Share to:

 

สายธรรมกาย

สายธรรมกาย
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ล่วงลับ ได้ใช้กระดานดำนี้ในการสอนเรื่องฐานทั้ง 7 ของจิต ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเข้าถึงวิธีปฏิบัติธรรมแบบธรรมกาย
ประเภทสายของพุทธศาสนา
นิกายเถรวาท, มหานิกาย
ก่อตั้งประมาณปี พ.ศ. 2459; ประเทศไทย
ผู้ก่อตั้งพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
คำสอนวิชชาธรรมกาย
วัดสำคัญวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
วัดพระธรรมกาย
วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
บุคคลสำคัญพระไชยบูลย์ ธมฺมชโย
พระเผด็จ ทตฺตชีโว
พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
จันทร์ ขนนกยูง

สายธรรมกาย หรือ ขบวนการธรรมกาย (อังกฤษ: Dhammakaya tradition หรือ Dhammakaya movement) เป็นสายของชาวไทยพุทธที่ก่อตั้งโดยพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 สายนี้มีความเกี่ยวข้องกับวัดหลายแห่งที่สืบสายมาจากวัดปากน้ำ ภาษีเจริญในกรุงเทพมหานคร

สายนี้แตกต่างจากสายพุทธศาสนาอื่น ๆ ของไทยตรงที่คำสอนเกี่ยวกับหลัก ธรรมกาย ของพุทธศาสนาและการปฏิบัติสมาธิ (วิชชาธรรมกาย) ซึ่งเป็นวิธีการที่นักวิชาการเชื่อมโยงเข้ากับสายโยคาวจรซึ่งมีก่อนการปฏิรูปพุทธศาสนาของไทยในคริสต์ศตวรรษที่ 19 สายธรรมกายเป็นที่รู้จักจากคำสอนที่ว่ามี "อัตตา" เชื่อมโยงกับนิพพาน ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 ว่าขัดแย้งกับหลักคำสอนของพุทธศาสนาเรื่องอนัตตา (อนาตมัน)

สายธรรมกายได้รับการมองจากผู้นับถือ ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่ริเริ่มโดยพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาได้อธิบายถึงลักษณะบางประการของการปฏิบัติธรรมว่ามีลักษณะเหมือนการแก้ต่างทางศาสนาและความเป็นพุทธสมัยใหม่ ลักษณะของสายนี้ได้แก่ การสอนสมาธิเป็นกลุ่ม การสอนสมาธิพร้อมกันแก่พระภิกษุและฆราวาส และการเน้นย้ำถึงการบวชตลอดชีวิต

การตั้งชื่อ

สายธรรมกาย หมายถึง สายทางพุทธศาสนาสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ยึดตามคำสอนของโยคาวจรที่เก่าแก่กว่า เช่น คำสอนของนิกายเถรวาทตันตระ ซึ่งรอดพ้นจากการปฏิรูปศาสนาพุทธของไทยในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 ธรรมกาย หมายถึง "กายธรรม" ซึ่งหมายถึง "ธรรมชาติของพระพุทธเจ้าภายใน"[1] ซึ่งผู้ปฏิบัติมุ่งหวังที่จะบรรลุผลผ่านการทำสมาธิ

ตามที่นักมานุษยวิทยาและนักวิชาการด้านการศึกษาเอเชีย เอ็ดวิน เซห์เนอร์ กล่าวไว้ว่า คำว่า ธรรมกาย มีความหมายตามบริบท 4 ประการ แม้ว่าทั้ง 4 ประการจะ "เขียนและออกเสียงเหมือนกันทุกประการ" ก็ตาม[2]

  • ความหมายแรก หมายถึง หลักคำสอนเรื่อง “กายธรรม” ตามที่มีอยู่ในคัมภีร์บาลีและสันสกฤต
  • ประการที่สอง หมายความถึง “กายธรรมภายใน” ซึ่งเป็นเป้าหมายของผู้ปฏิบัติธรรมสมาธิ
  • ประการที่สาม หมายถึง ศูนย์ปฏิบัติธรรมและครูบาอาจารย์ที่สอนปฏิบัติธรรมแบบธรรมกายในประเทศไทย
  • ประการที่สี่ หมายถึง วัดพระธรรมกายและวัดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในสายธรรมกาย[2]

เซห์เนอร์กล่าวว่า คำว่า ธรรมกาย มีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับแนวคิดเรื่อง ธรรมกาย (แก่นแท้ทางจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้า) ของพระพุทธศาสนามหายาน และคำนี้ปรากฏในคัมภีร์บาลีและสันสกฤตยุคแรก ๆ หลายฉบับ[3] ซึ่งความหมายในช่วงแรกคือ "การรวบรวมธรรม"[4] อย่างไรก็ตาม เซห์เนอร์กล่าวว่าแนวคิดเรื่อง "ธรรมกาย" ของสายธรรมกายนั้นแตกต่างไปจากคำจำกัดความที่พบในพจนานุกรมบาลี-อังกฤษของสมาคมบาลีปกรณ์[5]

นักวิชาการไม่เห็นด้วยกับชื่อของสายธรรมกาย นักวิชาการบางคนใช้คำว่า สายธรรมกาย ในขณะที่บางคนใช้คำว่าวัดธรรมกาย (Dhammakaya temples) หรือ ขบวนการธรรมกาย (Dhammakaya Movement)[6][7][8] นิวเวลล์ระบุว่า คำว่า ขบวนการธรรมกาย ถูกนักวิชาการหลายคนใช้อย่างสับสน นักวิชาการบางคนใช้คำว่า ขบวนการธรรมกาย แทนคำว่า วัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในสายนี้ เธอคิดว่านี่เป็นปัญหาเพราะมีการใช้คำศัพท์นี้ "โดยไม่แยกแยะระหว่างวัดต่าง ๆ ที่ปฏิบัติวิชชาธรรมกายกับวัดธรรมกายเอง (Wat Dhammakaya) ... มีความแตกต่างอย่างมากในรูปแบบ การปฏิบัติ และโครงสร้างของวัดทั้งหมด"[6] เธอชอบใช้คำว่า วัดธรรมกาย (Dhammakaya temples) มากกว่า[7]

จัสติน แม็กดาเนียล นักวิชาการด้านศาสนาได้อ้างถึงเรื่องนี้ แต่เขายังคงใช้คำว่า ขบวนการธรรมกาย โดยไม่แยกแยะระหว่างวัดต่าง ๆ กับวัดพระธรรมกาย[9][6] ในทางกลับกัน นักวิชาการด้านพุทธศาสนา เคท ครอสบี้ และพิบูลย์ ชุมพลไพศาล พูดถึง "เครือข่าย" ของวัดธรรมกาย (Dhammakaya temples)[10][11]

ประวัติ

ต้นกำเนิดโยคาวจร

นักวิชาการได้ตั้งทฤษฎีว่าสายธรรมกายมีรากฐานมาจากสายโยคาวจร (หรือที่เรียกว่าเถรวาทตันตระ; อย่าสับสนกับนิกายโยคาจาร ในพระพุทธศาสนามหายาน) [12][13][14] ซึ่งเจริญรุ่งเรืองในยุคก่อนสมัยใหม่ก่อนอาณานิคม บรรพบุรุษนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับวัดราชสิทธารามราชวรวิหาร[10] อดีตที่ประทับของสมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร) (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19) ซึ่งเป็น "ทายาทคำสอนของพระอาจารย์สมาธิแห่งอยุธยา"[15][note 1] และวัดที่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) เคยฝึกปฏิบัติก่อนที่จะพัฒนาและค้นพบวิชชาธรรมกาย[16][10]

ตามคำกล่าวของนักเทววิทยา รอรี่ แม็คเคนซี่ แนวคิดของโยคาวจร มีแนวโน้มที่จะมีอิทธิพลต่อระบบการทำสมาธิแบบธรรมกายมากที่สุด แม้ว่าจะยังไม่มีการพิสูจน์อย่างชัดเจนก็ตาม[17] ตามที่แคทเธอรีน นิวเวลล์ นักวิชาการด้านการศึกษาด้านพุทธศาสนากล่าวว่า "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวิชชาธรรมกายนั้นมีพื้นฐานมาจากสายโยคาวจรที่กว้างขึ้น" เธอได้นำเสนอหลักฐานที่แสดงถึงการยืมระบบธรรมกายของพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) มาจากระบบการทำสมาธิของสมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร) [12] เธอและนายพิบูลย์ ชุมพลไพศาล นักวิชาการด้านการศึกษาด้านเอเชียเชื่อว่าต้นกำเนิดของโยคาวจรนั้นมีความเป็นไปได้มากที่สุด[12][18] หากเป็นเช่นนั้น วิธีการทำสมาธิของสายนี้จะเป็นเวอร์ชันภายนอก (ที่สอนอย่างเปิดเผย) ของสิ่งที่แต่เดิมเป็นสายลึกลับ[19]

ทฤษฎีทางเลือกชี้ให้เห็นถึงต้นกำเนิดของพุทธศาสนานิกายมหายานแบบทิเบตหรือนิกายอื่น ๆ[20][21] ตามที่แม็คเคนซีกล่าว เป็นไปได้แต่อาจจะไม่ใช่ที่ผู้ที่รู้จักวิธีการทำสมาธิแบบทิเบตจะได้พบและแบ่งปันความรู้กับพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษปี 1910[17] แม็คเคนซีกล่าวว่าทั้งสองระบบมีความคล้ายคลึงกัน รวมถึงแนวคิดต่าง ๆ เช่น จักระ (ศูนย์รวมทางจิตและกายแบบตันตระ) "ทรงกลมคริสตัล" (ดวงแก้ว) และวัชระ[17] แม้ว่าความเหมือนกันเหล่านี้จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แต่ยังไม่มีหลักฐานใด ๆ ปรากฏว่าแนวทางปฏิบัติของพุทธศาสนานิกายทิเบตผสมผสานเข้ากับระบบธรรมกาย แนวคิดของโยคาวจรมีแนวโน้มสูงสุดที่จะมีอิทธิพลต่อระบบของวิชชาธรรมกาย แต่ก็ยังไม่มีการพิสูจน์เช่นกัน แม็คเคนซีกล่าว[17] ขณะที่นิวเวลล์ยอมรับว่าครอสบียังคงสงสัยในความเชื่อมโยงนี้เนื่องจากระบบทั้งสองใช้คำศัพท์ที่แตกต่างกัน[22]

ขณะที่มีความเป็นไปได้อีกทางหนึ่ง ที่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พัฒนาแนวทางของตนเองขึ้นจากประสบการณ์ทางจิตของท่านเอง[17]

พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)

สายนี้เริ่มต้นโดยพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ในปี พ.ศ. 2459 หลังจากนั่งสมาธิด้วยการภาวนาว่า สัมมา อะระหัง[note 2] เป็นเวลา 3 ชั่วโมง สิ่งพิมพ์ของมูลนิธิธรรมกายระบุว่า "จิตของท่าน [จู่ ๆ] ก็สงบนิ่งและตั้งมั่นอยู่ที่ศูนย์กลางกาย" และท่านสัมผัสได้ถึง "ทรงกลมแห่งธรรมที่สว่างไสวและเปล่งประกายที่ศูนย์กลางกายของเขา ตามด้วยทรงกลมใหม่ ซึ่งแต่ละทรงกลมนั้น "สว่างไสวและชัดเจนยิ่งขึ้น"[23] ตามที่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) กล่าวไว้ นี่คือกายธรรมที่แท้จริง หรือธรรมกาย "แก่นแท้ทางจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้าและนิพพาน [ซึ่ง] มีอยู่จริงในร่างกายมนุษย์"[23][25][26] และอัตตา (ตรงข้ามกับอนัตตา) [27][note 3] ตามที่แม็กเคนซีกล่าว "หลวงพ่อสดพยายามเชื่อมโยงความก้าวหน้าของท่านเข้ากับมหาสติปัฏฐานสูตร" ท่านตีความวลีที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า ‘พิจารณากายเป็นกาย’ ว่าเป็นการพิจารณากายในร่างกาย” พระมงคลเทพมุนีกล่าวไว้ว่า การทำสมาธิสามารถเปิดเผย “ร่างกายทางโลกและทางวิญญาณอันวิจิตรบรรจงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ” ภายในร่างกายของบุคคลได้[23]

พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) มีความเชื่อว่าได้บรรลุแก่นแท้ของคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงอุทิศชีวิตที่เหลือให้กับการสอนและส่งเสริมความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการทำสมาธิแบบธรรมกาย ซึ่งเป็นวิธีการทำสมาธิที่ท่านเรียกว่า "วิชชาธรรมกาย" หรือ "ความรู้โดยตรงเกี่ยวกับธรรมกาย" วัดในสายวัดปาก น้ำภาษีเจริญ ซึ่งเรียกรวมกันว่าสายธรรมกาย เชื่อว่าวิธีนี้เป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงใช้แต่เดิมเพื่อตรัสรู้ แต่ได้สูญหายไปห้าร้อยปีหลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน[29][25] การค้นพบเทคนิคธรรมกายอีกครั้งนั้นมักอธิบายโดยสายธรรมกายด้วยถ้อยคำที่น่าอัศจรรย์ด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น มีการกล่าวถึงว่าฝนตกหนักช่วยทำให้วัดบริสุทธิ์ก่อนที่จะได้ค้นพบอีกครั้ง[30]

นักเรียนรุ่นแรก

หลังจากที่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้ค้นพบแนวทางปฏิบัติวิชชาธรรมกายแล้ว ก็ได้สอนวิชชาธรรมกายแก่ผู้อื่นเป็นครั้งแรกที่วัดบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม[31] ตั้งแต่ที่หลวงปู่สดได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปากน้ำเป็นครั้งแรก การปฏิบัติวิชชาธรรมกายกายก็มีความเกี่ยวข้องกับวัดนี้ ขณะที่วัดอื่น ๆ เช่น วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ก็มีรากฐานมาจากวัดปากน้ำเช่นกัน[32] วัดนี้สามารถดำรงอยู่ได้แม้จะมีแรงกดดันให้ปฏิรูปในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20[33][note 4]

วิชชาธรรมกายได้รับการสอนโดยลูกศิษย์ขอพระมงคลเทพมุนี ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ, วัดพระธรรมกาย, วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม และวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ตลอดจนที่วัดสาขาต่าง ๆ ของวัดเหล่านี้ นอกจากวัดสำคัญเหล่านี้แล้ว ยังมีศูนย์ปฏิบัติธรรมอื่น ๆ อีกหลายแห่งที่ปฏิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงปู่สด[36][37]

แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น

แม่ชี ทองสุข สำแดงปั้น (พ.ศ. 2443–2506) เป็นแม่ชีที่มีชื่อเสียงในด้านการสอนสมาธิ เธอเกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2443 ที่บ้านสะพานเหลือง เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรคนที่สามของบิดาชื่อรอมและมารดาชื่อวรรณ เธอแยกทางกับพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก และได้รับการอุปการะจากลุงและป้าแทน เธอไม่ได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการและเป็นคนไม่รู้หนังสือ เธอแต่งงานกับศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พวกเขามีลูกด้วยกันสองคนก่อนที่สามีของเธอจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร หลังจากนั้น เธอต้องเลี้ยงดูตัวเองและลูก ๆ ด้วยการทำงานเป็นพนักงานขาย[38]

