุ์ เช่น ชาวเมลานีเชีย ปาปัว เนกริด ไมโครนีเชีย และพอลินีเชีย

มีภาษาทางการเป็นภาษาอังกฤษ เนื่องจากเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ แต่มีคนพูดได้น้อย ส่วนมากจะพูดตอกปีซินซึ่งเป็นภาษาครีโอล แต่อย่างไรก็ตาม ประชากรประเทศนี้มีประมาณ 5 ล้านคน และมีภาษามากกว่า 800 ภาษา

ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นหลัก แต่ก็มีลัทธิศาสนาตามความเชื่ออื่น ๆ อีกมากมาย

อายุขัยเฉลี่ยในปาปัวนิวกินีคือ 64 ปีสำหรับผู้ชาย และ 68 ปีสำหรับผู้หญิง[25] การใช้จ่ายของรัฐบาลในด้านสุขภาพในปี 2014 คิดเป็น 9.5% ของการใช้จ่ายทั้งหมด มีแพทย์ห้าคนต่อประชากร 100,000 คนในช่วงต้นทศวรรษ 2000 อัตราการตายของมารดาในปี 2010 ต่อการเกิด 100,000 คนในปาปัวนิวกินีคือ 250 เมื่อเปรียบเทียบกับ 311.9 ในปี 2551 และ 476.3 ในปี 2533 อัตราการเสียชีวิตอายุต่ำกว่า 5 ปี ต่อการเกิด 1,000 คนคือ 69

ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศขาดโอกาสทางการศึกษา[26] และเป็นประเทศที่มีอัตราการรู้หนังสือต่ำเป็นอันดับต้น ๆ

วัฒนธรรม

ประเทศปาปัวนิวกินีประกอบไปด้วยชนเผ่าเป็นจำนวนมาก มีภาษากว่า 800 ภาษาทำให้มีสังคมแบบชนเผ่าอย่างมากในประเทศ ทำให้มีประเพณีที่แตกต่างกันถึง 200 ประเพณี เช่น เหล่าชาวบ้านชนเผ่าซิมบูรวมตัวกันแปลงร่างเป็นมนุษย์โคลน มาร่วมงานเทศกาลแสดงวัฒนธรรมประจำปี ครั้งที่ 46 ในเมืองเมาท์ ฮาเกน งานนี้เป็นการรวมตัวของชนเผ่าในประเทศปาปัวนิวกินีทั้งหมด ที่จะนำเอกลักษณ์และความโดดเด่นเฉพาะตัวมาแสดงแลกเปลี่ยนกัน ถือว่าเป็นงานรวมความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากที่สุดงานหนึ่งของโลก

อาหารของปาปัวนิวกินีเป็นอาหารที่หลากหลายแบบดั้งเดิมที่พบในภาคตะวันออกของเกาะนิวกินี ประชากรประมาณ 80% พึ่งพาการเกษตรแบบยังชีพดังนั้น พลังงานอาหารและโปรตีนที่บริโภคในปาปัวนิวกินีมีการผลิตในท้องถิ่นในขณะที่มีการนำเข้าที่สมดุล อาหารหลักในปาปัวนิวกินีรวมถึงพืชรากกล้วยและสาคู และอาหารทะเลโดยเฉพาะปลาดิบ

การคมนาคม

การคมนาคมในประเทศปาปัวนิวกินีถูกจำกัดอย่างมากด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขา การเดินทางด้วยเครื่องบินจึงเป็นการเดินทางที่สำคัญในปาปัวนิวกินี เมืองหลวงพอร์ตมอร์สบีไม่มีถนนเชื่อมต่อถึงเมืองใหญ่อื่นๆ และหลายหมู่บ้านบนภูเขาสามารถเดินทางไปได้ด้วยเครื่องบินเล็กหรือเดินเท้าเท่านั้น

ท่าอากาศยานนานาชาติแจ็คสันส์เป็นท่าอากาศยานหลักของปาปัวนิวกินี อยู่ห่างจากพอร์ตมอร์สบี 8 กิโลเมตร ประเทศปาปัวนิวกินีมีสนามบิน 561 สนามบิน โดยมีเพียง 21 สนามบินที่ลาดยาง[3]

ประเทศปาปัวนิวกินีมีถนนทั้งหมด 9,349 กิโลเมตรโดยมากกว่าครึ่งไม่ได้ลาดยาง[3] ทางหลวงที่ยาวที่สุดในปาปัวนิวกินียาว 700 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างเมือง Lae ที่ชายฝั่งกับเมือง Tari บนภูเขา

