ประเทศชิลี
ชิลี[10] หรือ ชิเล[10] (อังกฤษและสเปน: Chile, เสียงอ่านภาษาสเปน: [ˈtʃile]) มีชื่อทางการว่า สาธารณรัฐชิลี หรือ สาธารณรัฐชิเล (อังกฤษ: Republic of Chile; สเปน: República de Chile) เป็นประเทศทางส่วนตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ ครอบคลุมดินแดนยาวและแคบซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาแอนดีสทางทิศตะวันออกกับมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันตก ชิลีมีเนื้อที่ 756,096 ตารางกิโลเมตร (291,930 ตารางไมล์) และมีประชากร 17.5 ล้านคนใน ค.ศ. 2017[6] ชิลีเป็นประเทศที่อยู่ทางใต้สุดของโลก อยู่ใกล้ทวีปแอนตาร์กติกามากที่สุด และมีอาณาเขตจรดประเทศเปรูทางทิศเหนือ จรดประเทศโบลิเวียทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จรดประเทศอาร์เจนตินาทางทิศตะวันออก และจรดช่องแคบเดรกทางทิศใต้สุด ชิลียังควบคุมหมู่เกาะฆวนเฟร์นันเดซ เกาะซาลัสอีโกเมซ หมู่เกาะเดสเบนตูราดัส และเกาะอีสเตอร์ในมหาสมุทรแปซิฟิก นอกจากนี้ยังอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ประมาณ 1,250,000 ตารางกิโลเมตร (480,000 ตารางไมล์) ของทวีปแอนตาร์กติกาในนามชิเลียนแอนตาร์กติกเทร์ริทอรี เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศคือกรุงซันติอาโก และภาษาประจำชาติคือภาษาสเปน จักรวรรดิสเปนเข้าพิชิตดินแดนและตั้งอาณานิคมในภูมิภาคนี้แทนที่จักรวรรดิอินคาในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่ไม่สามารถเอาชนะชาวมาปูเชซึ่งเป็นชนพื้นเมืองอิสระในบริเวณตอนกลาง-ใต้ของชิลีในปัจจุบันได้ ใน ค.ศ. 1818 หลังจากประกาศเอกราชจากสเปน ชิลีก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1830 ในฐานะสาธารณรัฐอำนาจนิยมที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชิลีมีการเติบโตทางเศรษฐกิจและดินแดนอย่างมีนัยสำคัญ โดยยุติการต่อต้านของชาวมาปูเชในคริสต์ทศวรรษ 1880 และได้รับดินแดนทางเหนือเพิ่มเติมหลังจากเอาชนะเปรูและโบลิเวียในสงครามมหาสมุทรแปซิฟิก (ค.ศ. 1879–1826) เมื่อล่วงเข้าคริสต์ศตวรรษที่ 20 มาจนถึงคริสต์ทศวรรษ 1970 ชิลีมีกระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตย[11][12] การเพิ่มประชากรและการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว[13] และการพึ่งพิงการส่งออกจากการทำเหมืองทองแดงเพื่อเศรษฐกิจมากขึ้น[14][15] ในคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 ประเทศประสบปัญหาการแบ่งขั้วและความวุ่นวายทางการเมืองอย่างหนัก สถานการณ์นี้ลงเอยด้วยรัฐประหารใน ค.ศ. 1973 ซึ่งโค่นล้มรัฐบาลฝ่ายซ้ายที่ได้รับเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยของซัลบาดอร์ อาเยนเด และสถาปนาระบอบเผด็จการทหารฝ่ายขวาของเอากุสโต ปิโนเช ซึ่งกินเวลานาน 16 ปี และทำให้มีผู้เสียชีวิตหรือสูญหายมากกว่า 3,000 คน[16] ระบอบปิโนเชสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1990 ซึ่งเป็นผลจากการลงประชามติใน ค.ศ. 1988 กลุ่มพันธมิตรการเมืองสายกลาง-ซ้ายปกครองประเทศต่อมาจนถึง ค.ศ. 2010 ชิลีเป็นประเทศกำลังพัฒนา[17] ที่มีเศรษฐกิจรายได้สูงและติดอันดับสูงมากในดัชนีการพัฒนามนุษย์ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมมากที่สุดในอเมริกาใต้ โดยเป็นผู้นำของลาตินอเมริกาในการจัดอันดับด้านความสามารถในการแข่งขัน รายได้ต่อหัว โลกาภิวัตน์ สถานะสันติภาพ เสรีภาพทางเศรษฐกิจ และภาพลักษณ์คอร์รัปชันต่ำ[18] ชิลียังติดอันดับสูงในระดับภูมิภาคในด้านความยั่งยืนของรัฐ การพัฒนาประชาธิปไตย[19] และมีอัตราฆาตกรรมต่ำที่สุดในทวีปอเมริการองจากประเทศแคนาดา ประเทศนี้ยังเป็นสมาชิกก่อตั้งของสหประชาชาติ ประชาคมรัฐลาตินอเมริกาและแคริบเบียน และพันธมิตรแปซิฟิก และเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจใน ค.