ในปี พ.ศ. 2473 ทองสุขได้เริ่มศึกษาธรรมะที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ภายใต้การสั่งสอนของพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) โดยในขณะนั้นเป็นฆราวาสและต่อมาเป็นแม่ชี เธอได้สอนสมาธิให้กับผู้สนับสนุนวัดปากน้ำ ภาษีเจริญที่มีชื่อเสียง เช่น เลี้ยบ ศรีกาญจนนันท์ ที่บ้านของเลียบนั้น แม่ชีทองสุขได้พบกับจันทร์ ขนนกยูง ซึ่งเธอได้สอนวิชชาธรรมกาย หลังจากนั้นทั้งสองได้อยู่ที่วัดปากน้ำเป็นเวลาหนึ่งเดือน ทั้งสองก็ได้บวชเป็นแม่ชี แม่ชีทองสุขได้เดินทางไปทั่วประเทศไทยเพื่อเผยแผ่ธรรมะและสอนวิชชาธรรมกายตามนโยบายของหลวงปู่สด แม่ชีทองสุขได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกในปี พ.ศ. 2503 และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปากมดลูกเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ขณะนั้นเธอมีอายุ 63 ปี โดยเป็นแม่ชีมา 25 ปี[39]

แม่ชีจันทร์ ขนนกยูง

แม่ชีจันทร์ ขนนกยูง (พ.ศ. 2452–2543) เริ่มสนใจการทำสมาธิตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หลังจากที่เธอถูกพ่อขี้เมาของเธอสาปแช่ง หลังจากที่พ่อเสียชีวิต เธอต้องการคืนดีกับพ่อโดยการติดต่อกับพ่อในปรโลก ในปี พ.ศ. 2478 เธอเดินทางไปกรุงเทพมหานครเพื่อทำงานและหาทางพบกับหลวงปู่สด หลังจากที่เธอได้พบกับแม่ชีทองสุขและเรียนการทำสมาธิกับเธอ เธอได้บวชชีที่วัดปากน้ำ[40][41] ต่อมาเธอได้กลายเป็นลูกศิษย์สมาธิที่มีชื่อเสียงของหลวงปู่สด หลังจากหลวงปู่สดเสียชีวิต เธอได้กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสอนวิชชาธรรมกายให้กับพระไชยบูลย์ ธมฺมชโย (หลวงพ่อธัมมชโย) และพระเผด็จ ทตฺตชีโว (หลวงพ่อทัตตะชีโว) ซึ่งต่อมาเธอได้ก่อตั้งวัดพระธรรมกายร่วมกับทั้งสองรูป[42][43] ซึ่งหลวงพ่อธัมมชโยและหลวงพ่อทัตตะชีโว เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายในปัจจุบัน เป็นลูกศิษย์ของแม่ชีจันทร์ ขนนกยูง

ความเชื่อและการปฏิบัติ

วิชชาธรรมกาย

การทำสมาธิถือเป็นการปฏิบัติที่สำคัญที่สุดของวัดสำคัญทั้งหมดในสายธรรมกาย ระบบการทำสมาธิของสายธรรมกายทำให้แตกต่างจากพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทสายหลัก[44] ตามคำกล่าวของศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. สุวรรณา สถาอานันท์ สายธรรมกายเชื่อว่าการทำสมาธิและการบรรลุธรรมกายเป็นหนทางเดียวที่จะไปสู่พระนิพพาน[45] นอกจากนี้ เทคนิคนี้ยังอ้างว่าในขั้นสูงสามารถนำมาซึ่ง อภิญญา หรือ พลังจิต และช่วยให้ผู้ทำสมาธิสามารถเยี่ยมชมภพชาติในอดีตและภพอื่น ๆ ของโลกได้ ซึ่งจะสามารถส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ของชีวิตในปัจจุบันได้[46][47]

สิ่งสำคัญในกระบวนการนี้คือ “ศูนย์กลางของร่างกาย” ซึ่งหลวงปู่สดได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าอยู่ที่จุดเหนือสะดือของแต่ละคนประมาณสองนิ้วมือ ไม่ว่าใครจะใช้วิธีการทำสมาธิแบบใด จิตใจจะเข้าถึงระดับที่สูงกว่าได้ก็ต่อเมื่อผ่านศูนย์กลางนี้เท่านั้น เชื่อกันว่าศูนย์กลางนี้ยังมีบทบาทพื้นฐานในการเกิดและตายของบุคคลอีกด้วย[48] ศูนย์กลางของร่างกายยังได้รับการอธิบายว่าเป็น “ปลายลมหายใจ” ซึ่งเป็นจุดที่ลึกที่สุดในช่องท้องซึ่งเป็นจุดที่ลมหายใจไปมา[49]

ระยะสมถะ

มีเทคนิคหลายประการที่ผู้ปฏิบัติ สามารถใช้เพื่อมุ่งความสนใจไปที่ศูนย์กลางของร่างกาย[50][51][52]

ผู้ปฏิบัติอาจจินตนาการภาพจิตที่ศูนย์กลางกาย ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นดวงแก้วหรือพระพุทธรูปที่ใสสะอาด[53] ซึ่งเทียบได้กับการทำสมาธิกับวัตถุที่สว่างใน วิสุทธิมรรค[48][54] ผู้ปฏิบัติจะจินตนาการภาพนี้ต่อหน้าตนเอง จากนั้นจึงเคลื่อนภาพจิตเข้าด้านในผ่านฐานทั้ง 7 ของจิตจนถึงศูนย์กลาง เมื่อเอาชนะอุปสรรคทางจิตได้แล้ว ภาพที่จินตนาการไว้ก็จะเปลี่ยนไป[55]

ผู้ปฏิบัติธรรมอาจใช้บริกรรมภาวนา ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้คำว่า สัมมา-อะระหัง[56][54] ซึ่งหมายถึงพระพุทธเจ้าผู้บรรลุถึงความสมบูรณ์แบบ (สัมมา sammā) ในความหมายของพุทธศาสนา (อรหันต์ arahaṃ) [57][52] อย่างสมบูรณ์แบบ ดังที่พบในบทสวดสาย Tiratanavanda นี่คือรูปแบบหนึ่งของ พุทธานุสสติ กล่าวคือ การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า บริกรรมภาวนานี้ยังใช้โดยพระภิกษุจากภาคเหนือของประเทศไทยอีกด้วย[54] นอกจากนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมยังสามารถเพ่งความสนใจไปที่ศูนย์กลางกายโดยตรงได้[58] และสามารถทำได้โดยไม่ต้องนึกภาพหรือใช้บริกรรมภาวนาตามที่ปรากฏในสิ่งพิมพ์ของธรรมกาย[59]

ขั้นแรกของวิธีการนี้ หลวงปู่สดเรียกง่าย ๆ ว่า "ปฐมมรรค"[48][51][60] หลังจากนั้น หลวงปู่สดจะบรรยายถึงระดับการบรรลุธรรมในรูปกายภายใน (บาลี: kāya) ของมนุษย์ทุกคน[61] ซึ่งละเอียดขึ้นตามลำดับและเป็นคู่ ๆ[62] โดยรวมแล้ว มนุษย์ทุกคนประกอบด้วยกาย 9 ประเภท[63][64] โดยแต่ละประเภทมีรูปร่างปกติและประณีต[65]

กายทั้งสี่คู่แรกนี้ เทียบเท่ากับผลสัมฤทธิ์ ฌาน สมาธิแบบดั้งเดิม[66] ถัดมาคือสถานะธรรมกายระดับกลางที่เรียกว่า โคตรภู (บาลี: gotrabhū)[67] ซึ่งเป็นสถานะกึ่งกลางระหว่างการยังไม่ตรัสรู้กับขั้นแห่งการตรัสรู้ทั้งสี่[68] กายภายในสี่คู่สุดท้ายนี้เรียกว่า ธรรมกาย และเทียบเท่ากับอริยบุคคล ซึ่งนำไปสู่ขั้นสุดท้ายของการตรัสรู้ (อรหันต์) [64][69]

วิปัสสนา

ในวิชชาธรรมกาย ขั้นวิปัสสนา (การตรัสรู้) จะทำหลังจากที่ผู้ปฏิบัติบรรลุ ธรรมกาย แล้ว และสามารถเข้าใจความจริงของชีวิตได้โดยการสังเกตกระบวนการทางกายและใจของตนเอง[70] ซึ่งทำได้โดยการพิจารณาถึงสัญลักษณ์แห่งการมีอยู่ของกายภายในตามหลักไตรลักษณ์[71] ในขั้นตอนนี้ เชื่อกันว่าผู้ปฏิบัติสามารถเข้าใจการเกิด การตาย และความทุกข์ได้ในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อพวกเขาเห็นแก่นแท้ของปรากฏการณ์เหล่านี้ผ่านการทำสมาธิ[72] ความรู้อันสูงสุดและปัญญาอันประเสริฐในขั้นวิปัสสนานั้น "เหนือกว่าการบรรลุธรรมกาย" ของขั้น สมถะ ในการปฏิบัติสมาธิแบบธรรมกาย[73]

อัตตา

นิพพานเป็นอัตตา

ตามคำสอนของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่านิพพานคืออัตตา (บาลี: attā) คำสอนนี้เรียกอัตตาว่า ธรรมกาย ซึ่งเป็นแก่นแท้ของจิตวิญญาณ[74][75] คำสอนนี้เชื่อว่าแก่นแท้ของพระพุทธเจ้าและนิพพานมีอยู่จริงในตัวบุคคลแต่ละคน[76][77][23] คำสอนเรื่องอนัตตา (บาลี: anattā) ถือเป็นวิธีการละทิ้งสิ่งอนัตตา เพื่อบรรลุอัตตา[69] ตามที่นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา พอล วิลเลียมส์ กล่าว

“วิชชาธรรมกายเกี่ยวข้องกับการตระหนักรู้ถึง “กายธรรม” (”ธรรมกาย”) ที่ปราศจากเงื่อนไข เมื่อจิตเข้าถึงสภาวะบริสุทธิ์ที่สุด ในรูปของพระพุทธเจ้าที่สว่างไสว ใสสะอาด ปราศจากมลทินทั้งปวง และอยู่ภายในร่างกายของผู้ปฏิบัติ นิพพานคือตัวตนที่แท้จริง และนี่คือ “ธรรมกาย” เช่นกัน” [27]

การตีความอัตตา

ความเชื่อและการปฏิบัติบางอย่างของสายธรรมกาย เช่น เรื่อง นิพพาน "อัตตา" และการทำสมาธิ ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าขัดแย้งหรือปฏิเสธคำสอนและการปฏิบัติของนิพพานแบบกระแสหลักโดยสถาบันและนักวิชาการชาวพุทธไทยดั้งเดิม[78][79][80] พระพุทธศาสนาเถรวาทของไทยส่วนใหญ่ปฏิเสธคำสอนเรื่องอัตตาของธรรมกาย และยืนกรานว่าอนัตตาเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า[81] การโต้เถียงเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของ อนัตตา เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2482 เมื่อสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 12 ของประเทศไทยได้ตีพิมพ์หนังสือที่โต้แย้งว่านิพพานคือ "อัตตา" ข้อพิพาทนี้เกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 เมื่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) พระสงฆ์ผู้เป็นปราชญ์ในคณะสงฆ์ได้ตีพิมพ์หนังสือที่วิจารณ์คำสอนของสายธรรมกายเกี่ยวกับนิพพาน[82][83][84][85] สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง กรณีธรรมกาย ว่าคำสอนเรื่องนิพพานคืออัตตาของธรรมกายนั้น “ดูหมิ่น” คำสอนในพระพุทธศาสนาทั้งที่เป็นคัมภีร์และหลังคัมภีร์ นอกจากนี้ ท่านยังกล่าวอีกว่าคำสอนของเถรวาทในอดีตเน้นที่นิพพานในบริบทของ อนัตตา และ “นิพพานเป็นอัตตา” ไม่ใช่การตีความที่ยอมรับได้[86] อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถูกวิจารณ์จากนักวิชาการและนักข่าวชาวไทยหลายคนว่าเป็น “ผู้ยึดมั่นในลัทธิศาสนา” และส่งเสริมความไม่ยอมรับในศาสนา[87] แม้ว่านักวิชาการบางคนจะวิจารณ์คำสอนเรื่องนิพพานของธรรมกายในอดีต แต่คำวิจารณ์เหล่านี้แทบไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนเลยจนกระทั่งในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 เมื่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้ตีพิมพ์หนังสือของเขา ตามที่นักวิชาการด้านศาสนา ราเชล สกอตต์ กล่าวไว้ คำพูดของพระปยุตโตกลายเป็นคำพูดที่น่าเชื่อถือในพระพุทธศาสนาเถรวาทของไทยเป็นอันมาก และจึงทำให้การตีความนิพพานของธรรมกายเป็นที่ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกัน[88]

ตามความเห็นของผู้เสนอและครูบาอาจารย์ของสายนี้ เช่น พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล) อธิบายว่า พระสงฆ์มักเป็นปราชญ์ที่ถือทัศนะเรื่องอนัตตาโดยสมบูรณ์ ในขณะที่ “พระป่าที่มีชื่อเสียงหลายรูป” เช่น หลวงปู่สด พระอาจารย์มั่น และหลวงตามหาบัว ถือว่านิพพานเป็นอัตตา เนื่องจากพวกท่าน “ยืนยันการมีอยู่ของอัตตาหรือตัวตนที่สูงกว่า” ด้วยการรู้แจ้งของตนเอง[89][90] นอกจากนี้ ท่านยังกล่าวอีกว่านิพพานไม่สามารถเป็นอนัตตาได้ เนื่องจากไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ปรุงแต่งและถูกกำหนด นักวิชาการด้านการศึกษาศาสนา[89] พจน์ปรีชา ชลวิจารณ์ ตั้งข้อสังเกตว่า หลวงพ่อโหน่ง อินฺทสุวณฺโณ หนึ่งในครูสอนสมาธิของหลวงปู่สดในยุคแรก ๆ มีจุดยืนที่คล้ายคลึงกัน ตามที่หลวงพ่อโหน่งกล่าว นิพพานตามที่ผู้ปฏิบัติธรรมชาวพุทธที่มีประสบการณ์ตรงเข้าใจนั้นแตกต่างจากความเข้าใจเรื่องนิพพานที่นักวิชาการทั่วไปเข้าใจ[91] วิลเลียมส์สรุปทัศนะของหลวงพ่อเสริมชัยและระบุว่าวิธีการอ่านพระพุทธศาสนาในแง่ของ "... อัตตานั้นดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีในสภาพแวดล้อมของเอเชียตะวันออก และด้วยเหตุนี้จึงเฟื่องฟูในบริบทที่มหายานก็พบด้วยเหตุผลที่ซับซ้อนเช่นกัน" ตามคำกล่าวของวิลเลียมส์ การถกเถียงเกี่ยวกับธรรมกายในประเทศไทยทำให้เกิดความชื่นชมว่า

“... มีชาวพุทธในปัจจุบันและในอดีตที่ยอมรับคำสอนเรื่องอัตตาและโต้แย้งว่าอัตตาคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของคำสอนของพุทธศาสนา นักวิชาการที่เขียนเกี่ยวกับหลักคำสอนของพุทธศาสนาตามที่มีมาในประวัติศาสตร์ทั้งหมดต้องยอมรับความหลากหลายในประเด็นนี้ แม้ว่าจะเป็นความจริงที่ผู้สนับสนุนอนัตตาดูเหมือนจะเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม”[89]