ท่าเรือหลักของประเทศอยู่เมืองพอร์ตมอร์สบี และ Lae

อ้างอิง

  1. Somare, Michael (6 December 2004). "Stable Government, Investment Initiatives, and Economic Growth". Keynote address to the 8th Papua New Guinea Mining and Petroleum Conference. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 June 2006. สืบค้นเมื่อ 9 August 2007.
  2. "Never more to rise". The National. 6 February 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 July 2007. สืบค้นเมื่อ 19 January 2005.
  3. 3.0 3.1 3.2 "Papua New Guinea". The World Factbook. Langley, Virginia: Central Intelligence Agency. 2019. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-05-16. สืบค้นเมื่อ 9 April 2019.
  4. "Sign language becomes an official language in PNG". Radio New Zealand. 21 May 2015.
  5. 5.0 5.1 Papua New Guinea, Ethnologue
  6. Koloma. Kele, Roko. Hajily. "PAPUA NEW GUINEA 2011 NATIONAL REPORT-NATIONAL STATISTICAL OFFICE". sdd.spc.int.
  7. "Archived copy". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 September 2015. สืบค้นเมื่อ 16 December 2019.{{cite web}}: CS1 maint: archived copy as title (ลิงก์)
  8. 8.0 8.1 8.2 8.3 "World Economic Outlook Database, October 2018". IMF.org. International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 23 February 2019.
  9. "GINI index (World Bank estimate)". data.worldbank.org. World Bank. สืบค้นเมื่อ 23 February 2019.
  10. Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
  11. "Constitution of the Independent State of Papua New Guinea" (PDF).
  12. 12.0 12.1 "Island Countries of the World". WorldAtlas.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 December 2017. สืบค้นเมื่อ 10 August 2019.
  13. "Papua New Guinea keen to join ASEAN | The Brunei Times". 7 March 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 March 2016.
  14. "Urban population (% of total population) - Papua New Guinea | Data". data.worldbank.org. สืบค้นเมื่อ 19 July 2020.
  15. James, Paul; Nadarajah, Yaso; Haive, Karen; Stead, Victoria (2012). Sustainable Communities, Sustainable Development: Other Paths for Papua New Guinea. Honolulu: University of Hawaii Press.
  16. Gelineau, Kristen (26 March 2009). "Spiders and frogs identified among 50 new species". The Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 May 2022. สืบค้นเมื่อ 26 March 2009.
  17. World Economic Outlook Database, October 2015, International Monetary Fund. Database updated on 6 October 2015. Accessed on 6 October 2015.
  18. World Bank. 2010. World Development Indicators. Washington DC.
  19. "About Us – Forum Sec".
  20. "Profile: The Commonwealth". 1 February 2012 – โดยทาง news.bbc.co.uk.
  21. Pickell, David & Müller, Kal (2002). Between the Tides: A Fascinating Journey among the Kamoro of New Guinea. Tuttle Publishing. p. 153. ISBN 978-0-7946-0072-3.
  22. O’Connell, J. F., and J. Allen. "Pre-LGM Sahul (Australia-New Guinea) and the archaeology of early modern humans," Rethinking the human revolution: new behavioural and biological perspectives on the origin and dispersal of modern humans (2007): 395–410.
  23. Hydrant (http://www.hydrant.co.uk), Site designed and built by. "Papua New Guinea : Constitution and politics". The Commonwealth (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-01-15. สืบค้นเมื่อ 2021-10-05.
  24. "Papua New Guinea - Government and society". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ).
  25. "Papua New Guinea Country Overview | World Health Organization". www.who.int (ภาษาอังกฤษ).
  26. "Human Development Report 2007/2008 - Papua New Guinea". web.archive.org. 2009-04-29. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-29. สืบค้นเมื่อ 2021-10-05.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)

ข้อมูล

 บทความนี้รวมข้อความจากงานที่มีเนื้อหาเสรี (free content) ลิขสิทธิ์ภายใต้ CC BY-SA IGO 3.0 ข้อความนำมาจาก UNESCO Science Report: towards 2030, 535–555, UNESCO, UNESCO Publishing.

อ่านเพิ่ม

  • Biskup, Peter, B. Jinks and H. Nelson. A Short History of New Guinea (1970)
  • Connell, John. Papua New Guinea: The Struggle for Development (1997) online เก็บถาวร 2019-07-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  • Dorney, Sean. Papua New Guinea: People, Politics and History since 1975 (1990)
  • Dorney, Sean. The Sandline Affair: Politics and Mercenaries and the Bougainville Crisis (1998)
  • Dorney, Sean. The Embarrassed Colonialist (2016)
  • Gash, Noel. A Pictorial History of New Guinea (1975)
  • Golson, Jack. 50,000 years of New Guinea history (1966)
  • Griffin, James. Papua New Guinea: A political history (1979)
  • James, Paul; Nadarajah, Yaso; Haive, Karen; Stead, Victoria (2012). Sustainable Communities, Sustainable Development: Other Paths for Papua New Guinea. Honolulu: University of Hawaii Press.
  • Institute of National Affairs. PNG at 40 Symposium: Learning from the Past and Engaging with the Future (2015)
  • Knauft, Bruce M. South Coast New Guinea Cultures: History, Comparison, Dialectic (1993) excerpt and text search
  • McCosker, Anne. Masked Eden: A History of the Australians in New Guinea (1998)
  • Mckinnon, Rowan, et al. Papua New Guinea & Solomon Islands (Country Travel Guide) (2008) excerpt and text search
  • Rynkiewich, Michael and Roland Seib eds. Politics in Papua New Guinea. Continuities, Changes and Challenges (2000)
  • Swadling, Pamela (1996). Plumes from Paradise. Papua New Guinea National Museum. ISBN 978-9980-85-103-1.
  • Waiko. John. Short History of Papua New Guinea (1993)
  • Waiko, John Dademo. Papua New Guinea: A History of Our Times (2003)
  • Zimmer-Tamakoshi, Laura. Modern Papua New Guinea (1998) online เก็บถาวร 2019-07-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน

ข้อมูลปฐมภูมิ

แหล่งข้อมูลอื่น

รัฐบาล

ข้อมูลทั่วไป

Kembali kehalaman sebelumnya