ศ. 2010 ประวัติศาสตร์บริเวณประเทศชิลีมีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่เมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว[20] โดยผู้ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานคือชาวมาปูเชซึ่งตั้งถิ่นฐานในบริเวณชายฝั่งและบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณมอนเตเบร์เด (Monte Verde) และกูเอบาเดลมิโลดอน (Cueva Del Milodon) ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สเปนภายใต้การนำของเปโดร เด บัลดิเบีย หนึ่งในกองกิสตาดอร์เข้ามาพิชิตชิลี แม้ว่าจะได้รับการต่อต้านจากชาวมาปูเชแต่ก็สามารถยึดชิลีได้เป็นผลสำเร็จและนำชิลีรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิสเปน อย่างไรก็ตามชัยชนะของสเปนในครั้งนี้ทำให้สเปนสามารถยึดได้เฉพาะดินแดนแถบเมืองซันติอาโกและบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น เพราะบริเวณอื่นกองทัพสเปนยังไม่สามารถเอาชนะกองทัพของชาวมาปูเชที่เหลือได้ ซึ่งสเปนพยายามปราบปรามหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนในที่สุดต้องใช้แม่น้ำบิโอบิโอเป็นตัวแบ่งเขตแดน ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โฆเซ มิเกล การ์เรรา ได้ประกาศให้ชิลีเป็นเอกราชจากสเปน แม้ว่าสเปนจะพยายามเข้ามาปราบปรามและยึดครองชิลีอีกครั้ง แต่การยึดครองก็เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น จนในที่สุดชิลีสามารถขับไล่อิทธิพลของสเปนและได้เอกราชจากสเปนโดยสมบูรณ์ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1818 หลังจากได้เอกราชจากสเปนแล้ว รัฐบาลชิลีใช้ความพยายามอย่างสูงในการยึดครองดินแดนของชาวมาปูเชจนสามารถยึดดินแดนได้โดยเด็ดขาดใน ค.ศ. 1871 และขยายอาณาเขตทางทิศใต้จนครอบคลุมถึงบริเวณช่องแคบมาเจลลัน นอกจากนี้แล้ว รัฐบาลชิลีได้ทำสงครามมหาสมุทรแปซิฟิกกับประเทศโบลิเวียและเปรูจนได้รับชัยชนะ ทำให้สามารถขยายดินแดนทางตอนเหนือ ดินแดนที่ได้มาจากทั้งสองเหตุการณ์กลายเป็นดินแดนของประเทศชิลีในปัจจุบัน[21] การเมืองการปกครองชิลีปกครองในรูปแบบสาธารณรัฐแบบประธานาธิบดี มีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร รัฐธรรมนูญของชิลีฉบับปัจจุบันผ่านการลงประชามติใน ค.ศ. 1980 สมัยรัฐบาลทหารของเอากุสโต ปิโนเช และเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1981 จากนั้นได้ผ่านการแก้ไขหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นใน ค.ศ. 2010 ฝ่ายบริหารประธานาธิบดีเป็นทั้งประมุขของรัฐและหัวหน้าคณะรัฐบาล รวมถึงเป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งในระบบคะแนนนิยม วาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี (ไม่กำหนดวาระ สามารถดำรงตำแหน่งได้หากได้รับการเลือกตั้งต่อไป) ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศความสัมพันธ์กับประเทศไทยชิลีกับไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1962 โดยชิลีมีสถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยที่กรุงเทพมหานคร และไทยมีสถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศชิลี ณ กรุงซันติอาโก โดยประเทศไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของชิลีในกลุ่มประเทศอาเซียน และประเทศชิลีเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทยในภูมิภาคลาตินอเมริกา[22] ใน ค.ศ. 2018 มีนักท่องเที่ยวชาวชิลีเดินทางมาประเทศไทยจำนวน 23,033 คน[23] การแบ่งเขตการปกครองชิลีแบ่งเขตการปกครองออกเป็นแคว้น (región) 15 แคว้น แต่ละแคว้นมีผู้ว่าการแคว้น (intendente) ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี แคว้นต่าง ๆ มีชื่อทางการทั้งเป็นชื่อเรียกและตัวเลขโรมัน (เช่น IV - เขตที่ 4) ลำดับตัวเลขเรียงตามที่ตั้งของแคว้นต่าง ๆ ตั้งแต่ทางตอนเหนือลงมาทางตอนใต้ ซึ่งโดยทั่วไป ตัวเลขโรมันจะถูกใช้มากกว่าชื่อของแคว้น ยกเว้นแคว้นอันเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงซึ่งเรียกว่า แคว้นมหานครซันติอาโก (Región Metropolitana de Santiago หรือ RM) แต่ละแคว้นแบ่งออกเป็นจังหวัด (provincia) รวม 51 จังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัด (gobernador) เป็นหัวหน้า โดยแต่ละจังหวัดก็ยังแบ่งพื้นที่ย่อยลงไปอีกเป็นเทศบาล (comuna) แต่ละแห่งมีนายกเทศมนตรี (alcalde) เป็นของตนเอง ผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี ขณะที่นายกเทศมนตรีได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|