ตามที่เจมส์ เทย์เลอร์ นักวิชาการด้านการศึกษาศาสนาและมานุษยวิทยา ให้ทัศนะทางหลักคำสอนของธรรมกายเกี่ยวกับ นิพพาน และ "แนวคิดอัตตา" นั้นคล้ายคลึงกับนิกายบุคคลนิยมของพุทธศาสนายุคแรก[92] พอล วิลเลียมส์ระบุว่าในบางแง่ คำสอนของธรรมกายนั้นคล้ายคลึงกับหลักคำสอนเรื่องพุทธภาวะและหลักคำสอนเรื่องตรีกายของพระพุทธศาสนามหายาน เขาเห็นว่าธรรมกายนั้นได้รับการพัฒนาอย่างอิสระจากหลักคำสอนตถาคตมหายาน แต่ให้ผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกันมากในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา[93] พจน์ปรีชา ชลวิจารณ์ ได้เปรียบเทียบและแสดงความแตกต่างระหว่างหลักคำสอนของธรรมกายและตถาคตครรภ์ ตลอดจนการปฏิบัติสมาธิที่สอนโดยหลวงปู่สดในวิชชาธรรมกายและผู้ที่นับถือนิกายเชนทง (gzhan stong) ของทิเบต[94]

สายธรรมกายตอบสนองต่อการถกเถียงเรื่องอัตตาและอนัตตาในรูปแบบต่าง ๆ นอกจากพระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล) แล้ว พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับหัวข้อนี้เพื่อตอบโต้คำวิจารณ์อีกด้วย[95][96] ขณะที่ ดร.รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัชกล่าวว่า ผู้ที่นับถือสายนี้ดูเหมือนจะไม่สนใจการอภิปรายนี้มากนัก และกังวลมากกว่าว่าวิชชาธรรมกายจะทำให้จิตใจของพวกเขาดีขึ้นได้อย่างไร[97] นอกจากคำจำกัดความที่ไม่ธรรมดาของนิพพานว่าเป็นความสุขที่แท้จริง ถาวรและจำเป็นแล้ว สายนี้ยังอธิบายนิพพานจากมุมมองที่ดั้งเดิมกว่าด้วยว่าไม่มีความโลภ เกลียดชัง และความหลงผิด สก็อตต์ระบุว่าคำอธิบายในเชิงบวกของนิพพานว่าเป็นสภาวะแห่งความสุขสูงสุดอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้วัดพระธรรมกายได้รับความนิยมในหมู่สมาชิกใหม่[55] แม็คเคนซี่โต้แย้งว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ความเชื่อเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากคนที่ไม่เห็นด้วยกับสถานะที่โดดเด่นของวัดพระธรรมกายและวิธีการระดมทุน เพื่อสนับสนุนเรื่องนี้ เขาตั้งข้อสังเกตว่าวัดอื่น ๆ ที่เป็นสายธรรมกาย เช่น วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม แทบจะไม่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นเดียวกับวัดพระธรรมกาย แม้ว่าวัดทั้งสองแห่งจะมีความเชื่อเกี่ยวกับนิพพานเหมือนกันก็ตาม[98]

เวทมนตร์และพิธีกรรม

วัดสำคัญ ๆ ของสายธรรมกายได้แสดงการต่อต้านการปฏิบัติที่งมงาย เช่น "พิธีกรรมทางพุทธศาสนาที่ซับซ้อน เวทมนตร์ป้องกันตัว การดูดวง และเครื่องมือ ภาพ และเงินที่ใช้จ่ายไปกับสิ่งเหล่านี้"[99][100] อย่างไรก็ตาม สิ่งพิมพ์เกี่ยวกับธรรมกายได้เน้นย้ำถึงพลังอัศจรรย์และการรักษาของพระของขวัญ (พระเครื่อง) อย่างกว้างขวาง และยังทำการตลาดและให้ร่วมบุญ (จัดจำหน่าย) อีกด้วย[101][102]

พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หรือหลวงปู่สด ผู้ก่อตั้งสายธรรมกาย เป็นที่เชื่อกันในหมู่ชาวไทยว่าเป็นบุคคลที่มีพลังพิเศษ ประวัติของท่านกล่าวถึงพลังเหนือธรรมชาติ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ “เคารพทุกวิธีที่เขาเรียนรู้” แม้กระทั่ง “ไสยศาสตร์หรือมนต์ดำ” นิวเวลล์กล่าว[103] หลวงปู่สดถูกพรรณนาว่าต่อต้านการสะสมเครื่องราง ตลอดจนพิธีกรรมเวทมนตร์และการดูดวงแบบดั้งเดิม แม้ว่าจะมีการออกเครื่องรางภายใต้การนำของเขาและเป็นที่นิยมในประเทศไทยเนื่องจากมีพลังที่ได้รับการยกย่อง หลวงปู่สดเป็นที่รู้จักในฐานะอาจารย์สอนการทำสมาธิและหมอรักษาสำหรับคนไทย แม้แต่ผู้ที่ไม่ใช่สาวกธรรมกายก็ตาม[103] ตามคำบอกเล่าของแม็กดาเนียล การฝึกสมาธิของท่านได้รับการสอนที่วัดพระธรรมกายเพื่อ “พัฒนาความมั่นใจในตนเอง” ช่วยเหลือในเรื่อง “ครอบครัวและธุรกิจ” ในการบำเพ็ญธรรมกาย ผู้นับถือสายนี้บางส่วนกล่าวว่าเครื่องราง เวทมนตร์ และการบวชเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนต่อเส้นทางแห่งความมั่นคงทางจิตวิญญาณและการเงิน ตามที่แม็กดาเนียลกล่าว[99]

สายนี้อ้างว่าการทำสมาธิทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้[104] ตามที่นิวเวลล์กล่าว ผู้นับถือศาสนาพุทธเชื่อว่าวิชชาธรรมกายสามารถนำมาซึ่ง อภิญญา หรือพลังจิตต่าง ๆ ได้เมื่อบรรลุสมาธิขั้นสูง[46] ตามที่ซีเกอร์กล่าว การอ้างถึงการกระทำดังกล่าวและการใช้ปาฏิหาริย์อย่างแพร่หลายในสายนี้เป็นหนึ่งในแหล่งที่มาของความขัดแย้งจากสถาบันพุทธศาสนาแบบไทยดั้งเดิม[105] ตัวอย่างเช่น เรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์อัศจรรย์ เช่น หลวงปู่สดทำ "การรักษาแบบอัศจรรย์" ที่วัดปากน้ำ และการทำสมาธิที่หยุดฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ให้ทิ้งระเบิดปรมาณูที่กรุงเทพมหานคร อันเนื่องมาจากการบุกครองไทยของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง[106] ตามที่แมคเคนซีกล่าว วัดปากน้ำเป็นที่หลบภัยการทิ้งระเบิดยอดนิยมสำหรับผู้คนในพื้นที่โดยรอบในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องมาจากเรื่องราวเกี่ยวกับความสามารถของหลวงปู่สด และรายงานข่าวของไทยยังรวมถึงการพบเห็นแม่ชี จำนวนมากจากวัดลอยตัวและสกัดกั้นระเบิดระหว่างการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในกรุงเทพมหานคร[107][108] วัดพระธรรมกายยังโฆษณาอ้างว่ามีปาฏิหาริย์ด้วย พร้อมทั้งมีรูปภาพของ “พระมหาสิริราชธาตุ” ที่มีฤทธิ์อัศจรรย์ โฆษณาเหล่านี้เชิญชวนผู้อ่านให้มาเยี่ยมชมวัดเพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในเหตุการณ์อัศจรรย์ดังกล่าว[109][note 5] ตามคำบอกเล่าของนิวเวลล์ คนไทยจำนวนมากพยายามเข้าถึงพลังที่อ้างว่าเกิดจากการทำสมาธิธรรมกายโดยอ้อมผ่านพระเครื่อง ขณะที่พระเครื่องที่หลวงปู่สดออกให้เช่าในที่สุดก็ได้รับชื่อเสียงว่ามีพลังพิเศษและมีมูลค่าสูงในประเทศไทยด้วยเหตุนี้[103]

ตำนานการต่อสู้ของสายดำและขาว

ตามข้อมูลที่รั่วไหลไปยังนักวิชาการหลายคนโดย มโน เลาหวณิช ซึ่งเคยอาศัยอยู่ที่วัดพระธรรมกายเป็นเวลาสองปี[110] นักวิชาการบางคนในสายธรรมกายเชื่อว่ามีการต่อสู้ในจักรวาลที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องระหว่าง "ธรรมกายดำ" (มาร) และ "ธรรมกายขาว" โดยมีแนวคิดว่าหลวงพ่อธัมมชโยเป็นผู้นำของรุ่นนี้ต่อจากพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) [111][112] ปีเตอร์ ฮาร์วีย์ นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนากล่าวว่าการทำสมาธิเป็นกลุ่มนั้นถือได้ว่าเป็นวิธีการ "ช่วยเอาชนะอิทธิพลของมารร้าย" ที่เข้ามารุกรานโลกนี้[69][113] แมคเคนซีกล่าวว่าการทำสมาธิร่วมกันเพื่อสร้างผลกระทบต่อการต่อสู้ระหว่างฝ่ายขาวและฝ่ายดำนั้นถือเป็นความรับผิดชอบของทั้งบุคคลและส่วนรวมในมุมมองของสาวกเหล่านี้[114] การต่อสู้ในตำนานนี้สามารถเอาชนะได้โดยผู้ปฏิบัติธรรมจำนวนมากตามความเชื่อนี้ และถือเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์[115]

แม็คเคนซี่ระบุว่า ไม่ชัดเจนว่าผู้นับถือสายนี้เชื่อเรื่องโกหกนี้มากเพียงใด เขาอ้างคำพูดของ ดร.พิบูลย์ ชุมพลไพศาล ที่ระบุว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความเข้าใจของคนใน และระบุว่า "ไม่มีหลักฐาน" ของโปรแกรมการทำสมาธิดังกล่าวในวัดสายธรรมกาย[116] แม็คเคนซี่กล่าวต่อไปว่า เขาได้พบกับผู้นับถือสายนี้ที่ชื่นชมตรรกะของคำสอนและการเน้นการทำสมาธิ แต่เขายังได้พบกับสมาชิกที่ต้องการสัมผัสกับความอัศจรรย์ และสรุปว่าอาจมีคนในมากมายที่เข้าใจเรื่องนี้[117] ผู้สร้างภาพยนตร์สารคดี เอหิปัสสิโก คือ ณฐพล บุญประกอบ เน้นย้ำถึงเหตุผลที่ทำให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับว่าตำนานนี้ถูกสอนหรือไม่ ซึ่งณฐพล ตั้งข้อสังเกตว่าความคิดที่ว่า เชื่อกันว่าหลวงพ่อธัมมชโยเป็นพระเมสสิยาห์นั้นขึ้นอยู่กับคำให้การของ มโน เลาหวณิช เท่านั้น ซึ่งอ้างว่ารู้เรื่องนี้จากความรู้ "ของคนใน" ที่เป็นความลับจากช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่วัดพระธรรมกาย และโดยธรรมชาติแล้วไม่มีใครสามารถหักล้างข้อกล่าวหาของเขาได้ในปัจจุบัน[118]

อิทธิพล

สายธรรมกายมีอิทธิพลต่อสายพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในประเทศไทย พจน์ปรีชา ชลวิจารณ์ กล่าวถึงบุคคลสำคัญ 3 คนในพระพุทธศาสนาไทยที่สายนี้มีอิทธิพล คือ[119]

พจน์ปรีชา ชลวิจารณ์ กล่าวว่าสายการทำสมาธิแบบมโนมยิทธิ (Manomayiddhi) มีความคล้ายคลึงกันหลายประการ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากสายธรรมกาย ผู้ก่อตั้งสายการทำสมาธินี้คือ หลวงพ่อฤๅษี ลิงดำ ได้ศึกษาการทำสมาธิกับหลวงปู่สดและอาจารย์สอนการทำสมาธิที่มีชื่อเสียงหลายคนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930 หลังจากเรียนรู้วิชชาธรรมกายที่วัดปากน้ำ ท่านได้นำการทำสมาธิแบบมโนมยิทธิมาปรับใช้ในการปฏิบัติธรรม และในที่สุดก็กลายเป็นครูสอนการทำสมาธิที่เป็นที่นิยมในประเทศไทย พจน์ปรีชากล่าวว่า เทคนิคที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของหลวงพ่อฤๅษี ลิงดำ คือ วิธีมโนมยิทธิ มีความคล้ายคลึงกับวิชชาธรรมกายหลายประการ[120] หลวงพ่อฤๅษี ลิงดำ ยังยอมรับว่าสายนี้มีอิทธิพลต่อทัศนคติของท่านเกี่ยวกับนิพพาน ซึ่งแต่ก่อนท่านเชื่อว่าเป็นความว่างเปล่า อย่างไรก็ตาม หลังจากปฏิบัติธรรมและการทำสมาธิรูปแบบอื่น ๆ แล้ว ในเวลาต่อมา ท่านได้เปลี่ยนทัศนคติของตนให้เห็นด้วยกับสายธรรมกาย[121]

ทรงธรรมกัลยาณีภิกษุณีอาราม เป็นวัดไทยสมัยใหม่แห่งแรกสำหรับภิกษุณี (แม่ชีที่บวชเป็นภิกษุณีแล้ว) มีรากฐานมาจากสายธรรมกาย ผู้ก่อตั้งวัด คือ ภิกษุณีธัมมนันทา ศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ[122] ตามอัตชีวประวัติของภิกษุณีธัมมนันทา ท่านป่วยเป็นเนื้องอกในมดลูกเมื่อยังเป็นฆราวาส และลูกศิษย์ของหลวงปู่สดได้เล่าให้ฟังว่าเนื้องอกดังกล่าวได้ถูกผ่าตัดออกด้วยการทำสมาธิ เมื่อภิกษุณีวรมัยเข้ารับการผ่าตัด พบว่าเนื้องอกดังกล่าวได้หายไป เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เธอได้ศึกษาการทำสมาธิที่วัดปากน้ำ ตลอดจนสำนักปฏิบัติธรรมอื่น ๆ อีกหลายแห่ง และได้อุปสมบทในที่สุด[123] ตามคำบอกเล่าของพจน์ปรีชา ภิกษุณีธัมมนันทาได้สอนวิชชาธรรมกายควบคู่ไปกับการทำสมาธิอีกหลายวิธีจนกระทั่งเธอเสียชีวิต รวมทั้งได้สอนหลักธรรมกายและนิพพานในลักษณะเดียวกับสายธรรมกาย[124]

พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) ซึ่งเป็นพระอาจารย์สอนสมาธิที่มีชื่อเสียงจากสายพระป่าในไทย ผู้เป็นผู้ประพันธ์ชีวประวัติของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ผู้ก่อตั้งสายพระป่าในประเทศไทยคนแรก อาจได้รับอิทธิพลจากสายธรรมกายด้วยเช่นกัน[119] แม้ว่าพระอริยคุณาธารจะไม่ได้ยอมรับว่าได้รับอิทธิพลดังกล่าว แต่พจน์ปรีชาได้บันทึกไว้ว่าในปี พ.ศ. 2493 พระพระอริยคุณาธาร ซึ่งขณะนั้นเป็นพระภิกษุคณะธรรมยุติชั้นสูง ถูกส่งไปตรวจสอบพฤติกรรมของหลวงปู่สด เนื่องจากชื่อเสียงของท่านในประเทศไทยกำลังเติบโตขึ้น หลังจากการพบกัน พระอริยคุณาธารได้กลับมาพร้อมรายงานเชิงบวก จากนั้นจึงตีพิมพ์หนังสือที่อธิบายแนวคิดของ ธรรมกาย ในลักษณะเดียวกับสายธรรมกาย ตามที่พจน์ปรีชากล่าว ความเข้าใจของท่านเกี่ยวกับธรรมกายน่าจะมาจากการพูดคุยกับพระอาจารย์มั่น เช่น หลวงปู่สด และอาจารย์มั่น แม้ว่าพจน์ปรีชาจะระบุว่าท่านอาจได้รับแนวคิดเหล่านี้จาก คัมภีร์โบราณกรรมฐาน ด้วยก็ตาม[125]

ลักษณะและการจัดองค์การของคณะสงฆ์

ลักษณะ

พระมหาเจดีย์มหารัชมงคลในวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

ผู้ปฏิบัติธรรมตามสายธรรมกายระบุว่า พวกเขาพบว่าคำสอนของแนวทางนี้มีประสิทธิผลและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้[126]

ในฐานะส่วนหนึ่งของการสำรวจกลุ่มมูลฐานทั่วโลก โดนัลด์ สเวียเรอร์ได้เรียกสายธรรมกายว่าเป็นแนวทาง "มูลฐาน"[127][128] โดย "มูลฐานนิยม" ที่เขากล่าวถึงนั้นหมายถึงแนวโน้มที่เกิดขึ้นใหม่ในชุมชนเถรวาทของประเทศไทยและศรีลังกา ซึ่งยืนยันถึง "อัตลักษณ์ของชุมชนที่ยึดมั่นในศาสนา" ร่วมกับบทบาทนักรณรงค์ของฆราวาส แนวโน้มนี้รวมถึงการตีความใหม่และยืนยันหลักคำสอนและการปฏิบัติใหม่ในลักษณะป้องกันธรรมและทันสมัย ​​ซึ่งผสมผสานกับลักษณะเฉพาะของ "ก้าวร้าว วิพากษ์วิจารณ์ เชิงลบ และยึดมั่นในหลักการอย่างสุดโต่ง"[129]

นักวิชาการท่านอื่น ๆ กล่าวถึงสายธรรมกายว่าเป็นขบวนการฟื้นฟู[130] สายนี้เป็นขบวนการฟื้นฟูใหม่หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ เช่น วัดพระธรรมกายได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการเริ่มนิกายใหม่[131][132] ศูนย์กลางของสายนี้คือการปฏิบัติสมาธิสายธรรมกาย ซึ่งสายนี้ถือเป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ซึ่งเป็นวิธีการที่ลืมเลือนไปแล้ว แต่ได้รับการฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้งโดยพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) วิธีนี้เรียกว่าวิชชาธรรมกาย[25][29][133]

มาร์ติน ซีเกอร์ นักวิชาการหลายคนระบุว่าข้อพิพาทและความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์ไทยกระแสหลักกับสายธรรมกายสะท้อนถึง "ความไม่ยอมรับและการทำลายเสรีภาพในการนับถือศาสนา" ซีเกอร์ระบุว่า คำสอนและการปฏิบัติของวัดในสายธรรมกายเบี่ยงเบนไปจากสายเถรวาท และการตีความคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่แตกต่างกันได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงอย่างดุเดือดในสื่อของไทยและในสังฆมณฑล รวมถึงการรณรงค์โจมตีและการกำจัด "ผู้นับถือศาสนาอื่น"[134] ในจำนวนนี้ วัดพระธรรมกายซึ่งมีอิทธิพลมากที่สุดในเรื่องนี้ ถูกสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) กล่าวหาว่า "บิดเบือนแนวคิดทางพุทธศาสนา ดูหมิ่นคำสอนของพระพุทธเจ้า" และ "ไม่เคารพพระไตรปิฎกภาษาบาลี"[134] นอกจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์แล้ว นักวิจารณ์คนอื่น ๆ ยังรวมถึง "นักวิชาการ นักวิชาการ พระภิกษุ และนักวิจารณ์สังคมชาวไทย" อีกหลายคน[105] สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถูกวิจารณ์จากนักวิชาการและนักวิจารณ์ข่าวชาวไทยหลายคนว่าเป็นคน "ใจแคบ" "ยึดติดกับคัมภีร์" "ยึดมั่นในหลักคำสอนของศาสนา" และ "ยึดมั่นในหลักการอย่างเคร่งครัด"[87] นอกจากนี้ คอลัมนิสต์ชาวไทย โสภณ พรโชคชัย ยังได้กล่าวหาปยุตโตว่าได้ทำการวิจัยอย่างหละหลวม[135]

วิธีการเผยแผ่

พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หรือหลวงปู่สด เป็นผู้ริเริ่มการทำสมาธิแบบธรรมกาย หรือวิชชาธรรมกาย ซึ่งเป็นแก่นแท้ของสายธรรมกาย นอกจากเทคนิคการทำสมาธิแล้ว วิธีการที่หลวงปู่สดใช้สอนยังได้รับการถ่ายทอดไปยังวัดหลัก ๆ ในสายธรรมกายด้วย ซึ่งสายธรรมกายมีรูปแบบการเผยแผ่ที่กระตือรือร้น[136] การสอนการทำสมาธิเป็นกลุ่ม การสอนการทำสมาธิในพิธีกรรม การสอนการทำสมาธิพร้อมกันทั้งพระภิกษุและฆราวาส และการสอนวิธีการทำสมาธิหลัก ๆ วิธีหนึ่งให้กับทุกคน ถือเป็นลักษณะเด่นที่พบเห็นได้ทั่วไปในสายธรรมกาย[137][138][52]

นิวเวลล์เล่าว่า หลวงปู่สดเป็นผู้จัดตั้งชุมชนแม่ชีขึ้นที่วัดปากน้ำ[139] ซึ่งปัจจุบันเป็นชุมชนแม่ชีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย[140] แม้ว่าหลวงปู่สดจะสนับสนุนให้ผู้หญิงเป็นแม่ชี แต่แม่ชีก็ต้องใช้เวลาทำกิจกรรมในอาคารค่อนข้างมาก มากกว่าพระสงฆ์ แนวทางนี้สะท้อนให้เห็นแนวทางของวัดพระธรรมกายที่เน้นเรื่องจิตวิญญาณของผู้หญิง โดยยกย่องแม่ชีจันทร์ ขนนกยูง ว่าเป็นตัวอย่างของปรมาจารย์ด้านการทำสมาธิ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สนับสนุนขบวนการบวชภิกษุณี[141]

นอกจากทัศนคติของวัดปากน้ำที่มีต่อจิตวิญญาณของผู้หญิงแล้ว แนวทางสากลของวัดปากน้ำยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของมรดกของวัดอีกด้วย[142] วัดได้อุปสมบทพระสงฆ์หลายรูปที่มาจากสหราชอาณาจักร[143] และรักษาความสัมพันธ์กับพุทธศาสนิกชนชาวญี่ปุ่น[144] ปัจจุบัน วัดปากน้ำมีศูนย์สาขาในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์[145] แนวทางสากลนี้ยังคงดำเนินต่อไปผ่านงานของวัดพระธรรมกาย ซึ่งมีศูนย์สาขาต่างประเทศประมาณ 84 แห่ง[146] และผ่านงานของวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ซึ่งมีศูนย์สาขา 2 แห่งในมาเลเซีย[147] จากวัดและสายของพุทธศาสนาไทยทั้งหมด สายธรรมกายมีสถานะระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดสายหนึ่ง[148] ลักษณะเฉพาะที่พบได้ทั้งในวัดปากน้ำและวัดอื่น ๆ ในสายของหลวงปู่สด คือการเน้นที่การอุปสมบทตลอดชีวิต[149]

พระเครื่อง

การผลิตและการขายพระเครื่องป้องกันภัยเพื่อเป็นทุนในการริเริ่มโครงการในช่วงแรกของสายธรรมกายเริ่มต้นขึ้นจากผู้ก่อตั้งสายนี้ การขายพระเครื่อง หรือพระของขวัญ[150] เป็น "วิธีการทั่วไปในการระดมทุนสำหรับโครงการก่อสร้างวัดใหญ่ ๆ" นิวเวลล์กล่าว[151] วัดปากน้ำภายใต้การนำของหลวงปู่สด ผลิตและจำหน่ายพระเครื่องที่ได้รับชื่อเสียงในประเทศไทยเนื่องจากพลังอำนาจที่กล่าวอ้างว่ามีอยู่[103] นิวเวลล์กล่าว

สด [หลวงปู่สด] เป็น... ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างพระเครื่องที่สำคัญบางรุ่น ซึ่งสร้างเพื่อนำเงินไปซ่อมแซมและบูรณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสถาบันบาลีซึ่งท่านดำเนินการในฐานะผู้ดูแลวัดปากน้ำ นอกจากนี้ยังมีการสร้างพระเครื่องอีก 2 รุ่นเพื่อนำเงินไปสร้างอุทยานพุทธมณฑลซึ่งสดมีส่วนเกี่ยวข้อง พระเครื่องเหล่านี้มีชื่อเสียงในด้านความทรงพลังและประสิทธิผลเป็นพิเศษ และเปลี่ยนมือกันด้วยราคาที่สูงมาก[103]

พระเครื่องของหลวงปู่สดเป็นที่เคารพนับถืออย่างกว้างขวางและยังคงเคารพบูชาอยู่จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากมีพลังอำนาจที่พิสูจน์ได้ และยังมีการซื้อขายกันในราคาสูง[152] ความพยายามในการสร้างสวนพุทธมณฑลเริ่มต้นขึ้นภายใต้การนำของหลวงปู่สดในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 และงานก่อสร้างส่วนใหญ่ดำเนินการในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 โดยได้รับเงินสนับสนุนจากพระเครื่องที่ออกโดยวัดปากน้ำ[153] วัดพระธรรมกายซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 ยังคงทำการตลาดพระเครื่องที่กล่าวกันว่ามีพลังวิเศษเพื่อวัตถุประสงค์ในการระดมทุนอย่างต่อเนื่อง[154][105][155] โดยใช้ประโยชน์จากประเพณีการทำบุญแบบพุทธในประเทศไทย[156][157][158]

วัดสำคัญ

วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) จากวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ [ซ้าย] และพระเผด็จ ทตฺตชีโว จากวัดพระธรรมกาย [ขวา]

วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ตั้งอยู่ในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ริมแม่น้ำเจ้าพระยา[159] วัดปากน้ำภาษีเจริญเป็นวัดที่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) เคยเป็นเจ้าอาวาส และยังคงเป็นที่รู้จักในเรื่องการสอนการทำสมาธิ[160][161] วัดได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงที่หลวงปู่สด จนฺทสโรเป็นเจ้าอาวาสของวัด จากวัดที่มีพระภิกษุเพียง 13 รูปซึ่งวัดมีสภาพทรุดโทรม กลายมาเป็นศูนย์กลางการศึกษาและการปฏิบัติธรรมที่เจริญรุ่งเรือง ในปี พ.ศ. 2551 วัดแห่งนี้ได้มีพระภิกษุอยู่มากถึง 200 ถึง 400 รูป สามเณร 80 ถึง 90 รูป และแม่ชี 200 ถึง 300 รูป ในปี พ.ศ. 2551 เจ้าอาวาสวัดนี้คือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ซึ่งดำรงตำแหน่งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (สังฆราช) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ถึง พ.ศ. 2560[162] ในปี พ.ศ. 2558 มหาเถรสมาคมได้เสนอชื่อพระองค์ให้เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ แต่คณะรัฐประหารได้ชะลอการแต่งตั้ง โดยอ้างคำคัดค้านของอดีตผู้นำที่มีอิทธิพลหลายคนจากการทำรัฐประหาร พ.ศ. 2557[163] ในที่สุด การแต่งตั้งก็ถูกถอนออก และพระภิกษุจากธรรมยุติกนิกายได้รับการแต่งตั้งแทนหลังจากที่คณะรัฐประหารแก้ไขกฎหมายเพื่อให้พระมหากษัตริย์สามารถแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชได้โดยตรง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนอง[164] ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ได้มรณภาพ สิริอายุ 96 ปี พรรษา 76[165]

วัดพระธรรมกาย

วัดพระธรรมกายตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี ทางตอนเหนือของกรุงเทพมหานคร ก่อตั้งโดย แม่ชีจันทร์ ขนนกยูง และพระไชยบูลย์ ธมฺมชโย วัดนี้เป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในสายธรรมกาย เนื่องจากมีขนาดใหญ่และมีผู้ติดตามจำนวนมาก มีกิจกรรมมากมาย และยังมีเรื่องขัดแย้งมากมาย วัดนี้เป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ และมีการจัดโครงการฝึกอบรมมากมาย วัดเน้นการทำบุญด้วยการทำสมาธิ การให้ทาน และการเป็นอาสาสมัคร[166] ตามคำกล่าวของนักเทววิทยา รอรี่ แม็คเคนซี่ วัดนี้เปิดรับบริจาคจากผู้นับถือในการพบปะในพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ โดยสัญญาว่าจะ "ให้ผลเฉพาะจากการบริจาคเฉพาะ"[167] รูปลักษณ์ของวัดเป็นวัดที่เป็นระเบียบเรียบร้อย และสามารถอธิบายได้ว่าเป็น "สุนทรียศาสตร์ร่วมสมัย" ตามที่ สก็อตต์ กล่าว[168][169][170] จากข้อมูลเมื่อปี พ.ศ. 2560 วัดนี้มีผู้ติดตามทั่วโลกประมาณ 3 ล้านคน[171] ชุมชนที่อาศัยอยู่ในวัดพระธรรมกายมีพระภิกษุและสามเณรมากกว่า 1,000 รูป และมีเจ้าหน้าที่ประจำซึ่งเป็นฆราวาสกว่าหลายร้อยคน[172] วัดแห่งนี้เน้นย้ำถึงการฟื้นฟูคุณค่าของพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม แต่ดำเนินการผ่านวิธีการและเทคโนโลยีที่ทันสมัย[173][174] ​วัดแห่งนี้เน้นการเปลี่ยนแปลงส่วนบุคคล ซึ่งแสดงออกผ่านคำขวัญของวัดว่า "สันติภาพโลกเกิดขึ้นด้วยสันติสุขภายใน"[175][176] โดยวัดแห่งนี้ให้บริการปฏิบัติธรรมและการบวชเป็นภาษาอังกฤษด้วย[177][178][179]

พระไชยบูลย์ ธมฺมชโย จากวัดพระธรรมกาย

ในช่วงแรก วัดแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม ชื่อว่า ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม[180] หลังจากแม่ชีจันทร์ และหลวงพ่อธัมมชโยซึ่งเป็นพระอุปสมบทใหม่ที่วัดปากน้ำไม่สามารถรองรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมการปฏิบัติธรรมที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญได้อีกต่อไป ศูนย์แห่งนี้จึงกลายเป็นวัดอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2520[181][182][180] วัดแห่งนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 เมื่อโครงการฝึกอบรมของวัดเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหมู่ชนชั้นกลางในเมือง[181][183] วัดพระธรรมกายได้ขยายพื้นที่และเริ่มสร้างเจดีย์ขนาดใหญ่[184] อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชีย วัดแห่งนี้กลับตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากหลวงพ่อธัมมชโยถูกกล่าวหาว่ายักยอกทรัพย์และถูกปลดจากตำแหน่งเจ้าอาวาส ในปี พ.ศ. 2549 ท่านพ้นผิดจากข้อกล่าวหาเหล่านี้และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสอีกครั้ง[185] วัดแห่งนี้เติบโตขึ้นและเป็นที่รู้จักจากกิจกรรมด้านการศึกษา การส่งเสริมจริยธรรม และโครงการทุนการศึกษา[186][187][188] ภายใต้การปกครองของคณะทหารในปี พ.ศ. 2557 เจ้าอาวาสและวัดถูกตรวจสอบอีกครั้ง และหลวงพ่อธัมมชโยถูกกล่าวหาว่ารับเงินที่ขโมยมาผ่านการบริจาคของผู้สนับสนุน[189] วัดนี้ถูกเรียกว่าเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ยังไม่ถูกปราบโดยคณะทหารที่ปกครอง ซึ่งได้ปิดฉากฝ่ายค้านส่วนใหญ่ตั้งแต่เข้ายึดอำนาจ[190][171] กระบวนการยุติธรรมต่อเจ้าอาวาสและวัดตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990 ทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยวกับขั้นตอนและบทบาทของรัฐต่อศาสนา การถกเถียงนี้ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างการล็อกดาวน์วัดโดยคณะทหารในปี พ.ศ. 2560[191][192] ซึ่งในปี พ.ศ. 2560 เจ้าหน้าที่ยังไม่พบหลวงพ่อธัมมชโย และต่อมาในปี พ.ศ. 2561 พระครูปลัดรัตนวีรวัฒน์ (รังสฤษดิ์ อิทฺธิจินฺตโก) ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าอาวาสแทน[193][194]

วัดพระธรรมกายเน้นย้ำถึงวัฒนธรรมการทำบุญด้วยการทำความดีและการทำสมาธิ ตลอดจนทัศนคติที่ถูกต้องต่อชีวิต[195][51] วัดส่งเสริมให้เกิดชุมชนกัลยาณมิตร ('มิตรที่ดี') เพื่อให้บรรลุถึงวัฒนธรรมดังกล่าว[127][196] แม้ว่าวัดจะเน้นย้ำถึงคุณค่าของพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม แต่ก็ได้ใช้วิธีการเผยแผ่ศาสนาสมัยใหม่ เช่น สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและมหาวิทยาลัยทางไกล รวมถึงวิธีการจัดการที่ทันสมัย[197][198][199] ภายในบริเวณวัดขนาดใหญ่ วัดมีอนุสาวรีย์และอนุสรณ์สถานหลายแห่ง และในการออกแบบอาคารได้ใช้แนวคิดพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมในรูปแบบที่ทันสมัย ​​เนื่องจากวัดมองเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณระดับโลก[200][201][175]

ตามที่แซนดรา เคท นักมานุษยวิทยาที่เน้นด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า การทำบุญตามประเพณีของชาวพุทธในอดีตนั้น "ถูกนำไปใช้อย่างสุดขั้ว" โดยวัดพระธรรมกายในการหาเงินบริจาคและใช้เทคนิคการตลาดที่ซับซ้อนและการสร้างเครือข่าย[202] นิวเวลล์กล่าวว่า การผลิตและการขายพระเครื่องเป็น "วิธีการทั่วไปในการระดมทุนสำหรับโครงการก่อสร้างวัดขนาดใหญ่" เพื่อระดมเงินบริจาค[151] ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 วัดพระธรรมกายได้อ้างว่ามี "ปาฏิหาริย์บนท้องฟ้า" ซึ่งดวงอาทิตย์หายไปและถูกแทนที่ด้วยรูปปั้นทองคำของหลวงปู่สดหรือดวงแก้วขนาดยักษ์บนท้องฟ้า ซึ่ง ผู้มีบุญ มีความเชื่อมโยงกับสถานะ มหาบุรุษ (บุคคลผู้ยิ่งใหญ่) ผิวพรรณผ่องใส และความสมบูรณ์แบบทางจิตวิญญาณ[203] พระมโน เมตตานนฺโทได้วิพากษ์วิจารณ์การทำบุญเหล่านี้ว่าเป็น "ทางแก้ปัญหาส่วนตัวและปัญหาสังคมทั้งหมด" และด้วยเหตุนี้ "จึงดึงดูดผู้ศรัทธาให้บริจาคเงินเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ"[204] ความพยายามระดมทุนของธรรมกายได้ใช้แคมเปญการตลาดแบบแมสที่เชื่อมโยง "ระดับการบริจาคกับสถานะทางสังคมของพวกเขา" ตามที่สก็อตต์กล่าว[205] ตามที่ รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช กล่าว สิ่งพิมพ์ของวัดพระธรรมกายย้ำความเชื่อในผลของการทำบุญและพระเครื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดย "นำเสนอเรื่องราวของการเอาชีวิตรอดอย่างปาฏิหาริย์หลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ร้ายแรง การฟื้นตัวจากมะเร็งร้ายที่อธิบายไม่ได้ และความสำเร็จอันเหลือเชื่อในธุรกิจหลังจากทำบุญ"[101]

วัดพระธรรมกายอาศัยเงินบริจาคและเงินทำบุญสร้างวัดและดำเนินงาน[154] วัดใช้สื่อโฆษณาและป้ายโฆษณาที่คำนึงถึงผู้บริโภคเป็นหลักเพื่อ "ใช้กลยุทธ์การแข่งขันและการโฆษณาแบบผู้บริโภคตามความเชื่อดั้งเดิมของการสะสมบุญซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะกลายเป็นสินค้าที่แสดงถึงบุญ" นักสังคมวิทยา ผศ.ดร.อภิญญา เฟื่องฟูสกุ กล่าว[206] ผู้บริจาคจะได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะได้รับผลตอบแทนในการเกิดใหม่ในอนาคต และเงินบริจาคของพวกเขาจะได้รับการยอมรับในพิธีท่ามกลางที่สาธารณะ[207][154] แม้ว่าวิธีการและคำสอนของวัดจะไม่ได้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในวัดพระธรรมกาย แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 ระหว่างวิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย เนื่องจากขนาดของวัดและการระดมทุนครั้งใหญ่ที่วัดดำเนินการในขณะนั้น[208][209][210] นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มในหมู่ครูอาจารย์และผู้ปฏิบัติธรรมที่จะเพิกเฉยหรือแม้กระทั่งดูหมิ่นการทำบุญโดยหันไปสนับสนุนคำสอนทางพุทธศาสนาอื่น ๆ เกี่ยวกับการปล่อยวางและการบรรลุนิพพาน ซึ่งนักวิชาการด้านการศึกษาด้านพุทธศาสนา นายลานซ์ คูซินส์ ได้บัญญัติคำว่า "ลัทธิสูงสุด" ultimatism ขึ้นมา[132][211][212] ตามที่นักวิชาการด้านการศึกษาด้านเอเชีย นายโมนิกา ฟอล์ก กล่าว พุทธพาณิชย์ได้กลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองในประเทศไทย[213]

วัดพระธรรมกายเน้นการทำสมาธิแบบวิชชาธรรมกายเป็นหลักและการสอนแบบสมัยใหม่ทำให้แตกต่างจากพุทธศาสนาในไทย[132][214] การผสมผสานระหว่างแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ยังพบได้ในคำสอนของวัด ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างพุทธศาสนาแบบปัญญาชนและศาสนาพื้นบ้านของไทย[215] วัดพยายามฟื้นฟูบทบาทของวัดในท้องถิ่นในฐานะศูนย์กลางชุมชนทางจิตวิญญาณ แต่ดำเนินการในรูปแบบที่สอดคล้องกับสังคมและประเพณีสมัยใหม่[216][217] ตามปรัชญาการเผยแผ่ศาสนาของวัดนั้นมองว่า ในปัจจุบัน ผู้คนจะไม่มาที่วัดพุทธอีกต่อไป เพราะวัดไม่ใช่ศูนย์กลางของชีวิตชุมชนอีกต่อไป ดังนั้น วัดจึงต้องแสวงหาฆราวาสในสังคมอย่างหนัก เพื่อส่งเสริมคุณธรรมทั้งในวัด ที่บ้าน และที่โรงเรียน[218][219] ส่วนสำคัญของรูปแบบการเผยแผ่ศาสนาแบบแข็งขันนี้คือบทบาทของฆราวาส ซึ่งวัดมีชื่อเสียงในเรื่องความสำคัญของการมีส่วนร่วมของฆราวาส[220]

ตามคำบอกเล่าของ แม็กดาเนียล วัดพระธรรมกายเน้นเรื่องความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความเงียบสงบ เป็นหลักศีลธรรมในตัวของมันเอง และเป็นวิธีสนับสนุนการปฏิบัติธรรม[9][221][222] วัดพระธรรมกายมักจัดพิธีในวันอาทิตย์แทนที่จะเป็นวันอุโบสถ (วันพระ) ตามปฏิทินจันทรคติแบบดั้งเดิม มีรถบัสฟรีในการรับส่งไปที่วัด ผู้เข้าร่วมพิธีควรสวมชุดสีขาวซึ่งเป็นประเพณีดั้งเดิม ห้ามสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือการกระทำเชิงชู้สาวกันในบริเวณวัด ห้ามนำหนังสือพิมพ์ สัตว์ หรือดูดวงมาด้วย นอกจากนี้ ไม่มีการจัดงานวัดแบบดั้งเดิมที่มีเสียงดัง[223][224] ผู้ปฏิบัติธรรมยังได้รับการสนับสนุนให้รักษาความเรียบร้อยและความสะอาดด้วยกิจกรรมทำความสะอาดที่จัดขึ้น วัดเน้นย้ำถึงวินัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยจัดพิธีที่ยิ่งใหญ่และละเอียดถี่ถ้วน[225]

วัดพระธรรมกายสอนว่า การทำบุญอย่างสม่ำเสมอจะทำให้บุญนั้นกลายเป็น "บารมี" เพิ่มขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป บุญนั้นก็จะ "กลั่นตัว" ขึ้นเรื่อย ๆ เป็นการอุทิศชีวิตเพื่อการทำความดี และสอนว่าทุกคนที่ต้องการบรรลุจุดหมายแห่งการพ้นทุกข์ตามหลักพุทธศาสนา[226] ซึ่งบารมีนั้นสามารถเกิดได้ด้วยการทำบุญ 3 ประการ คือ ทาน ศีล ภาวนา ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้แก่ การทำสมาธิ[227] การทำบุญที่วัดพระธรรมกายสอนนั้น จึงเป็นการฝึกตนและเสียสละตนเอง โดยบุญนั้นขึ้นอยู่กับเจตนา ไม่ใช่จำนวนเงินที่บริจาคเท่านั้น[228]

จากการสำรวจ เหตุผลหลักประการหนึ่งในการเข้าร่วมกิจกรรมของวัดคือโครงสร้างและความชัดเจนของคำสอน[169] วิถีชีวิตของวัดส่งเสริมค่านิยมครอบครัวที่ดี และเน้นเครือข่ายเพื่อนที่มีใจเดียวกันเพื่ออำนวยความสะดวกในการพัฒนาจิตวิญญาณ[229][230] วัดพระธรรมกายสนับสนุนให้ผู้คนชักชวนผู้อื่นให้ทำบุญ เพราะการชักชวนดังกล่าวถือเป็นบุญในตัว[231] ในกิจกรรมของวัด แม้แต่ในการบำเพ็ญธรรม ก็มีโอกาสมากมายในการเข้าสังคมและมิตรภาพทางจิตวิญญาณ[232] ในคำสอนของวัด ผู้ปฏิบัติธรรมได้รับการสนับสนุนให้จัดตั้ง บ้านกัลยาณมิตร เพื่อทำสมาธิร่วมกับเพื่อนและครอบครัว และผู้ปฏิบัติธรรมได้รับการฝึกอบรมให้รับบทบาทผู้นำ[127][196][233]

วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร

พระพรหมวชิรปัญญาจารย์ (ทองดี สุรเตโช) จากวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร

วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร (หรือเรียกสั้นๆ ว่า วัดราชโอรส แปลว่า "วัดของพระราชโอรส") เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร มีต้นกำเนิดในสมัยอาณาจักรอยุธยา วัดแห่งนี้ได้กลายเป็นวัดประจำราชวงศ์ โดยปรากฏในประวัติศาสตร์ราชวงศ์จักรีเมื่อรัชกาลที่ 3 เสด็จประทับและทรงประกอบพิธีเตรียมการรบในสงครามพม่า–สยาม หลังจากทรงใช้เวลาเตรียมการรบที่วัดสักพัก การโจมตีก็ไม่ได้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม รัชกาลที่ 3 ทรงตอบแทนพระทัยต่อวัดด้วยการบูรณะใหม่ระหว่างปี พ.ศ. 2360 ถึง พ.ศ. 2374[234][235] ระหว่างการบูรณะ ได้มีการจารึกข้อความเกี่ยวกับการแพทย์แผนไทยและการนวดแผนโบราณไว้ที่ผนังวัด ซึ่งได้กระทำที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารด้วยเช่นกัน ทำให้มีจารึกทั้งสิ้นหลายพันจารึก ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะเป็นคลังความรู้โบราณที่รัชกาลที่ 3 ทรงเกรงว่าอาจสูญหายไปในช่วงสงคราม[236][237] เมื่อเริ่มมีการบูรณะ พระองค์ได้อุทิศวัดนี้ให้กับรัชกาลที่ 2 พระบิดา ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น "วัดราชโอรสาราม"[238] วัดนี้มักถูกเรียกว่า "วัดของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว" โดยอ้างถึงการที่พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นระหว่างสงครามพม่า–สยาม และการก่อสร้างที่พระองค์เริ่มดำเนินการที่นั่น[238] อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง รัชกาลที่ 3 ทรงเติบโตในบริเวณวัดจอมทอง (ชื่อเดิมวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร) ไม่ใช่ในพระราชวัง ดังนั้น พระองค์จึงคุ้นเคยกับวัดนี้ตั้งแต่ยังทรงเป็นเด็ก[239]

ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 วัดแห่งนี้เกือบจะถูกทิ้งร้าง หลังจากมีการแต่งตั้งพระพรหมวชิรปัญญาจารย์ (ทองดี สุรเตโช) เป็นเจ้าอาวาสในปี พ.ศ. 2525 และด้วยความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาล วัดแห่งนี้จึงได้รับการบูรณะครั้งใหญ่[240] หลวงพ่อทองดีใช้เวลาหลายปีที่วัดปากน้ำ โดยสำเร็จการศึกษาวิชาบาลีที่นั่นจนถึงระดับสูงสุด หลวงพ่อดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่งในคณะสงฆ์ไทยก่อนที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกของมหาเถรสมาคมระดับสูงในปี พ.ศ. 2535 หลวงพ่อมีชื่อเสียงในประเทศไทยจากสารานุกรมและหนังสือต่าง ๆ ที่ท่านตีพิมพ์มากกว่ายี่สิบเล่มภายใต้ชื่อกิตติมศักดิ์[241][240]

ในปี พ.ศ. 2544 หลวงพ่อทองดีกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งเมื่อท่านถูกปลดออกจากมหาเถรสมาคมอย่างกะทันหัน เนื่องจากสมเด็จพระสังฆราชรู้สึกว่าท่าน "กระทำการขัดต่อมติของมหาเถรสมาคม" ในช่วงเวลานั้น นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ได้ประกาศปฏิรูปพระราชบัญญัติคณะสงฆ์หลายครั้ง โดยมุ่งหวังให้คณะสงฆ์เป็นอิสระจากรัฐบาลมากขึ้น หลวงพ่อทองดีแสดงความไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปที่เสนอ โดยตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการปฏิรูปดังกล่าว ท่านกล่าวว่ามหาเถรสมาคมตัดสินใจโดยหุนหันพลันแล่น และสงสัยว่าสถาบันสงฆ์พร้อมที่จะพึ่งพาตนเองหรือไม่ เครือข่ายที่ดำเนินการโดยนักวิชาการและศิษยานุศิษย์ระบุว่าหนังสือเล่มนี้ไม่เหมาะสม และพวกเขาได้ขอร้องให้มหาเถรสมาคมดำเนินการ[242][243] ทันทีที่หลวงพ่อทองดีถูกปลดออกจากตำแหน่ง ศิษยานุศิษย์ของวัดพระธรรมกายและนักเรียนของโรงเรียนวัดราชโอรสได้ออกมาประท้วงต่อมติดังกล่าว แต่หลวงพ่อทองดีได้ขอให้พวกเขาหยุดการกระทำดังกล่าว เพื่อไม่ให้แสดงความดูหมิ่นสมเด็จพระสังฆราช[note 6] ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีทักษิณยอมรับว่ารู้สึก “ตกใจ” กับการตัดสินใจของสมเด็จพระสังฆราช ขณะที่เครือข่ายนักวิจารณ์ระบุว่าหลวงพ่อทองดี “มีความเห็นที่ขัดแย้งกันเสมอ” และก่อให้เกิดความแตกแยก หัวหน้ากรมการศาสนาตอบว่า “พระสงฆ์ควรมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตน”[243][244][245] เมื่อถามหลวงพ่อทองดีเองว่ารู้สึกอย่างไรกับการตัดสินใจครั้งนี้ ท่านตอบว่า “เราเกิดมาในโลกนี้โดยไม่มีอะไร [ไม่มีตำแหน่งหรือทรัพย์สิน] จากการเป็นสมาชิกของมหาเถรสมาคม ข้าพเจ้าได้รับใช้พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นคุณความดีสูงสุดในชีวิต ... สิ่งที่ถูกต้อง [ตอนนี้] คือการยอมรับการตัดสินใจ [ของสมเด็จพระสังฆราช]”[243] หลวงพ่อทองดีชี้แจงด้วยว่า พระองค์ไม่คัดค้านการปฏิรูปและการเป็นอิสระจากรัฐบาลมากขึ้น แต่คณะสงฆ์ควรมีบทบาทสำคัญในการศึกษาด้านศีลธรรม ซึ่งเขารู้สึกว่าการปฏิรูปครั้งนี้ถูกมองข้าม[246][247]

หลวงพ่อสดธรรมกายาราม

พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล) จากวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม

ในปี พ.ศ. 2525 วัดปากน้ำได้อุปสมบท[248] หลวงพ่อเสริมชัย ชยมงฺคโล และพระครู Bart Yanathiro ได้ก่อตั้งสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกายขึ้น โดยแยกตัวออกจากวัดพระธรรมกาย[249][250][43] ในปี พ.ศ. 2534 สถาบันแห่งนี้ได้เปลี่ยนเป็นวัด[251] ตั้งอยู่ในจังหวัดราชบุรี ทางตะวันตกของกรุงเทพมหานคร และนำโดยหลวงพ่อเสริมชัยจนถึงปี พ.ศ. 2561[252] ก่อนหน้านี้ท่านเป็นครูสอนสมาธิฆราวาสที่วัดปากน้ำ และเป็นนักวิจัยและพนักงานของสถานทูตสหรัฐอเมริกา[253][254] กิจกรรมหลายอย่างของวัดนี้ทำขึ้นโดยร่วมมือกับวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร[255] หลวงพ่อเสริมชัยสอนเป็นประจำให้กับหน่วยงานของรัฐ บริษัท และวัดอื่น ๆ[256] ในปี พ.ศ. 2547 หลวงพ่อเสริมชัยตกเป็นข่าวเมื่อท่านวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลในการทำให้การพนันถูกกฎหมายระหว่างการเทศนาในรายการวิทยุ หลังจากสมาชิกรัฐบาลบางส่วนตอบสนองด้วยความไม่พอใจ จึงได้จัดตั้งกระบวนการคัดกรองการเทศนาทางวิทยุขึ้น[257][258] หลวงพ่อเสริมชัยปกป้องการออกอากาศทางวิทยุโดยระบุว่าการวิพากษ์วิจารณ์ของเขาหมายถึงสังคมโดยทั่วไป ไม่ใช่แค่รัฐบาลเท่านั้น[256]

ในปี พ.ศ. 2549 วัดแห่งนี้มีพระภิกษุจำนวน 70 รูปและสามเณรจำนวน 33 รูป[252] พระครู Bart Yanathiro เป็นพระภิกษุชาวตะวันตกที่จัดโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนและสอนการทำสมาธิและปฏิบัติธรรมเป็นภาษาอังกฤษ ปัจจุบันยังมีการสอนเป็นภาษาอังกฤษอยู่ แม้ว่าพระครูบาตรจะถึงแก่กรรมไปแล้วก็ตาม[179][253] วัดแห่งนี้มีการจัดปฏิบัติธรรม โครงการบวช และปฏิบัติธรรมสำหรับครอบครัวโดยใช้ภาษาไทย[259] วัดยังมีโรงเรียนของตนเองที่สอนทั้งภาษาบาลีและธรรมะด้วย[251]

นอกจากอุโบสถแล้ว ทางวัดยังมีหออนุสรณ์สำหรับหลวงปู่สดอีกด้วย ในปี พ.ศ. 2549 ทางวัดได้เริ่มก่อสร้างเจดีย์ (อนุสาวรีย์รูปเนิน)[251][260] เจดีย์จะมีความสูง 4 ชั้น และมีความยาว ความกว้าง และความลึก 108 เมตร[261] ภายในจะมีห้องปฏิบัติธรรม พระพุทธรูป และพระบรมสารีริกธาตุ[251][260]

หลวงพ่อเสริมชัยได้รับการสอนวิชชาธรรมกายโดยพระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม) อาจารย์ที่วัดปากน้ำ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 และหลวงพ่อเสริมชัย มรณภาพเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 สิริอายุได้ 90 ปี[248][262]

หมายเหตุ

  1. ตั้งชื่อตามพระสงฆ์ไทยจากอาณาจักรอยุธยา อิทธิพลของพวกเขาแผ่ขยายไปไกลถึงศรีลังกา ซึ่งการนั่งสมาธิแบบพุทธได้ฟื้นคืนขึ้นอีกครั้งในช่วงคริสต์ศตวรรษ 1750[10]
  2. ตามที่แม็คเคนซีกล่าวไว้ การภาวนาหรือมนต์นี้หมายถึง "ความสมบูรณ์แบบอันชอบธรรมที่มนุษย์สามารถบรรลุได้"[23] สก็อตต์ระบุว่าการภาวนาหรือมนต์นี้หมายถึง "บุคคลที่ตรัสรู้โดยสมบูรณ์" ซึ่งเป็นวลีที่มักใช้เรียกพระพุทธเจ้า มนต์นี้พบในบทสวดทั่วไปของนิกายเถรวาทที่ว่า "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ"[24]
  3. ในบางแง่ คำสอนของนิกายนี้มีความคล้ายคลึงกับหลักคำสอนเกี่ยวกับ[[ พุทธภาวะ]]ของพระพุทธศาสนามหายาน พอล วิลเลียมส์ได้แสดงความคิดเห็นว่าทัศนะเกี่ยวกับพระพุทธศาสนานี้มีความคล้ายคลึงกับแนวคิดที่พบในคำสอนเช็นตงของนิกายโจนัง ของทิเบต ซึ่งมีชื่อเสียงจากดอลโปปา เชราบ เกียลเซน[28]
  4. During the revival and modernization of Thai Buddhism in the nineteenth and early twentieth century CE, Thai temples in the Mahanikaya fraternity were forced to adjust to new reforms, including the meditation method used and taught.[34] In particular, leading monks in the Mahanikaya fraternity promoted the New Burmese method of U Narada and Mahasi Sayadaw. Yet, Mackenzie notes: "Crosby (2000:178–9) mentions three theories as to the possible development of the Yogavacara tradition in Thailand. First, it may have been the case that the Yogavacara tradition came to Thailand through the Mon (Southern Burmese) expression of Buddhism ... As a young monk, Prince Mongkut believed the Mon tradition to be the one most in keeping with the original teachings of the Buddha and he was re-ordained by Mon monks. It would thus be ironic if this tradition was the carrier of ideas that the Thammayut fraternity sought to discredit in their bid to standardise Thai Buddhism![35] ในช่วงการฟื้นฟูและปรับปรุงพระพุทธศาสนาไทยในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 วัดไทยในกลุ่มมหานิกายถูกบังคับให้ปรับตัวเข้ากับการปฏิรูปใหม่ ๆ รวมถึงวิธีการทำสมาธิที่ใช้และสอนด้วย[34] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระภิกษุชั้นนำในกลุ่มมหานิกายได้ส่งเสริมวิธีปฏิบัติแบบพม่าแบบใหม่ของ U Narada และ Mahasi Sayadaw อย่างไรก็ตาม แม็คเคนซี่ได้บันทึกไว้ว่า: "ครอสบี้ (2000:178–9) กล่าวถึงทฤษฎีสามประการเกี่ยวกับการพัฒนาที่เป็นไปได้ของสายโยคาวจรในประเทศไทย ประการแรก อาจเป็นกรณีที่สายโยคาวจรเข้ามาสู่ประเทศไทยผ่านการแสดงออกทางพุทธศาสนาของชาวมอญ (พม่าตอนใต้)  ... เมื่อครั้งที่ยังเป็นพระภิกษุหนุ่ม พระมงกุฎเกล้าเชื่อว่าประเพณีมอญเป็นประเพณีที่สอดคล้องกับคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้ามากที่สุด และพระองค์ได้รับการอุปสมบทใหม่โดยพระภิกษุมอญ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องน่าขบขันหากประเพณีนี้เป็นสื่อกลางของแนวคิดที่กลุ่มธรรมยุตพยายามทำลายความน่าเชื่อถือในการพยายามทำให้พุทธศาสนาของไทยเป็นมาตรฐาน![35]
  5. สก็อตต์กล่าวถึงการอ้างว่ามี "ดวงอาทิตย์หายไป" จากท้องฟ้า และอธิบายตัวอย่างอื่นดังต่อไปนี้ "ใต้ภาพถ่ายที่ชวนให้นึกถึงเหล่านี้ มีการพิมพ์คำจำกัดความของปาฏิหาริย์ในพจนานุกรมเว็บสเตอร์นิวเวิลด์ ซึ่งระบุว่า "เหตุการณ์หรือการกระทำที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกับกฎทางวิทยาศาสตร์ที่ทราบกันดี และด้วยเหตุนี้จึงเชื่อว่าเกิดจากสาเหตุเหนือธรรมชาติ" โฆษณาดังกล่าวยังกล่าวต่อไปว่า "ไม่ว่าคุณจะเชื่อในปาฏิหาริย์หรือไม่ ประสบการณ์ของผู้ศรัทธาจำนวนมากที่วัดพระธรรมกายในเดือนกันยายนปีนี้สอดคล้องกับคำจำกัดความของเว็บสเตอร์นิวเวิลด์อย่างแน่นอน มีคำรับรองยาว ๆ สองฉบับที่อธิบายถึงปาฏิหาริย์ในครึ่งล่างของหน้า ในขณะที่ด้านขวามือมีรูปภาพของพระมหาสิริราชธาตุที่คุ้นเคยในปัจจุบัน และคำอธิบายคุณสมบัติและพลังของพระเครื่อง ในที่สุด ที่ด้านล่างของหน้านี้ มีคำรับรองสองฉบับจากพยานบุคคลซึ่งบรรยายถึงปาฏิหาริย์ด้วยคำพูดของตนเอง พร้อมวิงวอนให้ผู้อ่านไปเยี่ยมชมพระวิหารเพื่อมาเป็นพยานในเหตุการณ์อัศจรรย์ดังกล่าวด้วยตนเอง”[109]
  6. การวิพากษ์วิจารณ์สมเด็จพระสังฆราชฯ มีโทษตามกฎหมายไทย[243]

อ้างอิง

  1. Harvey 2013, pp. 389–90.
  2. 2.0 2.1 Zehner 1990, pp. 406 with footnote 12.
  3. Zehner 1990, pp. 406 with footnotes 12–14.
  4. Tomomichi Nitta (2002). "The Meaning of 'Dhammakaya' in Pali Buddhism". Journal of Indian and Buddhist Studies. 51 (1): 45–47.
  5. Zehner 1990, pp. 406–407 with footnotes 12–14.
  6. 6.0 6.1 6.2 Newell 2008, pp. 15–16.
  7. 7.0 7.1 Newell 2008, pp. 15–6.
  8. Mackenzie 2007, p. 101.
  9. 9.0 9.1 McDaniel 2010, p. 662.
  10. 10.0 10.1 10.2 10.3 Crosby, Skilton & Gunasena 2012.
  11. Choompolpaisal 2019, p. 1.
  12. 12.0 12.1 12.2 Newell 2008, pp. 256–7.
  13. Williams 2008, p. 327, n.73.
  14. Crosby, Kate (2000). "Tantric Theravada: A Bibliographic Essay on the Writings of Francois Bizot and others on the Yogavacara Tradition". Contemporary Buddhism. 1 (2): 141–198. doi:10.1080/14639940008573729. S2CID 145379175.
  15. Sasson 2012, p. 121.
  16. Newell 2008, p. 263.
  17. 17.0 17.1 17.2 17.3 17.4 Mackenzie 2007, pp. 112–113, 224n15.
  18. Skilton & Choompolpaisal 2017, p. 87 n.10.
  19. Mackenzie 2007, p. 95.
  20. Bowers 1996.
  21. Fuengfusakul 1998, pp. 90–1.
  22. Newell 2008, pp. 257 with footnote 62.
  23. 23.0 23.1 23.2 23.3 23.4 Mackenzie 2007, p. 31.
  24. สก็อตต์ 2009, p. 210 with note 62.
  25. 25.0 25.1 25.2 Newell 2008, p. 82.
  26. Fuengfusakul 1998, p. 24.
  27. 27.0 27.1 Williams 2008, p. 126.
  28. Williams 2008, p. 237.
  29. 29.0 29.1 Mackenzie 2007, p. 76.
  30. Scott 2009, p. 79.
  31. Dhammakaya Open University. Exemplary conduct of the principal teachers of Vijja Dhammakaya (PDF). California, USA: Dhammakaya Open University. p. 154. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 8 August 2016. สืบค้นเมื่อ 13 September 2016.
  32. Swearer 1994, p. 141.
  33. Newell 2008, pp. 268–70.
  34. 34.0 34.1 Newell 2008, p. 268.
  35. 35.0 35.1 Mackenzie 2007, pp. 109–110.
  36. ศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ เปิดสอนวิชชาธรรมกาย [Student of Luang Por Wat Paknam opens [center to] teach Vijja Dhammakaya]. Kom Chad Luek. The Nation Group. 4 May 2002. p. 16.
  37. Choompolpaisal 2019, p. 25.
  38. Dhammakaya Foundation 2005.
  39. Dhammakaya Foundation 2005, pp. 17, 44–5, 67, 69.
  40. Scott 2009, pp. 71–2.
  41. Mackenzie 2007, p. 34.
  42. Scott 2009, pp. 72–4.
  43. 43.0 43.1 Fuengfusakul 1998.
  44. Newell 2008, p. 235, Quote: "What sets the Dhammakaya temples apart from mainstream Thai Buddhism and what gives them their name is their meditation system, famously "rediscovered" by Sot Chandassaro Bhikkhu in 1916.".
  45. Satha-Anand, Suwanna (1 January 1990). "Religious Movements in Contemporary Thailand: Buddhist Struggles for Modern Relevance". Asian Survey. 30 (4): 395–408. doi:10.2307/2644715. JSTOR 2644715.
  46. 46.0 46.1 Newell 2008, p. 241.
  47. Zehner 1990, pp. 406–407.
  48. 48.0 48.1 48.2 Fuengfusakul 1998, p. 84.
  49. Cholvijarn 2019, pp. 149, 268, 388.
  50. Fuengfusakul 1998, pp. 82–4.
  51. 51.0 51.1 51.2 Zehner 2005, p. 2325.
  52. 52.0 52.1 52.2 Harvey 2013, p. 389.
  53. Tanabe 2016, p. 127.
  54. 54.0 54.1 54.2 Newell 2008, p. 238.
  55. 55.0 55.1 Scott 2009, p. 80.
  56. Hutter, M. (2016). "Buddhismus in Thailand und Laos" [Buddhism in Thailand and Laos]. ใน Hutter, M.; Loseries, A.; Linder, J. (บ.ก.). Theravāda-Buddhismus und Tibetischer Buddhismus (ภาษาเยอรมัน). Kohlhammer. ISBN 978-3-17-028499-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 May 2021. สืบค้นเมื่อ 16 June 2021.
  57. Rhys Davids & Stede 1921, pp. 76, 695, entries on Sammā and Arahant.
  58. Mackenzie 2007, p. 113.
  59. Start Meditation Today (PDF) (3rd ed.). Dhammakaya Foundation. 2016. pp. 53–4. ISBN 978-974-87855-4-7. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 27 July 2018. สืบค้นเมื่อ 29 December 2018.
  60. Mackenzie 2007, p. 102.
  61. Newell 2008, p. 83.
  62. Mackenzie 2007, pp. 103, 107, 113.
  63. Fuengfusakul 1998, p. 87, Diagram 4.
  64. 64.0 64.1 Newell 2008, pp. 240–1.
  65. Mackenzie 2007, p. 103: ... as with the previous bodies, these bodies have both a normal and refined form.
  66. Mackenzie 2007, pp. 102–3.
  67. "กายธรรมโคตรภู". kalyanamitra.org.
  68. Fuengfusakul 1998, pp. 85, 87, Diagram 4.
  69. 69.0 69.1 69.2 Harvey 2013, p. 390.
  70. Tanabe 2016, p. 128.
  71. Cholvijarn 2019, pp. 58–59.
  72. Fuengfusakul 1998, pp. 85, 88.
  73. Mackenzie 2007, p. 216 note 24.
  74. Scott 2009, p. 52.
  75. Mackenzie 2007.
  76. Fuengfusakul 1993, p. 173.
  77. Zehner 1990, p. 414.
  78. See Scott 2009, pp. 3, 82, 129–130, 140: "... critique of the Dhammakaya Temple's wealth and alleged heretical teachings and practices ..." (p. 3) ; "... high ranking monastic officials who alleged that Phra Dhammachayo had violated the monastic code of conduct by teaching heretical views on nirvana". (pp. 129–130) ; ff.; Scott (2008, pp. 231, 248); Taylor (2016, pp. 55–57) ; and Mackenzie 2007, pp. 16–7, 50–2, 175–9: "Thailand's highly regarded scholar monk, Phra Dhammapitaka [Prayudh Payutto] sought to identify Wat Phra Dhammakaya's position as heretical by commenting, 'In all Buddhist scriptures, both the Tipitaka and the commentaries, there is no evidence that nibbana is atta. But there is much evidence that nibbana is anatta ...'" (p. 51) ; "... his understanding of the Pali scriptures clearly demonstrates to the Thai that the movement is heretical in its beliefs" (p. 16)
  79. Rosalind I. J. Hackett, บ.ก. (2008). Proselytization Revisited: Rights Talk, Free Markets and Culture Wars. Equinox. pp. 231, 248. ISBN 978-1-84553-227-7. สืบค้นเมื่อ 15 December 2018.
  80. Patchanee Malikhao (2017). Culture and Communication in Thailand. Springer. pp. 18–19. ISBN 978-981-10-4125-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 May 2022. สืบค้นเมื่อ 7 December 2018.
  81. Seeger 2010, p. 71, n.39–40, at the height of the controversy the spiritual leader of this movement, with regard to Phra Thammachayo, it was claimed that he was "spreading teachings that have been regarded as unorthodox from a Theravāda doctrinal point of view. Severe criticism has particularly been directed against the movement's wide use of miracles (P. pāṭihāriya) and their teaching that nirvāṇa (P. nibbāna), the soteriological goal of Buddhism, has the characteristic of a Higher Self (P. attā), which is in conflict with traditional Theravāda's view that "all and everything is no-self" (P. sabbe dhammā anattā), including nibbāna." ... (These teachings have been) "criticized heavily by a number of acknowledged Thai scholars, academics, monks and social critics who are concerned about the integrity and longevity of original Buddhism".
  82. Scott 2009, p. 138.
  83. พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) (1996). กรณีธรรมกาย : เอกสารเพื่อพระธรรมวินัย. กรุงเทพฯ: มูลนิธิพุทธธรรม. ISBN 974-575-455-2. (in Thai)
  84. Mackenzie 2007, p. 51.
  85. Fuengfusakul 1998, p. 88.
  86. Seeger 2009, pp. 13–15 with footnotes, context: 1–31.
  87. 87.0 87.1 Seeger 2010, p. 72, "For his criticism of Wat Phra Thammakai and Santi Asok, Phra Payutto has himself repeatedly been criticized not only by proponents of these movements but also by a number of Thai academics. He was accused of 'being narrow-minded' (Thai: mi naeu khwamkhit khapkhaep), 'attached to the scriptures', 'a dogmatist' and 'a purist' who tries 'to prevent religious freedom and thus promot[es] religious intolerance'."
  88. Scott 2009, p. 146-149.
  89. 89.0 89.1 89.2 Williams 2008, pp. 127–8.
  90. Seeger 2009, pp. 13 footnote 40.
  91. Cholvijarn 2019, pp. 63, 74–82.
  92. Taylor 2016, pp. 55–57.
  93. Williams 2008, pp. 126–128.
  94. Potprecha Cholvijarn (2008). "Dhammakaya, Thathagatagarbha and Other-Emptiness: A comparison between Luang Pho Sot's Thammakai Meditation System and Tibetan Shentong Tradition". Rian Thai: International Journal of Thai Studies. 1: 87–101.
  95. Scott 2009, p. 149.
  96. Thanavuddho, Phra Somchai (1999). นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา. Bangkok: ประดิพัทธ์. ISBN 978-974-7308-18-1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 January 2005.
  97. Chalermsripinyorat, Rungrawee (2002). "Doing the Business of Faith: The Capitalistic Dhammakaya Movement and the Spiritually-thirsty Thai Middle Class" (PDF). Manusya: Journal of Humanities. 5 (1): 14–20. doi:10.1163/26659077-00501002. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 18 September 2016. สืบค้นเมื่อ 21 September 2016.
  98. Mackenzie 2007, p. 112.
  99. 99.0 99.1 McDaniel, Justin (2006). "Buddhism in Thailand: Negotiating the Modern Age". ใน Berkwitz, Stephen C. (บ.ก.). Buddhism in World Cultures: Comparative Perspectives. Santa Barbara, California: ABC-CLIO. pp. 110–111. ISBN 978-1-85109-787-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 December 2019. สืบค้นเมื่อ 16 June 2021.
  100. ที่นี่ปลอดวัตถุมงคลและไสยศาสตร์ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม [This area is free from superstitious objects and magic: Wat Luang Phor Sodh Dhammakayaram]. Kom Chad Luek. The Nation Group. 18 September 2005. p. 16.
  101. 101.0 101.1 Chalermsripinyorat, Rungrawee (2002). "Doing the Business of Faith: The Capitalistic Dhammakaya Movement and the Spiritually-thirsty Thai Middle Class" (PDF). Manusya: Journal of Humanities. 5 (1): 19–20. doi:10.1163/26659077-00501002. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 18 กันยายน 2016.
  102. Scott 2009, pp. 3–4, 7, 13–14, 69, 89–90, 103–104, "At the end of the ceremony, attendees stood in long lines to receive Phra Mahsiriratthat amulets from Dhammakāya monks" (p. 89) ... "The Temple, moreover, found inventive ways to recognize publicly those who were exceptionally generous. These donors had preferential seating at Temple events and in publicity photographs; they had access to high-ranking Dhammakāya monks who were usually secluded from the massive crowds; they donned amulets, almost like military badges and medals of rank, which denoted the monetary level of their generosity, and some became members of the Temple's "millionaires' club," a special group of people who were guaranteed rebirth as a millionaire for the gift of a regular monthly donation." (p. 103)
  103. 103.0 103.1 103.2 103.3 103.4 Newell 2008, pp. 95–96.
  104. Mackenzie 2007, pp. 61, 92.
  105. 105.0 105.1 105.2 Seeger 2010, p. 71.
  106. Scott 2009, pp. 68–69.
  107. Mackenzie 2007, pp. 34–5.
  108. Scott, Rachelle M. (2016). "Contemporary Thai Buddhism". ใน Jerryson, Michael (บ.ก.). The Oxford Handbook of Contemporary Buddhism. Oxford University Press. p. 203. ISBN 978-0-19-936238-7.
  109. 109.0 109.1 Scott 2009, pp. 118–119.
  110. Laohavanich 1994, pp. 94.
  111. Mackenzie 2007, pp. 59–60, 85, 234.
  112. Taylor 2016, pp. 42–43.
  113. Mackenzie 2007, pp. 59–60.
  114. Mackenzie 2007, pp. 59–61.
  115. Mackenzie 2007, p. 60.
  116. Mackenzie 2007, pp. 61–63, 96, "Despite its progressive nature, Wat Phra Dhammakaya may be described as fundamentalist, and millenarian. The myth regarding an ultimate showdown between White and Black Dhammakaya, and Phra Dhammachayo being an Avatara and part of the original White Dhammakaya party indicate a millenarian mindset." (p. 96)
  117. Mackenzie 2007, p. 61.
  118. Boonprakob, Nottapon (2021-08-01), Come and See (Documentary), underDOC, เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 April 2022, สืบค้นเมื่อ 2022-04-20
  119. 119.0 119.1 Cholvijarn 2019, pp. 229–230.
  120. Cholvijarn 2019, pp. 230–240.
  121. Cholvijarn 2019, pp. 239–240.
  122. Cholvijarn 2019, p. 250.
  123. Cholvijarn 2019, pp. 250–251.
  124. Cholvijarn 2019, pp. 251–255.
  125. Cholvijarn 2019, pp. 242–247.
  126. Scott 2009, pp. 3, 82, 129–130, 140.
  127. 127.0 127.1 127.2 Scott 2009, p. 82.
  128. Swearer 1994, pp. 660–7, Editor's note, "Swearer views it as sectarian as well as fundamentalist-revivalist"; (pp. 666-667), "[Wat Dhammakaya's] broad-based popular support stems from an astute packaging of a fundamentalistic form of Thai Buddhism that offers a way of embracing a secularized modern lifestyle while retaining the communal identity once offered by traditional Buddhism–all the while maintaining that it is authentic or true Buddhism, in contrast to its competitors. Indeed Wat Dhammakaya has been compared to fundamentalist born-again Christianity because of its skillful use of the media, its lavish productions at its Pathum Thani headquarters, and its emphasis on ecstatic meditative experience as the binding force of communal identity."
  129. Marty & Appleby 1994, pp. 633–634.
  130. Heikkilä-Horn 1996, passim..
  131. Scott, Rachelle M. (December 2006). "A new Buddhist sect?: The Dhammakāya temple and the politics of religious difference". Religion. 36 (4): 215–230. doi:10.1016/j.religion.2006.10.001. S2CID 145531417.
  132. 132.0 132.1 132.2 Cousins, L.S. (1996). "The Origins of Insight Meditation". ใน Skorupski, T. (บ.ก.). The Buddhist Forum: Seminar Papers, 1994–1996. Vol. 4. London: University of London, School of Oriental and African Studies. p. 39 – โดยทาง Academia.edu.
  133. Scott 2009, pp. 66, 79.
  134. 134.0 134.1 Seeger 2009, p. 26.
  135. Pornchokchai, Sopon (2 มีนาคม 2017). ธรรมกายกับสมเด็จ ป.อ. ปยุตโต [Dhammakaya and Somdet P.A. Payutto]. Lok Wannee. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 มกราคม 2018. สืบค้นเมื่อ 7 มกราคม 2018.
  136. ธรรมกาย..."เรา คือ ผู้บริสุทธิ์" ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต [Dhammakaya: "We are innocent.", "He who sees the Dhamma, sees me, the Tathagata"]. Dokbia Thurakit. 15 March 1999. p. 5.
  137. Newell 2008, p. 248.
  138. Fuengfusakul 1998, p. 99.
  139. Newell 2008, p. 85.
  140. Falk 2007.
  141. Newell 2008, p. 86.
  142. Mackenzie 2007, p. 36.
  143. Newell 2008, pp. 86–90.
  144. Sivaraksa, Sulak (1987). "Thai Spirituality" (PDF). Journal of the Siam Society. 75: 86. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 18 March 2017. สืบค้นเมื่อ 28 March 2017.
  145. ถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แด่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ [Offering an Honorary Arts Degree to Somdet Phramaharachamangalacharn]. Thai Rath. Wacharapol. 2 April 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 December 2017. สืบค้นเมื่อ 24 December 2016.
  146. "เปิด 84 สาขา 'ธรรมกาย' ทั่วโลก". bangkokbiznews. 2017-02-17.
  147. Newell 2008, p. 119.
  148. Newell 2008, p. 117.
  149. Newell 2008, pp. 106, 131.
  150. "พระของขวัญ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ – วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม".
  151. 151.0 151.1 Newell 2008, p. 84.
  152. Newell 2008, p. 96.
  153. Newell 2008, p. 84 with footnote 59.
  154. 154.0 154.1 154.2 Scott 2009, pp. 90–97.
  155. Mackenzie 2007, pp. 13–14, 46–47, 59–61, 96–97.
  156. Sandra Cate (2003). Making Merit, Making Art: A Thai Temple in Wimbledon. University of Hawaii Press. p. 168. ISBN 978-0-8248-2357-3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 November 2020. สืบค้นเมื่อ 22 December 2018.
  157. Falk 2007, pp. 184–185.
  158. Malikhao, Patchanee (2017). "Analyzing the "Dhammakaya Case" Online". Culture and Communication in Thailand. Communication, Culture and Change in Asia. Vol. 3. Springer Singapore. pp. 25–29. doi:10.1007/978-981-10-4125-9_2. ISBN 978-981-10-4123-5.
  159. Swearer, Donald K (2004). "Thailand". ใน Buswell, Robert E Jr (บ.ก.). Encyclopedia of Buddhism. Vol. 2. Farmington Hills: Thomson Gale. p. 831. ISBN 978-0-02-865720-2.
  160. Sirikanchana 2010, p. 885.
  161. Ratanakul, Pinit (2007). "The Dynamics of Tradition and Change in Theravada Buddhism". The Journal of Religion and Culture. 1 (1): 244. CiteSeerX 10.1.1.505.2366.
  162. Newell 2008.
  163. คณะสงฆ์ล่ารายชื่อถอดผู้ตรวจการ เหตุชงประยุทธ์ตั้งสังฆราช [The Sangha petitions to withdraw the Ombudsman, because of proposing Prayuth as person appointing Sangharaja]. Voice TV. 5 March 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-21. สืบค้นเมื่อ 17 November 2016.
  164. "NLA passes Sangha Act amendment bill". The Nation. 29 December 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 December 2016. สืบค้นเมื่อ 31 December 2016.
  165. "Revered Somdet Chuang of Wat Pak Nam dies, aged 96". Bangkok Post. 9 December 2021. สืบค้นเมื่อ 2022-05-21.
  166. Scott 2009.
  167. Mackenzie 2007, pp. 96–97.
  168. Bunbongkarn, Suchit (1 January 2000). "Thailand: Farewell to Old-Style Politics?". Southeast Asian Affairs. ISEAS, Yosuf Ishak Institute. 2000: 285–95. doi:10.1355/SEAA00Q (inactive 30 November 2024). JSTOR 27912257.{{cite journal}}: CS1 maint: DOI inactive as of พฤศจิกายน 2024 (ลิงก์)
  169. 169.0 169.1 Zehner 2013, p. 192.
  170. Scott 2009, p. 56.
  171. 171.0 171.1 Chachavalpongpun, Pavin (17 มีนาคม 2017). "Crouching Junta, Hidden Abbot". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 กรกฎาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 29 กรกฎาคม 2017.
  172. Seeger 2006.
  173. Fuengfusakul 1993, passim..
  174. Scott 2009, passim..
  175. 175.0 175.1 Scott 2009, p. 102.
  176. "วัดพระธรรมกายจัดงานวันสันติภาพสากล และวันครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย รูปแบบออนไลน์". www.kalyanamitra.org.
  177. Mathes, Michael (3 August 2005). "In Thailand, British monk brings Buddhism to Westerners". Daily News. Lake House. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 September 2016. สืบค้นเมื่อ 5 September 2016.
  178. Schedneck, Brooke (11 July 2016). "Thai Meditation Lineages Abroad: Creating Networks of Exchange". Contemporary Buddhism. 17 (2): 2–5. doi:10.1080/14639947.2016.1205767. S2CID 148501731.
  179. 179.0 179.1 Schedneck, Brooke (2015-05-15). "The Field of international Engagement With Thai Meditation Centers". Thailand's International Meditation Centers: Tourism and the Global Commodification of Religious Practices. Routledge. ISBN 978-1-317-44938-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 March 2017. สืบค้นเมื่อ 10 November 2016.
  180. 180.0 180.1 "กำเนิด "วัดพระธรรมกาย" ภายใต้กระแสธารความทันสมัย สู่ศรัทธาแบบ "พุทธพาณิชย์"". TheBuddh.com. 2022-07-05.
  181. 181.0 181.1 Heikkilä-Horn 2015, p. 62.
  182. Swearer 1994, p. 656.
  183. McDaniel 2010, pp. 41, 662.
  184. Snodgrass 2003.
  185. Scott 2009, pp. 129, 137, 143.
  186. Zehner 1990, p. 424.
  187. ชมรมพุทธศาสตร์สากลฯ จัดงานวันรวมพลังเด็กดีวีสคตาร์ครั้งที่ 9 [International Buddhist Society organizes a 9th V-star Day for good children to join hands]. Matichon. 20 December 2014. p. 5.
  188. Wynne, Alexander. "The ur-text of the Pali Tipiṭaka: Some reflections based on new research into the manuscript tradition". Oxford Centre for Buddhist Studies. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 August 2016. สืบค้นเมื่อ 23 August 2016.
  189. "- YouTube" พิษเงินบริจาคพันล้าน [Poisonous donations of a billion baht]. Thai PBS. 2 May 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-21. สืบค้นเมื่อ 11 November 2016.
  190. Macan-Markar, Marwaan (25 January 2017). "Thai junta in showdown at Buddhist temple gates". Nikkei Asian Review. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 January 2017. สืบค้นเมื่อ 29 January 2017.
  191. เชียงใหม่เสวนา วิกฤตธรรมกาย วิกฤตสังคม? [Conference in Chiangmai: Is the crisis at Dhammakaya a crisis in society?]. Prachatai. Foundation for Community Studies. 12 March 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 December 2017. สืบค้นเมื่อ 24 December 2017.
  192. Panichkul, Intarachai (8 June 2016). วิพากษ์ "ปรากฏการณ์โค่นธรรมกาย" สุรพศ ทวีศักดิ์ [Surapot Tawisak: commenting on the fall of Dhammakaya]. Post Today. The Post Publishing. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2016. สืบค้นเมื่อ 3 December 2016.
  193. ธรรมกายในวันที่ไร้พระธัมมชโย [Dhammakaya now without Dhammajayo]. Thai PBS. 29 December 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 January 2018. สืบค้นเมื่อ 7 January 2018.
  194. ดีเอสไอ แท็กทีม พศ. บุกเงียบกลางดึกวัดธรรมกาย ไร้เงาพระธัมมชโย [DSI quietly enters Wat Dhammakaya at night, no traces of Phra Dhammajayo can be found]. Spring News. 22 December 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-21. สืบค้นเมื่อ 25 December 2017.
  195. Scott 2009, pp. 55, 92.
  196. 196.0 196.1 Zehner 2013, p. 196.
  197. Banchanon, Phongphiphat (3 February 2015). รู้จัก "เครือข่ายธรรมกาย" [Getting to know the Dhammakaya network]. Forbes Thailand. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 November 2016. สืบค้นเมื่อ 11 November 2016.
  198. Heikkilä-Horn 2015, p. 63.
  199. Fuengfusakul 1998, pp. 40–1, 132.
  200. "- YouTube" ภาพมุมสูงของวัดพระธรรมกาย [Top view of Wat Phra Dhammakaya]. Channel 16. Thai News Network. 27 May 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-21. สืบค้นเมื่อ 11 November 2016.
  201. สร้างมหาวิหารพระมงคลเทพมุนี [Building the great memorial of Phra Mongkolthepmuni]. Dokbia Thurakit. 10 September 2001. p. 11.
  202. Sandra Cate (2003). Making Merit, Making Art: A Thai Temple in Wimbledon. University of Hawaii Press. pp. 168 with note 7. ISBN 978-0-8248-2357-3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 November 2020. สืบค้นเมื่อ 22 December 2018.
  203. Scott 2009, pp. 2–3, 77–78.
  204. Scott 2009, pp. 137–138.
  205. Rachelle Scott (2017). Michael K. Jerryson (บ.ก.). The Oxford Handbook of Contemporary Buddhism. Oxford University Press. pp. 203–204. ISBN 978-0-19-936238-7.
  206. Fuengfusakul (1993), cited in Mackenzie (2007, pp. 13–14). See also Seeger (2010, p. 71 with footnote 38).
  207. Mackenzie 2007, pp. 46–47, 59–61, 96–97.
  208. Gearing, Julian (30 December 1999). "Buddhist Scapegoat?: One Thai abbot is taken to task, but the whole system is to blame". Asiaweek. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 June 2009.
  209. Scott 2009, pp. 132–4.
  210. Mackenzie 2007, p. 55.
  211. Cousins, L.S. (1997). "Aspects of Esoteric Southern Buddhism" (PDF). ใน Connolly, Peter; Hamilton, Sue (บ.ก.). Indian insights: Buddhism, Brahamanism and bhakti. London: Luzac Oriental. p. 188. ISBN 1-898942-15-3. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 18 มีนาคม 2016.
  212. McCargo, Duncan (2016). "The politics of Buddhism in Southeast Asia". ใน Haynes, Jeff (บ.ก.). Religion, Globalization and Political Culture in the Third World. Springer. p. 219. ISBN 978-1-349-27038-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 October 2020. สืบค้นเมื่อ 5 October 2020.
  213. Falk 2007, p. 185.
  214. Scott 2009, pp. 48, 53–6, 87.
  215. Fuengfusakul 1998, p. 127.
  216. Scott 2009, pp. 57–8.
  217. Fuengfusakul 1998, pp. 37–8.
  218. สรุปผลธุดงค์ธรรมชัย 20 วัน ปลูกฝังศิลธรรมผ่าน "บวร" [Evaluation of the 20-day Dhutanga Dhammachai: to instill virtue at home, in the temple and at school]. Naew Na. 22 มีนาคม 2014. p. 21. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2016. สืบค้นเมื่อ 2 ธันวาคม 2016 – โดยทาง Matichon E-library.
  219. ธรรมกาย..."เรา คือ ผู้บริสุทธิ์" ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต [Dhammakaya: "We are innocent", "He who sees the Dhamma, sees me, the Tathagata"]. Dokbia Thurakit. 15 มีนาคม 1999. pp. 5–6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2016. สืบค้นเมื่อ 12 ธันวาคม 2016 – โดยทาง Matichon E-library.
  220. Irons 2008, p. 500.
  221. Zehner 1990, p. 416.
  222. Fuengfusakul 1993, p. 172.
  223. Fuengfusakul 1993, pp. 160, 168.
  224. Litalien 2010, p. 133.
  225. Fuengfusakul 1998, pp. 103–4.
  226. Sritong-on 2004, pp. 40, 43–4, 160.
  227. Sritong-on 2004, p. 54.
  228. Matichon, 10 January 1999, p. 3.
  229. Zehner 1990, p. 417.
  230. Mackenzie 2007, pp. 44, 46, 87–8.
  231. Fuengfusakul 1993, p. 181.
  232. Schedneck, Brooke (15 May 2015). "The Field of international Engagement with Thai Meditation Centers". Thailand's International Meditation Centers: Tourism and the Global Commodification of Religious Practices. Routledge. ISBN 978-1-317-44938-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 March 2017. สืบค้นเมื่อ 10 November 2016.
  233. Taylor 2007, p. 8.
  234. Sthapitanonda, Nithi; Mertens, Brian (2012). Architecture of Thailand: a guide to traditional and contemporary forms. Singapore: Didier Millet. p. 214. ISBN 978-981-4260-86-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 June 2020. สืบค้นเมื่อ 9 January 2017.
  235. วัดราชโอรสหรือวัดจอมทอง เขตบางขุทเทียน กรุงเทพฯ [Wat Rajoaoros or Wat Chomthong, Bang Khun Thian Area, Bangkok]. Khao Sod. Matichon Publishing. 23 September 1997. p. 32.
  236. แม่แบบ:Cite CiteSeerX
  237. Cowen, Virginia S. (2011). Therapeutic massage and bodywork for autism spectrum disorders: a guide for parents and caregivers. London: Singing Dragon. p. 144. ISBN 978-1-84819-049-8.
  238. 238.0 238.1 ชมสถาปัตยกรรม และตระการวัดราชโอรสฯ วัดพระจำราชการสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ [Taking a look at the architecture and grandeur of Wat Rajaoros, the temple of Rama III's reign]. Siam Rath. 31 January 1997. p. 29.
  239. วัดประจำราชกาล ราชกาลที่ 3 [Favorite temples of the kings: King Rama III's Reign]. Daily News (Thailand). Mummong Song wai. 3 February 2016. p. 10.
  240. 240.0 240.1 พระธรรมกิตติวงศ์ ราชบัณฑิต เปิดใจเรื่องการบริหารวัดและการศึกษา [Phra Dhammakittiwong, the Ratchabandit, gives his opinion about managing temples and education]. Post Today. Post Publishing. 2 November 2008. p. B3.
  241. "พระในบ้าน" งานพระธรรมกิตติวงศ์ [The arahant at home: a work of Phra Dhammakittiwong]. Khao Sod. Matichon Publishing. 18 October 1998. p. 23.
  242. ยึดมติมหาเถรสมาคมตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยุติความสับสน [Supreme Sangha Council adheres to decision to set up National Office of Buddhism to end confusion]. Thai Rath. 30 June 2001. p. 15.
  243. 243.0 243.1 243.2 243.3 พระธรรมกิตติวงส์ ทำใจ[เกี่ยวกับพระ]บัญชาสังฆราช [Phra Dhammakittiwong accepts the Supreme Patriarch's decision]. Matichon. 27 June 2001. p. 5.
  244. เผยตัวเก็งมหาเถรสมาคม 4 รูปแทนพระธรรมกิตติวงศ์ [Four candidates revealed for replacing position Phra Dhammakittiwong]. Matichon. 28 June 2001. p. 23.
  245. "Removal of senior monk approved". The Nation. 27 June 2001. p. 20.
  246. พระธรรมกิตติวงส์แนะตั้งอนุศาสน์ป้อนโรงเรียน [Phra Dhammakittiwong advises to set up school chaplains]. Khao Sod. Matichon Publishing. 27 June 2001. p. 31.
  247. พระธรรมกิตติวงศ์ โต้ข้อกล่าวหาชาวพุทธ [Phra Dhammakittiwong replies to accusations Buddhists]. Daily News (Thailand). Sri Prayakarn. 21 June 2001. p. 13.
  248. 248.0 248.1 "หลวงป๋า" เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม มรณภาพแล้ว สิริอายุรวม 90 ปี ["Luang Pa", abbot of Luang Por Sodh Dhammayaram, passes away aged 90 years]. Matichon. 7 October 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2018. สืบค้นเมื่อ 10 December 2018.
  249. Cheng, Tun-jen; Brown, Deborah A. (2015-03-26). Religious Organizations and Democratization: Case Studies from Contemporary Asia. Routledge. ISBN 978-1-317-46105-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 May 2021. สืบค้นเมื่อ 19 September 2016.
  250. Zehner 2005, p. 2324.
  251. 251.0 251.1 251.2 251.3 Mangmisap, Suporn; To-adhithep, Yuth (21 July 2006). วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม [Wat Luang Phor Sodh Dhammakayaram]. Siam Rath. p. 28.
  252. 252.0 252.1 Newell 2008, pp. 110, 118–9.
  253. 253.0 253.1 Litalien, Manuel (January 2010). Développement social et régime providentiel en thaïlande: La philanthropie religieuse en tant que nouveau capital démocratique [Social development and a providential regime in Thailand: Religious philanthropy as a new form of democratic capital] (PDF) (วิทยานิพนธ์ Ph.D.) (ภาษาฝรั่งเศส). Université du Québec à Montréal. p. 132. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 6 June 2018. สืบค้นเมื่อ 14 March 2017. published as a monograph in 2016 เก็บถาวร 24 กุมภาพันธ์ 2017 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  254. สิ้น 'หลวงป๋า' เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดฯ มรณภาพ สิริอายุรวม 90 ปี [Abbot of Luang Phor Sodh "Luang Pa" passes away, aged 90]. Thai Rath. 7 October 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2018. สืบค้นเมื่อ 10 December 2018.
  255. Mackenzie 2007, p. 40.
  256. 256.0 256.1 แบนหลวงป๋าขึ้นเทศน์วันนี้ [Today Luang Pa is not allowed to teach]. Kom Chad Luek. The Nation Group. 18 July 2004.
  257. ติดเบรกพระเทศน์รัฐบาล [Monks forbidden to preach about government]. Kom Chad Luek. The Nation Group. 17 July 2004. p. 16.
  258. Yong, Thepchai (20 July 2004). "Words of wisdom, as approved by the government". The Nation. p. 10A.
  259. วัดหลวงพ่อสด จ.ราชบุรีปฏิบัติธรรมปราบคอรัปชั่น [Wat Luang Phor Sodh in Ratburi [teaches] meditation to get rid of corruption]. Kom Chad Luek. 2 October 2004.
  260. 260.0 260.1 พระมหาเจดีย์สมเด็จของพระราชญาณวิสิฐ (หลวงป๋า) [The great stupa "Somdet", by Phra Rajyanvisith (Luang Pa)]. Kom Chad Luek. 21 November 2007.
  261. พระเทพญาณมงคล "หลวงป๋า"วัดหลวงพ่อสดฯ ["Luang Pa" of Wat Luang Phor Sodh]. Khao Sod. 14 October 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2018. สืบค้นเมื่อ 10 December 2018.
  262. สิ้น 'หลวงป๋า' พระนักปฏิบัติดัง เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม สิริอายุ90ปี ["Luang Pa" passes away, well-known meditation master and abbot of Luang Phor Sodh Dhammakayaram, aged 90 years]. Khao Sod. 8 October 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 December 2018. สืบค้นเมื่อ 10 December 2018.

บรรณานุกรม

ดูเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

Kembali kehalaman sebelumnya